21 คลื่นใต้น้ำ
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ถูกประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนวิจิตรตระการตาที่มีมูลค่านับหลายล้านเหรียญทอง ตามผนังกำแพงมีกรอบรูปที่ใส่ภาพถ่ายและภาพภาพวาดของเหล่าคนในตระกูลไล่เรียงกันตั้งแต่รุ่นแรกมาจนถึงปัจจุบัน
ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ยาวขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมผืนผ้า ถูกขนาบข้างด้วยเก้าอี้ที่ถูกจัดทำอย่างประณีตนับสิบตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีคนนั่งประจำตำแหน่งตามยศหรืออำนาจที่มีอยู่ในมือ ส่วนหัวโต๊ะย่อมเป็นที่นั่งของผู้อยู่จุดสูงสุด
ดยุกฟาโกซ สการ์ หัวหน้าขุนนางฝ่ายซ้ายจ้องมองไปยังพวกของตนทีละคนด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแต่หากลองสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าแววตาเขาไม่ได้ยิ้มตามแม้แต่น้อย ทว่าทำให้บรรยากาศภายในห้องแห่งนี้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิมแม้จะมีสิ่งสวยงามประดับประดาเต็มไปหมด
เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ต่างคนต่างไม่กล้าส่งเสียงถามขึ้นมา ว่าทำไมถึงมีการนัดประชุมด่วนแบบนี้เพราะปกติต้องมีการนัดล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 วัน เนื่องจากขขุนนางบางคนมีออกไปต่างเขตหรือดูงานนอกพื้นที่ก็จะได้กลับมาทันประชุม
“พวกเจ้าคิดว่าผลงานที่ทำล่าสุดมันดีแล้วหรือไม่?”
เสียงเย็นพูดเอ่ยออกมาหลังจากเขานั่งอยู่บนเก้าอี้มาได้เกือบ 10 นาที โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยจนขุนนางแต่ละฝ่ายต่างขนแขนลุกเสียวสันหลังไปตาม ๆ กัน
“เออ…ข้าว่ามันก็ไม่ได้แย่”
“ใช่ ๆ ข้าก็คิดแบบนั้น”
“จริงด้วย”
คำตอบที่ค่อย ๆ หลุดออกมาจากปากของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ดังเป็นระยะ ราวกับว่าพวกเขารอใครสักคนพูดเปิดขึ้นมาก่อนทั้งที่ต่างคนต่างปอดแหกไม่กล้าแม้จะส่งเสียงหายใจ
“พวกเจ้าคิดงั้นหรือ?”
ไอเย็นที่แผ่ออกจากคนที่นั่งเก้าอี้หัวโต๊ะคืบคลานมาอย่างช้า ๆ พานทำให้ทุกคนในห้องแม้กระทั่งคนรับใช้เริ่มกระดิกตัวไม่ได้
ขาโต๊ะไม้เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะไต่ขึ้นมาจนกินเต็มบริเวณพื้นที่โต๊ะยาว ตามมาด้วยเก้าอี้ทุกตัวในห้องและขาของเหล่าขุนนางขยับไม่ได้เพราะถูกแช่แข็งครึ่งท่อนล่าง
“ท…ท่านฟาโกซ ท่านไม่คิดว่ามันดีหรอกหรือ?”
รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มใหญ่วัย 47 ปีหลังจากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เขายืดตัวเอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายใจจ้องมองไปยังคนที่พูดนิ่งเฉย
ปึ้ง! เปรี๊ยะ!
แต่สักพักคนทั้งห้องต้องสะดุ้งโหยงเพราะเสียงตบโต๊ะดังลั่นจนไม้ที่ถูกไอเย็นเกาะค่อย ๆ ปริแตกร้าวน่ากลัว ถ้าหากเขาฟาดมือลงมาแรงกว่านี้โต๊ะทั้งหมดคงพังทลายลงไปในพริบตาเป็นแน่ ขุนนางที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากลำบาก
“เจ้าคิดว่าข้าควรดีใจนักหรือไง?!”
ฟาโกซตวาดก้องแล้วลากสายตากวาดมองไล่ไปทีละคนด้วยใบกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งนั้นดูเหี้ยมเกรียม เขาเอียงคอฉีกยิ้มกว้างแล้วค่อย ๆ ลดระดับเสียงลงมาเพื่อคงมาดภาพลักษณ์ดยุกผู้ดูดีไว้ อย่างไรก็ตามเขาจะไม่แสดงอารมณ์ที่ไร้ซึ่งเหตุผลออกไปได้มากกว่านี้
“เจ้าลืมหรือแค่แกล้งโง่กันแน่ ว่า คำ-สั่ง ที่ข้าบอกไปคืออะไร ยังจำกันได้ไหมหื้ม?”
หนุ่มใหญ่เน้นย้ำคำที่พูดออกไปอีกครั้ง เขาคิดว่าตนเองก็สั่งงานละเอียดแล้วนะแต่ทำไมพวกมดปลวกถึงเข้าใจเขากันยากนักหนา งานง่าย ๆ แต่ชอบทำให้มันยุ่งยากจนน่ารำคาญใจ บางครั้งก็เป็นเขาเองที่ต้องคอยกระตุ้นจนเหมือนว่าเป็นตัวเองที่ไปทำงานแทน
…ไอ้พวกไร้ประโยชน์…
ถึงจะไม่ได้ดั่งใจไปบ้างแต่พวกมันก็จำเป็นสำหรับแผนการใหญ่ ที่เขาจำเป็นต้องใช้พวกหน้าโง่ทั้งหลายเป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จ
“พวกข้าจำได้ดีท่านฟาโกซ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ฆ่าพวกมันยกครัวไปแล้ว คงไม่มีผีตนใดโผล่ลุกขึ้นมาจากหลุมมากล่าวคำให้การได้หรอก”
หนึ่งในขุนนางที่นั่งอยู่ใจกล้าพูดขึ้นด้วยทีท่ามั่นอกมั่นใจ ว่าพวกตนทำงานสำเร็จลุล่วงไม่มีทางผิดพลาดได้หรอก ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าท่านดยุกฟาโกซคงหวั่นวิตกกังวลมากจนเกินไป
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจัดการหมดจริงตามที่พูด?”
เขาเลิกคิ้วหันหน้าไปถามชายที่สวมชุดทางการสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งมันนั่งอยู่ถัดจากเขาไปประมาณ 6 คน แม้จะไม่ไกลมากแต่ฟาโกซก็เห็นว่าอีกฝ่ายดูมั่นอกมั่นใจกับคำตอบเสียเหลือเกิน เขายกยิ้มน้อย ๆ ส่งไปให้แทนพานให้คนฟังทั่วทั้งโต๊ะกลั้นหายใจ
“ครับ…ท่านดยุกฟาโกซ”
บารอนคาร์เมนเป็นคนตอบคำถามนั้น พอเขามองตาของดยุกฟาโกซนานเข้าก็เป็นเขาเองที่เริ่มหายใจติดขัดบวก เมื่อได้ยินคำถามถัดมายิ่งพานทำให้คาร์เมนอยากกลั้นหายใจตายไปเสียตรงนี้
“แน่ใจหรือ?”
เสียงเสื้อเสียดสีดังขึ้นเนื่องจากการขยับตัวไม่ใกล้ไม่ไกลของมาร์ควิสเดเมียน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้กับดยุกฟาโกซ หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่นกว่าเดิม สถานการณ์เค้าลางไม่ดีเป็นอย่างมากจนเขาตัดสินใจว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยบารอนคาร์เมนสักเล็กน้อย
ดีกว่าปล่อยให้มันแถจนสีข้างถลอก
จากทีแรกเขาจะนั่งอยู่เงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เป็นคนอื่นรายงานไป เขาจะได้ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มากนัก ที่ไหนได้ต้องมาพูดแก้ต่างให้แทนทั้งที่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของตน
“ใช่ครับ ข้าสั่งให้คนของข้าตามไปสมทบอีกรอบหลังจากคนของบารอนคาร์เมนไปถึง คนของข้าได้รายงานว่าตายหมดจริงครับ”
ฟาโกซหันหน้าไปมองหน้าเดเมียนแล้วหันหน้ากลับมามองคาร์เมนช้า ๆ อีกรอบ มือก็พลางลูบคางตนเองทำหน้าครุ่นคิดไปด้วยก่อนจะเอ่ยประโยคที่เหมือนต่อยหน้าคนทั้งห้องกลางอากาศ
“งั้นเหรอ? ทำไมข้าไม่คิดแบบนั้นนะ”
เมื่อคาร์เมนได้ยินคำถามย้ำซ้ำ ๆ แบบนั้น จากที่เคยมั่นใจเต็มร้อยกลับกลายเป็นว่าลังเลในคำตอบ ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเชื่อตนเองในทีแรกแล้วตอบออกไปเพื่อหวังแก้ไขสถานการณ์
“มาร์ควิสเดเมียนมาตรวจดูอีกครั้งจริงครับท่านดยุกฟาโกซ”
ตอนนี้เขาจนปัญญาจะสรรหาคำพูดออกมาแล้ว ถ้าฟาโกซยังมีท่าทางแบบนี้ต่อไปมีหวังงานนี้จะซวยกันไปทั้งหมด
“ทั้งคฤหาสน์ไม่รอดหมด รวมทั้งคนรับใช้ครับ”
เดเมียนเลือกพูดเท่าที่บอกได้ เพราะวันนั้นเขาติดงานราชการด้วยจึงส่งคนไปตรวจเช็กแทนเท่านั้น ไม่รู้หรอกว่าสภาพเป็นยังไงและเขาก็ไม่อยากรับรู้อะไรด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปเพราะมันจำเป็นเท่านั้น อะไรอยู่นอกเหนือจากนี้ก็เป็นหน้าที่คนอื่นไปก็แล้วกัน
“อืม ถ้าเป็นเจ้าพูดข้าก็จะยอมเชื่อแล้วกันเดเมียน…แต่ใครพอจะตอบข้าได้บ้างว่าทำไมศพถึงมีแค่ 2 จาก 4 คนล่ะ?”
พลันสิ้นประโยคของฟาโกซความเงียบโรยตัวปกคลุมห้องโถงพร้อมกับเหล่าคนใช้รีบถอยหลังไปหลบตามหลังเครื่องเงิน รูปปั้น และชั้นหนังสือตามมุมห้องโดยทันที
ปฏิกิริยาของเจ้านายทำไมคนรับใช้ในคฤหาสน์จะไม่รู้ว่าหลังจากนี้หายนะกำลังจะมาแน่นอน
…ตัวใครตัวมันนะพวกท่าน…
หนุ่มใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ ผ่อนลมหายใจออกแล้วฉีกยิ้มออกไปเหมือนปกติที่ชอบทำ
“จำนวนมันขาดไปตั้ง 2 คน เจ้าจะแก้ตัวส่วนนี้ยังไงบารอนคาร์เมน?”
เหงื่อเย็นไหลซึมท่วมตัวของคาร์เมนโดยไม่ทราบสาเหตุ มันจะเป็นไปได้ไงในเมื่อเขาเป็นคนไปตรวจเช็กสภาพศพเองก่อนเดเมียนจะมาตรวจดูอีกรอบ
“มันจะเป็นไปได้ไงกั…”
คาร์เมนเหมือนหาเสียงตนเองไม่เจอไปเสียแล้ว เขาไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ส่วนทางเดเมียนชักจะปวดขมับขึ้นมาตุบ ๆ เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว เขาเป็นประเภทไม่ชอบความยุ่งยากจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากจนสีหน้าเหยเกดูไม่ได้
“นั้นสินะเป็นไปได้ยังไง ก็พวกเจ้าบอกกันนักหนาว่าทำงานเรียบร้อยดี”
ฟาโกซรู้สึกสนุกกับการปั่นหัวสมองเหล่าขุนนางในกำมือเล่น แต่ภายในใจกลับเหมือนมีพายุลูกใหญ่และลูกไฟโหมกระหน่ำซัดใส่ไปมาจนอยากระเบิดออกมา
“ต้องให้ข้าบอกพวกเจ้าอีกกี่ครั้งว่างานนี้พลาดไม่ได้ แต่พวกเจ้าก็ยังทำเป็นเล่นเหมือนแมวจับหนูได้แล้วยังแล้วปล่อยให้มันวิ่งเล่นภายในบ้านอยู่ได้”
น้ำเสียงกดต่ำเย็นยะเยือกเอ่ยขึ้นมานิ่ง ๆ ทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มแย้มเหมือนคนไม่ถือสากับความผิดพลาดขนาดใหญ่ที่อาจก่อให้เกิดช่องโหว่ในแผนการนี้ได้
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือเองเพราะเมื่อไรที่ข้าต้องลงมือเอง พวกท่านคงไม่มีแม้แต่จะได้เห็นวันที่ข้ากวาดล้างหมากบนกระดานจนเกลี้ยง”
สัญญาณเตือนแรกที่ฟาโกซพอจะมีหลงเหลือให้เหล่าขุนนางฝ่ายซ้ายมีโอกาสแก้ตัว มิฉะนั้นเขาจะเป็นคนลงไปในสนามนี้เอง เพราะถ้าถึงเวลานั้นแม้แต่พวกเบี้ยเล็กเบี้ยใหญ่เขาก็จะเหยียบให้มิดจมดิน เขาไม่ใช่ทำไปเพื่อความสะใจแต่คนไร้ประโยชน์ไม่มีสิทธิ์อยู่บนกระดานเกมของเขาทั้งสิ้น
“ข้าให้เวลาพวกท่านไปตามล่ามาให้ได้ ไม่ว่าทั้งสองคนมันจะเป็นหรือตาย”
คำสั่งเด็ดขาดประกาศกร้าวดังลั่นถึงสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดต้องรีบไปจัดการให้เสร็จ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกวัน แม้ว่าเท้าของพวกเขาทั้งหมดจะก้าวเข้าสู่ประตูนรกไปเรียบร้อยแล้วมากกว่าครึ่งตัว แต่ก็ต้องทำเพื่อต่อลมหายใจให้มีในวันพรุ่งนี้
เสียงขานตอบรับสลับกับเสียงซุบซิบของเหล่าขุนนางต่างตื่นตัวเต็มที่ ใครจะไปนึกว่าฟาโกซให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง
“อย่าคิดว่าที่ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกครั้งคือความเมตตา แต่ไม่…มันคือความปรานีสุดท้ายที่ข้ามีให้พวกเจ้าต่างหาก”
รอยยิ้มกระชากจนเกือบถึงหูชวนทำให้คนในห้องขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน พวกขุนนางหางแถวต่างลมหายใจสะดุดกับคำพูดของเขาที่บอกว่าทั้งหมดคือ ‘ความปรานี’ นั่นอีก คนสติดีที่ไหนจะไปดีใจได้ลง
ภารกิจตามล่าคนหายจึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ ท่ามกลางความโกลหนวุ่นวายภายใต้สำนักหลวงอย่างเงียบเชียบ หากไม่สังเกตก็ไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขากำลังจะทำสิ่งใดต่อไป
เมื่อการประชุมในชั่วโมงเร่งด่วนสิ้นสุดลง เหล่าขุนนางต่างทยอยกันกลับไปในที่ของตนเองทันที เหลือทิ้งไว้เพียงฟาโกซยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ที่ตอนนี้กลายเป็นบัลลังก์น้ำแข็งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เดเมียน”
ทว่าขณะที่เดเมียนกำลังลุกจากเก้าอี้เป็นคนสุดท้ายเพื่อเดินออกไปพร้อม ๆ กับขุนนางคนอื่น กลับมีเสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้นทำให้เขาต้องหยุดอยู่กับที่อย่างห้ามมิได้
…เฮ้อ ปวดหัว…
เดเมียนอยากถอนหายใจออกมาดัง ๆ แต่ทำได้แค่เก็บสีหน้าและท่าทางตนเองไว้ให้มิด หากฟาโกซจะบ่นเขาก็คงมีแต่ให้อีกฝ่ายบ่นไปโดยไม่ปริปากขัดสักคำก็รอดตัวแล้ว
“เจ้าไม่เห็นจำเป็นต้องออกหน้าพูดแทนบารอนคาร์เมนเลยมาร์ควิสเดเมียน”
ท่ามกลางคนสองคนมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่คั่นกลางระหว่างพวกเขา ความสัมพันธ์ที่เหมือนพึ่งพาอาศัยกันแต่ก็หวังผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน มันเป็นอะไรที่อธิบายลำบากในสายตาเดเมียน
“ข้ารายงานตามหน้าที่เฉย ๆ ครับ ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่านี้”
ฟาโกซหรี่สายตาจับผิดมองไปยังใบหน้าของเดเมียน ที่ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบ
“แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าอยู่ดีมิใช่หรือ? งานของเจ้าคือสิ่งนั้นถูกต้องไหม”
ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์น้ำแข็งยืดตัวขึ้นแล้วเอามือสอดไขว้กันไว้ใต้คางแล้วเอียงคอมอง เขาไม่ชอบที่ต้องมาคอยย้ำเตือนงานรอบสองให้เปลืองน้ำลาย การพูดแบบนี้ออกไปก็เพื่อเตือนสติเดเมียนว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไร
หากยังไม่อยากถูกกำจัดออกไปจากกระดานในตอนนี้
“ครับ แต่เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดข้าจึงไม่ทันระวังขออภัยด้วยครับ”
ฟาโกซพยักหน้าแล้วผ่อนลมหายใจเล็กน้อย เขาไม่ติดใจอะไรหากผลลัพธ์ยังออกมาในรูปแบบที่น่าพึงพอใจ ต่อให้ต้องกวาดคนทั้งสำนักออกมาเขาก็สามารถทำได้ แต่เลือกจะไม่ทำในเมื่อยังมีคนใช้งานได้อยู่หลายคนแถมพวกมันยังเป็นคนเข้ามาเสนอด้วยตัวเองทั้งนั้น
เขาไม่ต้องทำอะไรเลยแค่นั่งเฉย ๆ ก็มีพวกริ้นไรเข้ามาเลียแข้งเลียขาแล้ว
“คงรู้ใช่ไหมว่าถ้ายังขัดคำสั่งอีก ผลลัพธ์จะเป็นยังไง?”
“รับทราบครับท่านฟาโกซ”
หนุ่มใหญ่โบกมือไล่เดเมียนด้วยท่าทางเบื่อหน่ายทิ้งตัวเอนหลังพิงกับเก้าอี้
“ไปพักเถอะท่านมาร์ควิส”
เดเมียนโค้งคำนับลาตามมารยาทแล้วหันหลังเดินออกมาจากห้อง เขาเองก็ไม่อยากอยู่เสวนากับฟาโกซนานเสียเท่าไร เพราะยิ่งอยู่ด้วยนานเท่าไรเขาเหมือนอายุตนเองจะสั้นลงไปเรื่อย ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมาร์ควิสเดเมียนเดินพ้นประตูห้องโถงไปสักพักใบหน้าของฟาโกซก็เปลี่ยนไป ในหัวนึกถึงใบหน้าของหัวหน้าเหล่าขุนนางฝ่ายขวาและนับจำนวนเหยื่อที่เขาต้องตามเก็บทีละคน
“ไหนมาดูกันสิว่าเจ้ากับข้าใครจะพลิกกระดานเกมนี้ได้ก่อนกัน”
เขาพูดพึมพำขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดด้วยดวงตาแข็งกร้าวและมีรอยยิ้มเย็นประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมส่งเสียงหัวเราะในลำคอดังออกมาเบา ๆ จนคนรับใช้ที่อยู่รอบบริเวณต่างขนหัวลุกรีบเดินหลบหนีไปให้ไกลจากจุดที่เจ้านายตนเองอยู่
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
****
Talk with writer
ขอเป็นการเปิดตัวละครใหม่กันในบทนี้เลยแล้วกันนะคะ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของไรต์ที่ต้องเขียนบุคลิกตัวละครแบบใหม่ ๆ เสมอ หลังจากนี้ใกล้เข้าสู่เนื้อหาเข้มข้นที่ไม่มั่นใจว่าจะถูกใจนักอ่านไหม แต่อย่างไรก็ตามธีมเรื่องนี้คือรักแฟนตาซีอยู่แล้ว จะพยายามไม่ทำให้เนื้อหาหนักหน่วงมากจนเกินไป ชีวิตจริงเครียดกันอยู่แล้วเราก็ไม่อยากให้นิยายที่อ่านตึงจนทำให้ปวดขมับ (มั้ง)
ใช่ตัวร้ายไหมไม่รู้ รู้แค่ว่าตัวละครเริ่มเยอะและจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวไรต์จะทำผังตัวละครเพิ่มเติมให้นะคะ นักอ่านจะได้เข้าใจความสัมพันธ์ตัวละครแต่ละคนได้ง่าย ๆ เพื่ออรรถรสในการอ่านค่ะ555
อย่าลืมมาอุดหนุนนิยายไรต์เพื่อเป็นการสนับสนุนด้วยนะคะ555 รักคุณรี้ดนะคะใกล้ปล่อยรูปเล่มแล้วดีใจมาก
****
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana