บทที่ 56 ข้าเก่งเรื่องฆ่าปีศาจ
บทที่ 56 ข้าเก่งเรื่องฆ่าปีศาจ
แผนกปราบปีศาจชิงโจว โถงประชุมใหญ่...
หลังคาสีเทา กำแพงสีขาวตั้งตระหง่าน ประตูสีแดงสดเปิดกว้าง ร่างต่างๆ ทยอยเข้าออก ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความรีบร้อน
เสินอี้สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างเงียบๆ
แม้ทุกคนจะสวมชุดสีดำล้วน แต่มีมากกว่าหกส่วนที่ไม่มีลายเมฆบนแขนเสื้อ
อายุเฉลี่ยก็ประมาณสี่สิบปี
ออร่าบนร่างกายอยู่ในขอบเขตเริ่มต้น แต่ดูผันผวนไม่แน่นอน พูดได้ว่า พวกเขาแค่ก้าวข้ามธรณีประตูขอบเขตเท่านั้น
นี่คือกลุ่ม "แช่น้ำยาล้ำค่า" ที่จางถูหูกล่าวถึงใช่ไหม?
แต่คนที่เดินผ่านมาเป็นครั้งคราวที่สวมเสื้อที่มีลายเมฆ พวกเขาดูอายุน้อยกว่า สายตาดูเฉียบคมมากกว่า
“ทหารค่ายชั้นในสามพันคน ทหารชั้นค่ายนอกแปดพันกว่าคน รวมแล้วมีทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ทั้งหมดรับผิดชอบความปลอดภัยของสิบสองแคว้น และสามร้อยสี่สิบสองเมืองในชิงโจว”
ขอทานเดินเข้ามา กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
"ยกเว้นทหารค่ายชั้นในสองพันห้าร้อยคนที่ประจำการอยู่เมืองชิงโจว โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกๆ ยี่สิบคนต้องดูแลเมืองหนึ่งเมือง ดังนั้นจำนวนคนของเราจึงสอดคล้องกับจำนวนนี้ ขุนพลคนหนึ่งออกไปทำงาน โดยทั่วไปจะพาเสี่ยวเว่ยไปประมาณยี่สิบคน แม้จะเผชิญกับวิกฤตที่ไม่อาจต้านทานได้ รวมถึงตัวเองที่เสียชีวิตทั้งหมด ความสูญเสียก็ไม่มากนัก"
หลังจากฟังบทสนทนาของหลายคนมานาน เขาก็รู้จัดชื่อของขอทานแล้ว
ขอทานผู้นี้ชื่อ... หม่าเถา
เสินอี้มองหม่าเถาที่ดูจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น
ดูเหมือนว่าการสูญเสียชีวิตทั้งหมด ในสายตาของอีกฝ่ายคงเป็นเรื่องปกติ
ดูจากสถานการณ์ หากต้องการเป็นขุนพลเพื่อนำทีมคนเดียว อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตวารีหยก และถ้าอยู่ที่เมืองไป่อวิ๋น พวกเขาก็คือจักรพรรดิที่ปกครองด้วยมือเดียว แล้วสิ่งนี้หม่าเถายังเรียกว่าสูญเสียไม่มากนัก?
“แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ไม่ตายอย่างไร้ร่องรอย อย่างมากครึ่งเดือน พวกเราจะส่งคนมาแก้แค้นให้”
หม่าเถายิ้มกว้าง ถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ขุนพลอาวุโสแห่งเมืองหยูซาน เขาถูกสามสำนักในท้องถิ่นรวมหัวกันฆ่า พวกเขาคิดว่าตัวเองทำได้อย่างแนบเนียน แต่ก็ไม่! จากนั้นไม่นาน ศิษย์คนที่สองของขุนพลอาวุโสนำคนไปหนึ่งพันคน ใช้เวลาเพียงหกวัน กวาดล้างศัตรูได้สองหมื่นสามพันคน ได้ยินว่าหัวคนยังถูกวางซ้อนกันอยู่หน้าประตูเมือง”
นี่คือความโหดเหี้ยมของแผนกปราบปีศาจ
เสินอี้เม้มริมฝีปาก พลางจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ
เขาคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน อย่างน้อยเขาต้องพยายามรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าโลกนี้จะวุ่นวายกว่าที่คิด ไม่เพียงแต่ชีวิตของสามัญชนเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่มีชื่อเสียง ถ้าจะพูดว่าตายมันก็ต้องตาย!
“เอ่อ... เจ้าเก่งด้านไหน?”
หลี่มู่จิ่งเดินออกจากศาลาว่าการแผนกปราบปีศาจ นางมองไปที่เสิ้นอี้ “ติดตาม สืบหา? บุกตะลุย? ... หรือว่า เก่งเรื่องต่อสู้ระยะประชิด? เจ้าจับกุมปีศาจได้ใช่มั้ย?”
เมื่อนึกถึงฉากที่เสินอี้ทำให้ฟางเหิงเสียหน้า ประโยคหลังของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อได้ยินคำถาม หม่าเถายักไหล่ เล่นนิ้วมือด้วยความอึดอัดเล็กน้อย
หากในทีมมีสองคนที่เรียนศาสตร์การต่อสู้คล้ายกัน และอีกฝ่ายก็ดันเก่งกว่าเยอะ อีกคนก็จะดูไร้ประโยชน์ทันที
เมื่อเห็นเสินอี้มีสีหน้าสงสัย เขาถอนหายใจเล็กน้อย จัดการอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วอธิบายว่า “นางถามเพื่อทำบันทึกไว้ เผื่อว่าในอนาคตหัวหน้าหลี่เกิดอุบัติเหตุ แต่เจ้าโชคดีรอดชีวิต มันก็จะสะดวกให้หัวหน้าคนอื่นเลือกคน เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น แค่บอกมาตรงๆ ว่า เจ้าเก่งเรื่องอะไรก็พอ”
“อ่อ... ข้าเข้าใจแล้ว”
เสินอี้ครุ่นคิด ค้นหาในใจอย่างเงียบๆ ในไม่ช้าบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มๆ ของเสินอี้ คนอื่นๆ มองตากันด้วยความสงสัยเล็กน้อย
เจ้าจะคิดนานไปเพื่อ? เจ้าเรียนวิชาอะไรมา เจ้าไม่รู้งั้นเหรอ?
หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นอี้ก็เงยหน้าขึ้น เขาตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้าเก่งเรื่อง... ฆ่าปีศาจ ได้ไหม?”
ร่างแปดขุมทรัพย์สุริยันทองคำ เทียนกังโลหิต ถานหลางสังหารปีศาจ ตัดชีพจรจับมังกร...
ดูเหมือนจะพูดได้ยากว่าอันไหนเก่งกว่า เขารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ทั้งหมด
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลิวซิ่วเจี๋ยและหม่าเถาก็ตกตะลึง
“ฮ่าๆๆๆ”
หลี่มู่จิ่งตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็นางกุมท้องหัวเราะจนตัวสั่น หันหลังกลับไป “ได้ ได้! เขียนลงไป เขาบอกว่าเขาเก่งเรื่องฆ่าปีศาจ!”
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ซินฮั่นก็ลงทะเบียนเสร็จ เขาเดินออกมาช้าๆ มองเสินอี้ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
เขาเห็นตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไป๋อวิ๋นแล้วว่า ชายผู่นี้เรียนอะไรมั่วซั่วไปหมด แต่ไม่คิดว่าจะไม่มีแม้แต่แนวทางหลักในการศึกษา หรือเขาควรจะเชิญอาจารย์จากบ้านมาช่วยดูพรสวรรค์ของเขา และจัดหาแนวทางในอนาคตให้เขาดีไหมนะ?
“เสี่ยวเอ้อ(เด็กน้อยคนที่สอง) ไปจัดเตรียมรถม้า ไปอำเภอหลินเจียง เมืองสุ่ยอวิ๋น”
เขาเก็บความคิด พยักหน้าให้ชายร่างเล็กตัวเท่าเด็ก เสี่ยวเอ้อโค้งตัวคำนับ แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ
หลี่ซินฮั่นพาคนออกจากแผนกปราบปีศาจทันที
“หัวหน้าหลี่ดูตึงเครียดนะ?” เสินอี้ถามอย่างสงสัย
หลิวซิวเจี๋ยสังเกตเห็นความสงสัยของอีกฝ่าย เขาตอบเบาๆ ว่า “ตำแหน่งของเขาต่ำ งานดีๆ ล้วนถูกขุนพลคนอื่นเลือกไปหมด การช่วยชีวิตใต้เท้าหลินถือว่าเป็นความดีความชอบ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับมา เรื่องนี้ห้ามเปิดเผยออกไป”
“จากการคำนวณความดีความชอบทั้งหมดที่ผ่านมา ถ้าครั้งนี้ได้จัดการกับเรื่องปีศาจขอบเขตวารีหยกอีกสักครั้ง หัวหน้าหลี่ก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลได้แล้ว แต่... ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเราจะได้อะไรมาไหมก็ไม่รู้?”
เมื่อพูดถึงเรื่องความดีความชอบ ดวงตาก็เปล่งประกาย
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขามาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง เข้าร่วมแผนกปราบปีศาจ แน่นอนว่า มันก็เพื่อสร้างชื่อเสียง!
เสินอี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าลายเมฆบนแขนเสื้อของพวกเขาเป็นสองแถว ดูจากตอนนี้ หลี่ซินฮั่นกระตือรือร้นกับความดีความชอบจริงๆ แม้แต่ลูกน้องก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย
“เจ้าอย่าเพิ่งอิจฉาเลย ตราบใดที่เจ้าสามารถจัดการเรื่องปีศาจขอบเขตวารีหยกได้ห้าครั้ง หรือได้รับชัยชนะครั้งใหญ่สักครั้ง เจ้าก็สามารถเพิ่มลายเมฆอีกหนึ่งแถว เมื่อถึงเวลานั้น การให้ตำราบ่มเพาะปราณแก่นแท้แก่เจ้าก็เป็นเรื่องง่าย”
...
