จอมปราชญ์นิรันดร์ บทที่ 68 ขึ้นสู่ยอดเขา
"เด็กคนนี้ฝึกร่างกายอย่างไร? ความว่องไว ความกลมกลืนกับความยืดหยุ่นในระดับนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่สัตว์วิญญาณก็เทียบไม่ได้"
"การเคลื่อนไหวของคนผู้นี้มีลักษณะคล้ายกับวานรและงูเหลือม แต่ก็ยังมีความแตกต่างมากมาย มันอาจเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ผ่านการสังเกตสัตว์ร้าย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างจะมีความสามารถ"
"ข้าพเจ้าสงสัยว่าค่ายกลแปดฑัณฑ์มากเท่าไรที่มันจะสามารถผ่านไปได้"
ถึงตอนนั้น ทั้งเหวินซวนและซวนอี้ก็แข็งค้างด้วยสีหน้าตกตะลึง
เหวินซวนพึมพำเบาๆ "ค่ายกลแปดฑัณฑ์ถูกสร้างขึ้นภายในเหวเบื้องล่างไม่ใช่หรือ?หากเด็กคนนี้ก้าวขึ้นสู่ยอดเขาอย่างแท้จริง นี่จะไม่เทียบเท่ากับว่ามันผ่านค่ายกลแปดฑัณฑ์หรือ?"
บนพื้นผิว ด่านที่สามด่านเป็นตายของสำนักไร้ตัวตนมีไว้เพื่อให้ผู้ฝึกเทพยุทธ์ขึ้นสู่ยอดเขา อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง คนเหล่านี้ได้สร้างอุปสรรคไว้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกคนตกลงไปในค่ายกลแปดฑัณฑ์ภายในเหว
นั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเด็กอ้วนถึงเกือบหลุดไปตั้งแต่ต้น
ท้ายที่สุด คงไม่มีใครที่จะสามารถขึ้นสู่ยอดเขาได้
เฉพาะผู้ที่สามารถผ่านด่านเป็นตายภายในค่ายกลแปดฑัณฑ์เท่านั้นที่จะถูกส่งไปยอดเขาโดยที่คนเหล่านั้นจะสามารถเข้าร่วมสำนักได้
หากคนเหล่านั้นล้มเหลวในฑัณฑ์ทั้งสอง พวกมันก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกไปข้างนอกและจะไม่สามารถเข้าร่วมสำนักได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกเทพยุทธ์เหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย แค่รู้สึกว่าโชคดีที่พวกมันไม่สิ้นชีวิต
ค่ายกลแปดฑัณฑ์เป็นค่ายกลลวงตาที่ประกอบด้วยฑัณฑ์แปดประการได้แก่ ชีวิต อายุ ความเจ็บป่วย การสิ้นชีวิต การพบกับสิ่งที่เกลียด การพรากจากกันกับสิ่งที่รัก ความรักที่ไม่สมหวังและความเจ็บป่วยของขันธ์ห้าในพระพุทธศาสนา
มีเหตุผลสองประการที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องทำเรื่องอ้อมค้อมโดยขอให้ผู้ฝึกเทพยุทธ์ปีนยอดเขาก่อนที่จะตกลงไป
อย่างแรก ยอดเขาสูงชันจะขัดขวางคนขี้ขลาดและคนที่ขาดความมุ่งมั่นก่อน
การฝึกเทพยุทธ์เซียนเป็นการกระทำที่ท้าทายสวรรค์และเป็นเส้นทางที่ยากลำบากอย่างยิ่ง กระทั่งผู้ที่มีความมุ่งมั่นและความกล้าหาญก็อาจไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดด้วยซ้ำไป ไม่มีที่ว่างสำหรับคนขี้ขลาดแม้แต่น้อย
ประการที่สอง หากทุกคนเตรียมใจไว้แล้วว่าพวกมันจะต้องเผชิญกับค่ายกลแปดฑัณฑ์ เขตแดนแห่งภาพลวงตาจะไม่สามารถหลอกล่อคนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายซึ่งสำนักไร้ตัวตนจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดได้
ในวงการเทพยุทธ์ ทักษะหรือค่ายกลลวงตา ย่อมต้องมีช่องโหว่ที่ชัดเจน หากฝ่ายที่ได้รับผลกระทบสามารถรักษาความสงบพร้อมกับความตื่นตัวได้ คนเหล่านี้จะสามารถมองทะลุค่ายกลนี้ได้และจะไม่ถูกลวงโดยค่ายกลนี้
อย่างไรก็ตาม โดยการส่งคนเหล่านี้ขึ้นสู่ยอดเขาก่อนที่จะทำให้ตกลง คงไม่มีใครได้เตรียมพร้อมที่จะต้องเผชิญกับการสิ้นชีวิต พวกมันจะเสียขวัญอย่างแน่นอนก่อนที่จะเข้าสู่ค่ายกลแปดฑัณฑ์ในเหว
ในขณะนั้น โดยที่ทุกคนคิดว่าพวกตนจะสิ้นชีวิตแล้ว คนเหล่านี้ก็จะยอมรับเขตแดนของภาพลวงตาและผ่านฑัณฑ์ทรมานแห่งการสิ้นชีวิต
เมื่อคนเหล่านี้ผ่านฑัณฑ์แห่งความตายและอดทนต่อฑัณฑ์ชีวิต พวกมันจะถือว่าผ่านการทดสอบด่านที่สามของสำนักไร้ตัวตนและจะสามารถเข้าร่วมสำนักได้
แน่นอน มีฑัณฑ์แปดประการสำหรับค่ายกลแปดฑัณฑ์และยิ่งคนเหล่านี้ผ่านฑัณฑ์มากเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น
นี่ไม่ใช่แค่การทดสอบง่ายๆ นี่คือพิธีกรรมสำหรับจิตใจ
ท้ายที่สุด ทุกคนจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดของฑัณฑ์ทั้งแปดในชีวิตและผู้ฝึกเทพยุทธ์ก็ไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องนี้
แต่ทว่า ปัญหาได้เกิดขึ้น
หากซูสือโม่วสามารถขึ้นสู่ยอดเขาได้ ด่านที่สามของสำนักไร้ตัวตนจะถูกตั้งไว้โดยเปล่าประโยชน์
เหวินซวนลดเสียงลงกว่าเดิมและกล่าวว่า "ให้ข้าพเจ้าโจมตีมันตกลงไปอย่างลับๆ เราไม่สามารถฝ่าฝืนกฎของสำนักโดยการยอมรับคนที่ยังไม่ผ่านด่านที่สาม"
ซวนอี้ส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "ไม่เป็นไร ในตอนนี้ ข้าพเจ้าสงสัยอย่างจริงจังว่ามันจะสามารถขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความแข็งแกร่งของตนเองได้หรือไม่"
หยุดชั่วครู่หนึ่ง ดวงตาของซวนอี้สว่างขึ้นขณะที่กล่าวอย่างไม่พอใจว่า "ถ้าเด็กหนุ่มสามารถขึ้นไปได้อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าจะตั้งค่ายกลสำหรับมันด้วยตนเองเพื่อให้คนผู้นี้ได้ลิ้มรสค่ายกลแปดฑัณฑ์อย่างเต็มที่!"
ในฐานะเจ้าขุนเขาของยอดเขาพยุหะ ค่ายกลแปดฑัณฑ์ถือเป็นผลงานชิ้นเอก
สำหรับเจ้าขุนเขาที่ประกาศว่ามันต้องการวางค่ายกลเป็นการส่วนตัวสำหรับปัญญาชนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของสำนักไร้ตัวตน
บนกำแพง
ผู้คนกับนกกระเรียนยังคงอยู่ที่นั่น
ซูสือโม่วเหงื่อท่วมตัวไปหมดแล้ว ดวงตามันยังคงสดใสเหมือนปกติ เปล่งแสงการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดในนั้น
ในตอนแรก อ้วนน้อยหลับตาไว้พร้อมกับรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มันรู้สึกตื่นเต้นเต็มที่ ตะโกนจากด้านหลังของซูสือโม่วเป็นครั้งคราวเพื่อเยาะเย้ยนกกระเรียน
"กว้าว กว้าว!"
แม้จะลองทุกอย่างแล้ว นกกระเรียนก็ไม่สามารถหยุดซูสือโม่วไม่ให้ก้าวไปข้างได้แม้แต่น้อย ประกอบกับการเยาะเย้ยของอ้วนน้อย มันก็ยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้นพร้อมกับการโจมตีก็รุนแรงยิ่งขึ้น
ซูสือโม่วถูกกักขังด้วยเช่นกันหลังจากที่ถูกไล่ล่าโดยนกกระเรียนเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นว่าอยู่ห่างจากยอดเขาเพียงไม่กี่ก้าว ซูสือโม่วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับโคจรพระสูตรคราสนาคาในใจก่อนที่จะร้องว่า "เจ้าบ้าวิหค รับนี่ไป!"
เคล้ง!
เสียงเฉือนอันแหลมคมดังไปทั่วสถานที่
ซูสือโม่วดึงดาบจันทร์ยะเยือกที่เอวออกมาแล้วเฉือนขึ้นไป!
วืด!
แสงเย็นเยียบยิงไปในอากาศ
ด้วยความตกตะลึง นกกระเรียนไม่กล้าโจมตีซูสือโม่วอีกต่อไปขณะที่มันกระพือปีกพร้อมกับบินหนีไป
มันไม่ได้คาดหวังว่าซูสือโม่วจะออกกระบวนท่า
ยิ่งกว่านั้น มันยิ่งไม่คาดคิดว่าซูสือโม่วจะกล้าออกกระบวนท่ากับมัน!
ภายในสำนักไร้ตัวตน ไม่มีใครกล้าข่มเหงมัน แม้จะมีเจ้าขุนเขาห้าคน แต่กระทั่งเจ้าสำนักไร้ตัวตนก็ยังชื่นชอบมัน!
งานในการผลักผู้สมัครเข้าสำนักที่มีศักยภาพลงไปสู่ค่ายกลแปดฑัณฑ์นั้นเริ่มแรกทำโดยผู้ฝึกเทพยุทธ์คนอื่นๆ ของสำนัก
อย่างไรก็ตาม นกกระเรียนอาสาทำโดยคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ
อันที่จริง มันค่อนข้างสนุกในช่วงเริ่มต้นที่ได้เห็นผู้คนถูกไล่ต้อนเข้าสู่ค่ายกลแปดฑัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น นกกระเรียนไม่พบว่าสนุกอีกต่อไปหลังจากพบกับปัญญาชนที่ถือธนูกับดาบคนนี้
ขนนกร่วงผ่านไปอย่างช้าๆ
แม้ว่านกกระเรียนจะสามารถหลบการโจมตีได้แต่ดาบจันทร์ยะเยือกยังคงเฉือนขนหนึ่งเส้นในตัวมันออกไป
ภาพนั้นทำให้เจ้าขุนเขาทั้งสองที่ดูอยู่ข้างบนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เกือบจะฟาดฟันออกไปขณะที่จับอาวุธวิญญาณไว้แน่น
"เด็กคนนั้นมีน้ำดี(น้ำดีหมายถึงควากล้า)มากนักถึงกล้าข่มเหงกระเรียนน้อย!"
"คนผู้นี้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคตอย่างแน่นอนหากมันได้รับการยอมรับเข้าสู่สำนัก"
ทั้งเหวินซวนและซวนอี้มองดูซูสือโม่วด้วยความสงสาร
ในขณะนั้น ซูสือโม่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากฟันแบบนั้นแล้ว มันก็ดีใจมากขณะที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "วิหคบัดซบ เจ้ายังอ่อนแอเกินไป! กลับไปฝึกฝนอีกสองสามปี!"
ด้วยการเหวี่ยงย้อนกลับ ซูสือโม่วแทงดาบจันทร์ยะเยือกเข้าไปในกำแพงของขุนเขาและเผ่นโผนอย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง กระโดดขึ้นไปบนใบมีดด้วยปลายนิ้วเท้า จากนั้นก็กระโดดขึ้นพร้อมดึงดาบจันทร์ยะเยือกออกจากผนังอย่างสะดวกด้วยเท้าของมัน
กระบวนการทั้งหมดราบรื่นราวกับวารีโดยไม่มีการหยุดชะงักแม้แต่น้อย
ในพริบตาเดียว มันก็ไปถึงยอดเขาแล้ว!
มองลงไปที่นกกระเรียนที่ยังคงวนเวียนอยู่กลางอากาศ ซูสือโม่วโบกมือพร้อมกับยิ้ม "ลาก่อน!"
นกกระเรียนยังอยู่ในช่วงวัยเด็ก ในอายุขัยของมนุษย์ มันมีอายุไม่เกินแปดปีและนั่นเป็นช่วงที่ขี้เล่นที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการฟันครั้งนั้น มันยังคงทุลักทุเลเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อดูการกระทำของซูสือโม่ว นกกระเรียนกระพริบตาสองสามครั้งราวกับว่ากำลังจะน้ำตาไหลก่อนจะบินไปยังยอดเขาไร้ตัวตนพร้อมร่ำร้องไม่หยุด
"กว้าว กว้าว!"
"กว้าว กว้าว!"
เสียงร้องของนกกระเรียนก้องกังวานผ่านยอดเขาไร้ตัวตน สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนมากมาย
"เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่ากระเรียนน้อยไปที่ยอดเขาด้านหน้าเพื่อข่มเหงคนเหล่านั้นหรือ? เหตุใดมันถึงดูราวกับว่ามันจะเป็นคนที่ถูกข่มเหง?" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่นั่งอยู่ในพระราชวังบนยอดเขายาอายุวัฒนะถามอย่างสงสัย
วังบนยอดเขายันต์มีหญิงวัยกลางคนหน้าตาเย็นชาคนหนึ่ง เมื่อเห็นนกกระเรียนบินไปในอากาศ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำว่า "เกิดอะไรขึ้นกับกระเรียนน้อย? เมื่อมาคิดว่าคนของสำนักไร้ตัวตนจะกล้าข่มเหงมันหรือ?"
ผู้เฒ่าที่ไม่เรียบร้อยปรากฏบตัวนยอดเขาสรรพาวุธด้วยเช่นกัน แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว คนผู้นี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "กล้าดีอย่างไรมาทำให้กระเรียนน้อยพ่ายแพ้! น่าสนใจ น่าสนใจ!"