บทที่ 3 สามัญชนปรารถนาจับเซียน
กาลเวลาราวกับถูกกดปุ่มเร่งความเร็ว
หลี่ฟานดำเนินแผนการของตนเองอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามลำดับไม่สับสน
เมื่อมีประสบการณ์จากสองชาติแล้ว ทุกอย่างก็ราบรื่นอย่างกับสายน้ำที่ไหลไปตามร่องน้ำ
เขายังคงเข้าร่วมการสอบเป็นขุนนางเหมือนเดิม
แต่คราวนี้ ด้วยประสบการณ์ในวงการหลายสิบปี งานเขียนของเขาจึงห่างชั้นกว่าชาติก่อนเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการสอบระดับท้องถิ่น ระดับมณฑล หรือระดับวังหลวง เขาคว้าที่หนึ่งมาครองทั้งหมด สอบได้เป็นหัวหน้าบัณฑิตทั้งสามสนามสอบ กระฉ่อนไปทั่วใต้หล้า!
หลังจากนั้น เขาขออ้างเหตุผลว่าอยากไปเพิ่มประสบการณ์ในวัยหนุ่ม จึงขอย้ายไปรับราชการที่ต่างถิ่น โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่อำเภอเหวินเสี่ยนอย่างแน่นอน
ถึงแม้เหล่าขุนนางในราชสำนักจะไม่เข้าใจและเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังอนุมัติคำร้องของเขาในที่สุด
ดังนั้น ในปีที่ 3 ของจุดยึดเหนี่ยว เขาจึงมาถึงอำเภอเหวินเสี่ยนอีกครั้ง
ครั้งนี้ ดีกว่าชาติก่อนมากนัก เนื่องจากชื่อเสียงของเขาใหญ่โตเกินไป ทั้งยังเข้าใจนิสัยของข้าราชการน้อยใหญ่ในเขตปกครองอย่างถ่องแท้ แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก เขาก็จัดการปราบปรามผู้คนทั่วอำเภอเหวินจนสยบราบคาบ
จากนั้น เขาก็เริ่มเลื่อนตำแหน่งและเลี้ยงดูคนสนิทในชาติที่แล้วของตัวเอง ขยายกำลังพลของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง
พร้อมกันนั้น เขาก็เขียนแบบแปลนของปืนเชือกระเบิดขึ้นมา สั่งให้ช่างฝีมือผลิตตามแบบ พร้อมบอกถึงจุดยากในการผลิตอย่างละเอียด หลังจากนั้น เขาก็ให้คนลอบไปรับสมัครช่างฝีมือจากทั่วสารทิศ พยายามพัฒนาปืนที่ล้ำสมัยยิ่งๆขึ้นไป
การขุดเหมืองแร่ในภูเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่ง หลี่ฟานกวาดล้างโจรภูเขาทั้งหมดที่อยู่ใกล้อำเภอเหวิน แล้วลากตัวพวกมันไปขุดเหมือง โดยอาศัยแหล่งแร่ เขาสร้างโรงงานหัตถกรรมมากมายในป่าลึก ผลิตสินค้าหัตถกรรมและอุปกรณ์เหล็กเป็นจำนวนมหาศาล พร้อมๆกันนั้น ก็จัดตั้งกองคาราวานค้าขายอย่างลับๆ เดินทางไปค้าขายทั่วสารทิศ สะสมเงินทองไว้