เมื่อทั้งหมดก้าวออกจากประตูแผนกปราบปีศาจจนมาถึงถนนใหญ่ พวกเขาก็เก็บรอยยิ้มอย่างชำนาญ
ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป ผู้คนต่างหยุดยืนหลีกทาง
จนกว่าคนเหล่านี้จะเดินจากไป พวกเขาจึงกลับมาทำงานต่อ
เดินไปจนถึงเชิงกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ หลี่เสี่ยวเอ้อจูงม้าปีศาจรอคอยอยู่แล้ว
“นี่คือสายลับของเรา หากเขาวิ่งเต็มกำลัง เขาจะใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ไปกลับระหว่างเมืองไป๋อวิ๋นกับเมืองชิงโจวได้ ถ้ามีจดหมายอะไร ให้เขาส่งก็ไม่มีผิดพลาด” หลิวซิวเจี๋ยกระโดดขึ้นรถม้าพลางพูดจาล้อเลียน
หลี่เสี่ยวเอ้อจ้องเขา จากนั้นพยักหน้าให้เสินอี้ พูดสั้นๆ เพียงว่า “ส่งได้ ข้าเร็วมาก”
เมื่อทุกคนนั่งลง หลี่มู่จิงดึงสายจูงแล้วขี่ม้าไปข้างหน้า
เสินอี้นั่งอยู่ในรถม้า เขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
แม้แต่ในเรื่องใครจะขี่ม้า ใครจะนั่งรถม้า ทั้งหมดก็มีกฎเกณฑ์
ผู้ที่มีขอบเขตบ่มเพาะสูงสุดเท่านั้นที่จะอยู่บนหลังม้า เพื่อที่พวกเขาจะสามารถรักษาการตื่นตัวได้นาน เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาก็สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
“…”
หลี่ซินฮั่นนั่งพิงกับรถม้า ประสานมือ ปลายนิ้วเคาะหลังมืออย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
"หัวหน้าไม่ต้องกังวลมากนักหรอก" หม่าเถายื่นมือโบกไปมาต่อหน้าหลี่ซินฮั่น "ถึงแม้ว่าคนของเราจะน้อยในครั้งนี้ มันก็แค่ไปที่เมืองสุ่ยอวิ๋นเพื่อตามหาคนไม่กี่คนเท่านั้น?"
หลิวซิวเจี๋ยเริ่มอธิบายภารกิจในครั้งนี้ให้เสิ่นอี้ฟัง "มีเสี่ยวเว่ยหลายคนคอยตรวจการณ์อยู่ที่เมืองสุ่ยอวิ๋น ตามกฎแล้ว พวกเขาจะต้องส่งจดหมายกลับบ้านภายในสิบห้าวัน แต่ไม่มีข่าวคราวอะไรจากพวกเขาเลย... เรื่องนี้ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเมืองสุ่ยอวิ๋นมีเทพเจ้าแห่งแม่น้ำอยู่ ถ้าเทพเจ้าแห่งแม่น้ำเกิดเรื่อง ชาวบ้านคงแห่กันมาชิงโจวกันหมดแล้ว"
หลี่ซินฮั่นเงียบไปนาน เขาหยิบเข็มขัดเปื้อนเลือดออกมาจากอกเสื้อ "นี่คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการเมืองสุ่ยอวิ๋นส่งมา โถงประชุมใหญ่เพิ่งส่งมอบให้ข้า"
ในตอนที่หลี่ซินฮั่นพูด เขามองไปที่เสินอี้ "เดิมทีข้าตั้งใจจะพาเจ้าออกมาเพื่อทำความคุ้นเคย... ไม่คิดว่าเรื่องครั้งนี้จะยุ่งยากกว่าที่คิด เจ้าไม่มีประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจจริงมากนัก เจ้าต้องระวังตัวด้วย"
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เฒ่าหลิวและหม่าเถา ต่างก็หายใจติดขัด "...."
เรื่องราวที่เสินอี้ฆ่าปีศาจสุนัขและปีศาจวานรในเมืองไป๋อวิ๋น พวกเขาทั้งสองย่อมรู้ดี
พูดได้ยังไงว่าไม่มีประสบการณ์
พวกนั้นคือปีศาจขอบเขตเริ่มต้นขั้นสมบูรณ์ทั้งหมดเลยนะ?
จู่ๆ หม่าเถานึกขึ้นได้ว่า เมื่อกี้เขาเพิ่งพูดถึงเรื่องการตายการล้างแค้นกับอีกฝ่าย เดิมทีตั้งใจจะสร้างบรรยากาศ ตอนนี้เขารู้สึกผิดเล็กน้อย
"แม่ง! ปากข้า!"
เสิ่นอี้หันข้างเล็กน้อย หลี่เสี่ยวเอ้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างเฉยเมย เขามองไปที่หม่าเถาอย่างเงียบ ๆ