183. มิวส์ (3/3) (ฟรี)
หลังจากที่นักบุกเบิกชาวมนุษย์ของดาวเคราะห์ต้นกำเนิดได้ค้นพบลักษณะพิเศษของมิวส์
พวกเขาก็ถือว่ามิวส์เป็นสมบัติอันล้ำค่า
พวกเขาจับมิวส์ทั้งหมดมาขายให้กับชนชั้นสูงบนดาวต่างๆ
ในช่วงแรก ชนชั้นสูงคนสำคัญของโลกไทเทเนียมโพลรู้สึกภูมิใจที่มีมิวส์เป็นคนรัก
มิวส์มีรูปลักษณ์ที่สร้างความหลงไหลคลั่งไคล้ให้กับเหล่าชนชั้นสูงผู้เสื่อมโทรม
จนสามารถเติบโตเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในสังคมมนุษย์ได้
มาในหนึ่ง ชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่สองคนของโลกต้นกำเนิดขัดแย้งกันเรื่องหญิงสาวชาวมิวส์คนหนึ่ง
จนก่อสงครามอันเลวร้ายขึ้นมา
สงครามในครั้งนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ทรัพยากรทั้งหมดบนโลกต้นกำเนิดหมดไปเท่านั้น
แต่การทำลายล้างอันเกิดจากสงครามยังทำให้ขีดความสามารถทางเทคโนโลยี
ของดาวเคราะห์ต้นกำเนิดถดถอยอีกด้วย
ดาวแม่อันเป็นต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เสื่อมถอยลงอย่างสมบูรณ์
สงครามดังกล่าวทำให้โลกต้นกำเนิดมีผู้ล้มตายหลายร้อยล้านคน
อารยธรรมถดถอยลง ทุกคนต่างต้องการหาที่ระบายอารมณ์
ปรากฎว่าหญิงสาวชาวมิวส์ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา
และคำว่านารีพิฆาตก็ได้รับความนิยมในโลกต้นกำเนิด
ในอีกร้อยปีถัดมา คำว่ามิวส์ก็ปรากฏขึ้นในสงครามอีกหลายครั้ง
ผู้มีอำนาจต่างจงใจโยนความผิดให้มิวส์ และสื่อก็ทำตามเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ผู้คนยังชื่นชอบเรื่องราวของนารีพิฆาตเป็นพิเศษ
เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง ในโลกมนุษย์ คำว่ามิวส์ก็มีความหมายเดียวกับภัยพิบัติ
ทุกคนเหยีนดหยามมิวส์ แม้ว่าจะมีคู่ของชนชั้นสูงและคนรักมิวส์
แต่พวกเขาก็จะแอบคบกันแบบลับๆ ไม่กล้าเปิดเผยให้ใครรู้
เมื่อถ้ามีคนรู้แล้วชื่อเสียงของชนชั้นสูงก็จะถูกทำลาย
มิวส์กลายเป็นเป้าหมายของความโกรธเกรี้ยวของทุกคน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มิวส์จำนวนมากที่ถูกขายมาเป็นสินค้าจากดาววารีชาด
ก็ไม่สามารถกลับไปยังดาววารีชาดเพื่อตายในดินแดนบรรพบุรุษได้อีก
นอกจากมิวส์ที่แต่งงานกับมนุษย์แล้ว
มิวส์สายเลือดบริสุทธิ์ก็เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
หลังจากได้อ่านเรื่องราวของมิวส์แล้ว หนิงซีก็มองไปที่นิโก้อย่างเห็นใจ
มิวส์เคยอาศัยอยู่อย่างอิสระเสรีบนดาววารีชาด
แต่ถูกนักล่าอาณานิคมนำมาขายเป็นสินค้า
จนกลายเป็นผู้ลี้ภัยเร่ร่อนในกาแล็กซี
จนถึงท้ายที่สุด พวกเขายังถูกใช้เป็นข้ออ้างของมนุษย์ในการก่อสงคราม
และถูกรุมประนามสาปแช่ง
เมื่อเห็นหนิงซีละสายตาจากหนังสือมามองดูเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ
ในที่สุดนิโก้ก็สบโอกาสที่จะถาม
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่กลัวข้าจริงๆ เจ้าอยู่ใกล้ข้ามานานกว่าแปดชั่วโมงแล้ว หากเจ้าเชื่อข้า เจ้าอย่าได้กระทำการหรือมีกิจกรรมที่เป็นอันตรายใดๆ ในช่วงเวลานี้”
“ถ้าเจ้าอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเงียบๆ โชคร้ายก็จะทำให้เจ้าแค่ล้ม เหยียบอุจจาระ หรือเตะมุมโต๊ะเท่านั้น แม้ว่าจะไม่น่าพอใจ แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
หนิงซีไม่สนใจ เขาเอื้อมมือออกไปแล้วพูดอย่างจริงจัง
“สวัสดีนิโก้ ข้าชื่อหนิงซี ข้าโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ยินดีที่ได้พบ”
นิโก้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ยังคงยื่นมือออกมาจับมือกับหนิงซี
เขาพูดอย่างเขินอายว่า
“นับตั้งแต่ข้าเรียนรู้วิธีดูแลตัวเองเมื่ออายุได้ห้าขวบ ไม่มีใครกล้าแตะต้องข้าเลย เจ้ากล้ามาก ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าไม่มีความกลัวหรือความไม่ชอบข้าเลย”
หนิงซีรับรู้ได้ว่านิโก้ไม่ปฏิเสธเขา ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนแผน
เขาเก็บหนังสือไว้และพูดอย่างมั่นใจว่า
“ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคลาง ข้าเชื่อในตัวเองเท่านั้น ค่อนข้างยากที่จะพบคนรุ่นเดียวกับข้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เจ้าอยากไปทานอาหารกับข้าไหม”
นิโก้ถูกความมั่นใจในตนเองของหนิงซีระบาดใส่
เขายิ้มและพูดว่า
“ข้าก็หวังเช่นนั้น ยินดีที่ได้รู้จัก”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปยังโรงอาหารของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เด็กน้อยหวังฟู่เดินตามหลังพวกเขาไปโดยเว้นระยะห่างหนึ่งเมตร
เพื่อประหยัดเงิน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงมีอาหารให้เพียงสองมื้อต่อวัน
มื้อเช้ามื้อหนึ่งและมื้อเย็นอีกหนึ่งมื้อ เวลาทานอาหารมีเพียงครึ่งชั่วโมง
ดังนั้นหนิงซีและอีกสองคนจึงต้องเร่งเดิน
หนิงซีเดินตามทางเดินไปยังโรงอาหาร
ใครจะรู้ว่าจู่ๆ หน้าต่างข้างๆทางเดินก็เปิดออก
ปัง
หนิงซีหลบไม่ทัน หน้าของเขาก็กระแทกเข้ากับบานหน้าต่าง
จนมองเห็นดาวและปวดจมูก มีของเหลวสีแดงไหลออกมาจากจมูก
นิโก้ระวังตัวเป็นอย่างดีโดยรักษาระยะห่างจากหนิงซีมากกว่าหนึ่งเมตร
หวังฟู่ยื่นผ้าสีเทาให้เขาแล้วพูดว่า
“ท่านสามารถเชื่อในตัวเองได้ แต่ท่านต้องเชื่อในโชคลางด้วย”