ในปีที่ 4 ของจุดยึดเหนี่ยว หลังจากตามหาอยู่นาน ในที่สุดหลี่ฟานก็พบตัวแทนของจักรพรรดิเสวียนจิง ก็เพราะการมีอยู่ของตัวแทนผู้นี้ ทำให้แผนลอบสังหารของเขาในชาติก่อนเกือบจะล้มเหลว โชคดีที่เขาทำอะไรมักจะรอบคอบระมัดระวังเสมอ และมีแผนสำรองหลายแผน จึงไม่ทำให้แผนทั้งหมดต้องพังทลาย หลี่ฟานฝึกฝนตัวแทนด้วยตัวเอง เมื่อผ่านไปครึ่งปี แทบจะไม่มีจุดบกพร่องเลย
ในปีที่ 5 ของจุดยึดเหนี่ยว เกิดภัยแล้งอย่างหนักที่เจียงหนาน หลี่ฟานสั่งให้ลูกน้องแต่งตัวเป็นผู้อพยพ บุกโจมตีจวนหลางเยี่ย ด้านหลี่ฟานเองก็นำกำลังทหารแกล้งทำเป็นมาช่วยเหลือ แต่ที่จริงแล้วก็คบคิดกับพวกโจมตี ลอบสังหารตระกูลหลางเยี่ยทั้งหมดอย่างเงียบๆ พร้อมกันนั้น ก็ให้ตัวแทนออกโรง
นับจากนั้น หลี่ฟานก็แย่งชิงจวนหลางเยี่ยมาอยู่อาศัย ควบคุมจวนหลางเยี่ยไว้อย่างลับๆ
ข่าวที่ว่าตระกูลหลางเยี่ยถูกสังหาร มีเพียงตัวเจ้าหลางเยี่ยเองเท่านั้นที่รอดมาได้ กระฉ่อนไปทั่ว จักรพรรดิกริ้วจัด ส่งทหารไปปราบปรามผู้อพยพ ส่วนหลี่ฟานได้ความชอบ จึงถูกเลื่อนเป็นเจ้าเมืองเจียงไห่
อำนาจของหลี่ฟานยิ่งกว้างขวางขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขากลับยิ่งต้องระมัดระวัง ไม่ได้ขยายกำลังออกไปสู่ภายนอกอีก แต่เลือกที่จะเงียบๆพัฒนาวิทยาการและกำลังการผลิตแทน
ปีที่ 7 ของจุดยึดเหนี่ยว ภัยตั๊กแตนก็มาถึงดั่งใจหมาย หลี่ฟานมีการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้ว เมืองเจียงไห่จึงไม่มีความเสียหาย เขายังร้องขอให้ราชสำนักเปิดคลัง แจกจ่ายเสบียง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ราชสำนักก็อนุญาต
ได้โอกาสนี้ หลี่ฟานก็ได้รับกำลังคนเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น ผู้ประสบภัยเหล่านี้ก็มาตั้งรกรากอยู่ใต้การปกครองของหลี่ฟาน พละกำลังของหลี่ฟานก็เพิ่มพูนอย่างทวีคูณ
ในปีที่ 9 ของจุดยึดเหนี่ยว งานอภิเษกระหว่างเจ้าชายหลางเยี่ยและหลานสาวของขุนนางผู้ใหญ่สุดในราชสำนักก็จัดขึ้นตามกำหนด ในคืนนั้น หลี่ฟานบุกเข้าไปในห้องหอ ทำเอาองค์หญิงหลางเยี่ยตกใจจนแทบสิ้นชีพ เมื่อรู้ว่าหลี่ฟานสังหารเจ้าชายหลางเยี่ยและใช้ตัวแทนแทรกซึม นางก็ยิ่งด่าว่าหลี่ฟานว่าเป็นขบถชั่วช้า หลี่ฟานไม่ยี่หระ กลับหัวเราะชอบใจ และสั่งให้นางเขียนเรื่องที่ช็อคคนทั้งโลกนี้ทุกอย่างลงในจดหมาย
หลี่ฟานถือจดหมายฉบับนี้ ปลอมตัวเป็นผู้ส่งข่าวของเจ้าชายหลางเยี่ย แอบเข้าวังไปพบขุนนางใหญ่ที่สุด
หลี่ฟานทำเป็นไม่มีอะไร เล่าเรื่องที่ตนเองครอบครองจวนเจ้าชายหลางเยี่ยทั้งหมดแล้วโดยละเอียด พร้อมอ้างว่าเขากับหลานสาวของขุนนางใหญ่มีความสัมพันธ์ในคืนวันแต่งงานเป็นที่เรียบร้อย ขุนนางใหญ่ถึงจะตกใจ แต่ก็ไม่แสดงออก ถามหลี่ฟานว่าเจตนาจะทำอะไรกันแน่
หลี่ฟานพูดตรงๆว่าขุนนางใหญ่ครองอำนาจมานานหลายปี มีศัตรูมากเกินไป แต่บุตรชายทั้งหลายล้วนไร้ความสามารถ หลังจากขุนนางใหญ่เสียชีวิตไป เกรงว่าจะยากที่จะปกป้องให้ตระกูลอยู่รอดได้ หากขุนนางใหญ่ยอมช่วยเหลือหลี่ฟานเมื่อถึงเวลาจำเป็น หลี่ฟานก็จะรับรองการรุ่งเรืองของตระกูลขุนนางใหญ่ให้อยู่ยงคงกระพันอีกร้อยปีแน่นอน
ขุนนางใหญ่ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะถามอย่างเชื่องช้าว่าเรื่องใดกัน หลี่ฟานยิ้มน้อยๆ บอกแต่เพียงว่าต่อไปจะเห็นเอง จากนั้นก็ลอยนวลจากไป
ปีที่ 10 ของจุดยึดเหนี่ยว องค์หญิงหลางเยี่ยให้กำเนิดโอรสพระองค์หนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกของหลี่ฟาน หลี่ฟานเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปยังจวนขุนนางใหญ่เพื่อแจ้งข่าวดี
ปีที่ 15 ของจุดยึดเหนี่ยว ในที่สุดจักรพรรดิก็ทรงประชวรหนัก หลังได้รับพระราชโองการสืบราชสมบัติ หลี่ฟานพาลูกน้องขี่ม้าเร่งรีบ รุดหน้าเข้าเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน
หลังจากตัวแทนเจ้าชายหลางเยี่ยขึ้นครองราชย์แล้ว หลี่ฟานก็แอบอ้างพระบัญชาฮ่องเต้ จัดวางคนสนิทในราชสำนัก พร้อมกับมีขุนนางใหญ่แอบช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง จึงควบคุมสถานการณ์ได้อย่างไม่มีเรื่องราวใดๆ
ปีที่ 16 ของจุดยึดเหนี่ยว กบฏลุกฮือขึ้นทั่วทุกหนแห่ง หลี่ฟานฉวยโอกาสส่งลูกน้องแทรกซึมเข้าไปในกองทัพ หลังจากนั้นก็ใช้วีรกรรมในการปราบกบฏ เลื่อนตำแหน่งให้เป็นการใหญ่ เพียงแค่ 3-4 ปีเท่านั้น กองทัพก็ตกอยู่ในอำนาจของหลี่ฟานอย่างเหนียวแน่น
ปีที่ 20 ของจุดยึดเหนี่ยว แผ่นดินค่อยๆฟื้นตัวจากความป่วนป่ายในช่วงเปลี่ยนผ่านจักรพรรดิ ครั้งนี้หลี่ฟานตัดสินใจเด็ดขาด วางยาพิษสังหารเสด็จปลอมคังหนิง ทำลายเชื้อไข้ที่อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามเพียงเส้นเดียวที่เหลือตั้งแต่ในเปล
หลังจากอภิเษกบุตรชายของตนขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว หลี่ฟานก็แต่งตั้งตนเองเป็นอาจารย์ใหญ่ จากผู้อยู่เบื้องหลังมาเป็นคนเบื้องหน้า กลับมาครองอำนาจเหนือแผ่นดินอีกครั้ง
หลังจากนั้น เฟืองขับเคลื่อนการพัฒนาของอาณาจักรต๋าเสวียน ไม่เพียงไม่หยุดนิ่ง แต่กลับยิ่งหมุนเร็วขึ้นเพราะเจตจำนงของหลี่ฟานอีกด้วย!
