ตอนที่ 84 พบกับ จินจิ่ว อีกครั้ง
“อ๊าาค~”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง สร้างความตกใจให้กับลูกค้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุไม่น้อย
ทุกคนต่างมองไปทาง ซูเหวิน
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนก็ไม่แม้แต่จะกินอาหารบนโต๊ะด้วยซ้ำ
“เป็นคุณ ..นั้นเอง”
เทียบกันทุกคนแล้ว
ซูเหวิน ตกใจเล็กน้อย เมื่อเขามองไปที่ชายที่ จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา
นี่ไม่ใช่ จินจิ่ว คนเดียวกับคนที่ตอนนั้นเกือบจะรื้อโรงน้ำชาของเขาเหรอ?
นั่นคือผู้ช่วยที่ จาง เทียนห่าว เรียกมา ครั้งที่โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ
รู้สึกว่าเขาจะชื่อ ลุงจิ่ว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า.. ไม่เพียงแต่ ซูเหวิน เท่านั้น ที่คุ้นเคยกับเขา
เพราะแม้แต่กลุ่มคนที่เพิ่งเห็น พี่เซียง ของพวกเขาโดนเตะ จนเกือบจะตะโกนกรีดร้องด้วยความโกรธ แต่เพียงหลังจากเห็นหน้า จินจิ่ว เท่านั้น
ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง ไปพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกับ จินจิ่ว เช่นกัน
แต่ จินจิ่ว เหมือนไม่สนใจชายกลุ่มนั้นเลย
เขามองตรงไปที่ ซูเหวิน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มทันทีว่า : “พี่ซู เราไม่เจอกันนานเลยนะ ฉันเอง จินจิ่ว”
“ไม่คิดว่า พี่ซู จะยังจำฉันได้ รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ”
“แล้วเมื่อกี้ คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
เมื่อเผชิญหน้ากับความประหลาดใจของ ซูเหวิน
จินจิ่ว กลับให้ความเคารพ และเต็มไปด้วยคําพูดประจบสอพลอ
เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ได้พบเจอกันที่ โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ แล้ว
ทัศนคติของเขาที่มีต่อ ซูเหวิน ในครั้งนี้ ดูแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
“แน่นอน ผมไม่เป็นไร”
“เพียงแค่ผมไม่ได้คาดคิดว่าคุณจะเข้ามาช่วยผมจริงๆ..”
“จะว่าไปแล้ว เราเคยเป็นศัตรูในโรงน้ำชากันมาก่อน ไม่ใช่เหรอ?”
ซูเหวิน ที่มีสีหน้าเรียบเฉย และเขาพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกไปกับอีกฝ่าย
ซึ่งมันดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อบุคคลตรงนี้มากนัก
“เอ่อ…”
“ประธานซู คุณล้อเล่นแล้ว ในโลกนี้จะไปมีศัตรูที่ถาวรได้อย่างไรล่ะ จริงมั้ย ฮ่าฮ่าฮ่า...”
จินจิ่ว ดูจะตอบกลับอย่างอึดอัดเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะยิ้มหัวเราะออกมา
เขารู้ว่า ประธานซู ยังคงไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงน้ำชาครั้งที่แล้ว จึงรีบพูดว่า : “พี่ซู เรื่องโรงน้ำชาครั้งที่แล้วมันเป็นความผิดของฉันเอง มันเป็น จินจิ่ว คนนี้ที่มีใบไม้หนึ่งบังตา จนมองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน(1) จนไปทำให้คุณขุ่นเคืองใจเข้า”
“ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย(2) พี่ซู โปรดอย่าได้ถือเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลยนะ ฉัน จินจิ่ว มาที่นี่เพื่อขอโทษคุณ”
พูดจบ เขาก็ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างเลย และโค้งคํานับต่อ ซูเหวิน เพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ
และเหตุผลที่ จินจิ่ว เผชิญหน้ากับ ซูเหวิน จู่ๆ ก็กลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมา และดูให้เกียรติเขาเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะเขารู้จักตัวตนของ ซูเหวิน แล้ว
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งก่อนหน้านี้ เขาทราบว่า โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ ได้ถูกเปลี่ยนมือ
และนอกจากนี้ เจ้าของคนใหม่คนนี้ยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับ เซี่ย เฉิงตง แห่ง ฮั่วซิน กรุ๊ป
เขาจึงจงใจส่งคนไปตรวจสอบตัวตนของ ซูเหวิน เป็นพิเศษ
หากไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้ แต่พอเมื่อตรวจสอบแล้ว ..มันก็เป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ
ซูเหวิน จริงๆ แล้วเขาเป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง
ซึ่งหนึ่งในนั้นยังเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Worster’
ในตอนนั้น เขา.. ตกตะลึงทันที
เมื่อนึกถึงเวลานั้นที่เขาเคยคิดจะจัดการกับบุคคลที่ลึกลับ และน่ากลัวเช่นนี้ ตัวเขาก็รู้สึกสั่นกลัวอยู่พักหนึ่งไปอย่าง..หลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้งนี้เมื่อพบเจอกันอีก
แน่นอนว่า จินจิ่ว ย่อมไม่กล้าคิดสร้างปัญหา และแถมยังโค้งคำนับเพื่อแสดงความขอโทษอีกฝ่ายด้วย
และการโค้งคำนับของเขาในครั้งนี้
ทำให้ลูกน้องหลายคนที่เดินตามหลังเขาโค้งคํานับลงตามอย่างพร้อมเพรียง
ด้วยการการกระทำนี้ ทำให้ทุกคนในที่เกิดเหตุที่เห็นต่างพากันตกใจมาก
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาถึงตัวตนของ ซูเหวิน
สําหรับ ซูเหวิน หลังจากเห็นทัศนคติของ จินจิ่ว ที่เปลี่ยนไปมากทั้งก่อน และหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความไร้ยางอายของอีกฝ่าย : ‘นี่เพียงชั่วพริบตา แม่ไก่ก็กลายเป็นเป็ด’ (3)
“ตอนเราเจอกันครั้งแรก คุณยังดูค่อนข้างหยิ่งผยอง แต่เพียงพริบตาเดียวคุณก็เรียนรู้ที่จะเป็นคนสุภาพแล้ว”
ซูเหวิน พูดออกไปอย่างไม่แยแส
ไม่รู้ว่าเป็นการเยาะเย้ย หรือแค่อุทานออกมากันแน่
แต่เมื่อเขาได้ยินคําพูดของ ซูเหวิน จินจิ่ว กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก
เขายิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดอีกครั้งว่า : “ประธานซู วางใจได้ ครั้งนี้ฉันไม่ได้มีเจตนา หรือมีความหมายอื่นใดเลย แค่เห็นคุณแล้วไม่รู้ว่าจะแสดงความขอโทษอย่างไร เลยอยากจะสั่งสอนคนพวกนี้ให้เท่านั้น”
“นอกจากนี้ พูดไปแล้วคนพวกนี้ก็ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับฉันอยู่มาก และฉันไม่อยากทำให้คุณต้องขุ่นเคืองใจอีกเพราะพวกเขา”
จินจิ่ว กล่าวต่อ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจมาก
ฟัง จินจิ่ว พูดแบบนี้แล้ว ซูเหวิน ย่อมต้องสงสัยอยู่แล้ว
เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดถามว่า : “คุณรู้จักกับคนกลุ่มนี้?”
“เป็นเช่นนั้น ประธานซู.. เรารู้จักกัน”
“คนกลุ่มนี้ถ้าพูดแล้วก็ถือว่าเป็นลูกน้องของฉัน สุดท้ายแล้ว หม่าเซียง ก็เคยติดตามฉันมาก่อน”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขา ตระกูลหม่า มีความสัมพันธ์บางอย่างกับฉัน”
“พี่ซู คุณวางใจได้ วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะให้คําอธิบายที่น่าพอใจแก่คุณอย่างแน่นอน”
เมื่อเห็น ซูเหวิน ถามคำถามมา จินจิ่ว ที่ไหนจะกล้าละเลย
เขารีบตอบตามความจริง
และเมื่อเขาพูดประโยคนี้เสร็จ จินจิ่ว ก็หันไปมอง หม่าเซียง ที่ยังนอนอยู่บนพื้น กับกลุ่มลูกน้องของ หม่าเซียง กลุ่มนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที แล้วเขาถามด้วยเสียงทุ้มไปว่า : “เรื่องมันยังไง? พวกแกไปมีเรื่องขัดแย้งกับ พี่ซู ได้ยังไง?”
“จิ่ว...ลุงจิ่ว ฉัน...ฉัน...”
ในขณะนี้ คนของ หม่าเซียง ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์แล้ว
ในความเป็นจริง ตั้งแต่วินาทีที่ จินจิ่ว โค้งคำนับให้ ซูเหวิน พวกเขาก็สับสน และไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ
ไม่มีทาง ใครที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา?
นั่นคือ ลุงจิ่ว!
ลุงจิ่ว คือใคร?
ถ้าพูดถึงครอบครัวของ พี่เซียง พวกเขามีชื่อเสียงแค่ในเฉพาะเขตนี้เท่านั้น
ต่างกับ ลุงจิ่ว ที่เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมทั่วทั้งเมืองม่อ
พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
โดยทั่วไปแล้ว.. ใครบ้างที่ไม่รู้จัก ลุงจิ่ว?
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ ลุงจิ่ว ยังต้องแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน และโค้งคำนับ เมื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ..พวกเขา
แบบนี้จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร?
“พูดมา ตกลงแล้ว ..มันเกิดอะไรขึ้น?”