ปีที่ 35 ของจุดยึดเหนี่ยว ที่จวนอาจารย์ใหญ่
หลี่ฟานดูจดหมายลับที่ลูกน้องส่งมาให้ พลางอ่านอย่างละเอียดสักพัก ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
"ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าหมอกบนหุบเหวลึกลับผืนนั้น ทุก 15 ปีจะเปิดออกครึ่งวันงั้นหรือ"
"กราบทูลอาจารย์ใหญ่ มิผิดแล้ว พวกข้าน้อยค่ายสืบเซียนได้รับคำสั่งให้ตั้งมั่นอยู่ข้างหุบเหว สังเกตการณ์ทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็มีความคืบหน้าเมื่อไม่กี่วันมานี้" ผู้ส่งข่าวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นระลึกถึงภาพเหตุการณ์ขณะนั้น บนใบหน้ายังคงเหลือร่องรอยความตกตะลึงอยู่ "หลังจากหมอกหนาจางหายไป ก็มีแสงสว่างเลือนรางส่องขึ้นมาจากก้นหุบ พวกเราใช้กล้องส่องทางไกลดู คาดไม่ถึงว่าพบเจอภาพทิวทัศน์ที่กลับด้านจำนวนมากมาย"
"ถึงแม้สิ่งที่แต่ละคนเห็นจะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็มีภูเขานับแสนลูกทอดยาวสุดลูกหูลูกตา มีสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ท่ามกลาง เลือนรางแต่ก็มองเห็นได้ มีนครใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนที่ราบ ผู้คนพลุกพล่านดุจดวงดาว มีประชากรไม่ต่ำกว่าล้านคน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเมืองบนฟ้าที่มีล้อมรอบด้วยแสงเรืองรองหลายสาย สัตว์และนกหายากแปลกตานานาพันธุ์บินวนอยู่ มันช่างเป็น..." ผู้ส่งข่าวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยความรู้สึกในใจออกมา "ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งนัก"
"ถึงอย่างนั้น ก็มาจากหุบเหวนั่นจริงๆด้วย" ถึงแม้จะรู้ข่าวนี้มาก่อนแล้ว แต่พอได้ยินลูกน้องมายืนยันกับปากตัวเอง ในใจของหลี่ฟานก็อดตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์หลายปีทำให้เขาไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมา
เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "แล้วหาวิธีลงไปถึงก้นเหวนั่นได้หรือยัง"
ผู้ส่งข่าวกลั้นหายใจ ใบหน้าซีดขาวลงทันที รีบคุกเข่าขอขมาว่า "ผู้น้อยไร้ความสามารถ พวกเราลองใช้วิธีต่างๆดูแล้ว แต่พอลงไปถึงความลึกระดับหนึ่ง ก็ถูกลมปราณที่พุ่งมาอย่างกะทันหันบดขยี้จนแหลกละเอียด ลมปราณนั้นรุนแรงยิ่งนัก แม้แต่เกราะที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา ก็ทานทานได้ไม่ถึงชั่วอึดใจเดียว"
พอหลี่ฟานได้ยินดังนั้นก็ไม่ค่อยมีสีหน้าผิดหวังสักเท่าไร
โบกมือให้ผู้ส่งข่าวออกไป หลี่ฟานพึมพำกับตัวเองว่า "ดูท่าคงต้องรอพวกเจ้าอยู่ดี"
......
ปีที่ 50 ของจุดยึดเหนี่ยว ณ อาณาจักรต๋าเสวียน เมืองเสวียนจิง
เมืองเสวียนจิงที่ครึกครื้นอย่างยิ่งในอดีต บัดนี้กลับเงียบสงัดจนน่าขนลุก
ชาวเสวียนจิงส่วนใหญ่ถูกบังคับให้อพยพไปเมืองโดยรอบ ภายใต้พระบัญชาของอาจารย์ใหญ่ในราชวงศ์ปัจจุบันเมื่อเดือนก่อน อ้างว่าเพื่อหลบเลี่ยงเคราะห์กรรม ข้ออ้างน่าขันเช่นนี้ย่อมมีคนไม่เชื่อ แต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่ได้บีบบังคับจนเกินไป ใครไม่ยอมไปจริงๆก็ไม่ฝืน แค่แนะนำให้ขุดห้องใต้ดินหลบภัยในบ้าน พวกคนเหล่านี้เอาแต่พูดหัวเราะกัน
พอหลี่ฟานได้รับรายงาน ก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาทำเต็มที่แล้วจริงๆ
ในถนนซอกซอยของเมืองเสวียนจิงตอนนี้ มีกองกำลังพิเศษที่เขาจัดเตรียมมาอย่างดีในช่วงหลายปีมานี้คอยซุ่มโจมตีเหล่าเซียนทั้งสอง
ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมสรรพ เหลือก็แต่สายลมตะวันออกเท่านั้น! (หมายถึงเหลือแต่รออีกฝ่ายปรากฏตัว)
ยามค่ำคืน ดวงจันทร์ลอยสูง สองผู้ฝึกเซียนก็มาปรากฏกายตามกำหนด!
"เต๋าเสวียนจื่อ! เจ้าอย่ารังแกผู้อื่นเกินไปนัก!"
คำตะโกนเกรี้ยวกราดของโข่วหงดังไปทั่วเมืองเสวียนจิง
"ตึ่งๆๆๆ..."
เปลวไฟนับไม่ถ้วนลุกโชนขึ้นทันใด กระสุนนับหมื่นนัดราวกับสายน้ำตกพุ่งกระหน่ำใส่ร่างของเหล่าเซียนทั้งสองในชั่วพริบตา!