“และก็ไปลาก หม่าเซียง มาให้ฉัน ฉันมีอะไรจะถามเขา”
เมื่อเห็นหลายคนยังคงดูประหม่า หวาดกลัว และพากันนิ่งเงียบ ดูเหมือนแม้แต่จะผายลมก็ยังไม่กล้า
จินจิ่ว ก็ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธทันที
เขาตะโกนเสียงดังขึ้นจนทำให้หลานชายเหล่านี้ตกใจ
ที่ไหนพวกเขาจะกล้าพูดอะไรอีก?
แน่นอนว่าแต่ละคนรีบวิ่งไปหา พี่ใหญ่ ทันที อุ้มพยุงเขาขึ้นมาแล้วพาเดินตรงมาที่นี่
ดูเหมือนว่าลูกเตะของ จินจิ่ว เมื่อกี้ไม่เบาจริงๆ
ในขณะนี้ หม่าเซียง ที่ถูกประคองมา เดินตรงมาทางนี้เขายังคงร้องคร่ำครวญอยู่
“จิ่ว...ลุงจิ่ว”
หม่าเซียง พูดด้วยเสียงสั่นเทา เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงลูกเตะที่เขาเพิ่งได้รับมาเมื่อกี้
“บอกฉันมาว่าเมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ในสายตาของ จินจิ่ว
เขามองอดีตลูกน้องอย่าง หม่าเซียง และถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ลุงจิ่ว…ฉัน…”
“เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงที่มากับชายหนุ่มคนนี้ หน้าตาดี.. เลยอยากผูกมิตรด้วย แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ดังนั้น... แล้ว...”
ลุงจิ่ว ถามคำถาม
แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญนับร้อย ..ก็ตาม เขาก็ไม่กล้า
แต่สุดท้ายเขาที่ยังพูดไม่ทันจบ
“ดังนั้น แก.. จึงอยากใช้กำลังบังคับผูกมิตรเธอ?”
สิ่งที่ หม่าเซียง ไม่กล้าพูด จินจิ่ว ก็พูดแทนเขาแล้ว
จากนั้น จินจิ่ว ก็ยิ้มหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา แล้วพูดต่อ : “แกกำลังคิดอะไรอยู่ อย่าคิดว่าฉันคนนี้ไม่รู้?”
“สิ่งที่แกเรียกว่าการผูกมิตรนั้น มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าถูกใจสาวน้อยคนหนึ่งแล้วคิดจะพาเธอเข้าโรงแรม”
จินจิ่ว ไม่ได้คิดไว้หน้าเขาเลย เปิดเผยคําโกหกของเขาโดยตรง
ต่อมาสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆ
“ลุงจิ่ว ลุงจิ่ว ฉันผิดไปแล้วๆ ฉัน..ฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว”
“ฉันเป็นคนก่อปัญหา ฉันมันฝันเฟื่องไร้สติทำให้คุณต้องมาลำบากใจ ลุงจิ่ว ได้โปรดเถอะ ลืมมันไปเถอะ อย่าโกรธเลยนะ!”
“และก็ คุณผู้ชายท่านนี้ คุณผู้หญิงท่านนี้ เมื่อกี้ฉัน.. หม่าเซียง มีตาหามีแววไม่ ฉันมันบ้า เสียสติไปแล้วจริงๆ ฉันมันสมควรตาย ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย คราวนี้ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ!”
ทันทีที่เขาเห็นสีหน้าของ จินจิ่ว
หม่าเซียง ก็รู้ได้ทันทีว่า ลุงจิ่ว โกรธจริงๆ แล้ว
และเมื่อ ลุงจิ่ว โกรธ ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก!
คราวนี้เขากลัวจริงๆ
ตัวของเขาสั่นกลัว ตับ และถุงน้ำดีแทบแตกสลายด้วยความกลัวอย่างยิ่ง
(ข้างบน 肝膽俱裂 / ตับ และถุงน้ำดี แตก บรรยายว่า หวาดกลัวอย่างขีดสุด)
(1)[ใบไม้หนึ่งใบบังตา มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน (一叶障目,不见泰山)] - ใบไม้หนึ่งใบบังตา ไม่ใช่ผู้อื่นมองไม่เห็นตน แต่ตนเองจะมองไม่เห็นผู้อื่น แม้มีภูเขาไท่ซานอยู่เบื้องหน้าก็มองไม่เห็น ใช้เปรียบเทียบกับการที่คนเรามองเรื่องใดกลับมองแค่บางส่วน จนทำให้ฟั่นเฟือนชั่วขณะ ไม่เห็นใจความสำคัญหรือความเป็นจริงในภาพรวม
(2)[ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย (大人有大量)] - เป็นการอธิบายถึงบุคคลที่มีความใจกว้าง และไม่ถือโทษโกรธเคือง
(3)[เพียงชั่วพริบตา แม่ไก่ก็กลายเป็นเป็ด (眼睛一眨,老母鸡变鸭)] - อธิบาย ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก