บทที่ 53 วิชาตัดชีพจรจับมังกร
บทที่ 53 วิชาตัดชีพจรจับมังกร
หลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ เสินอี้เห็นว่าหญิงชราตัวน้อยผู้นี้อยากจะพูดเรื่องแนะนำหญิงสาวอีกครั้ง
เขาจึงหาข้ออ้างอย่างสุภาพ แล้วหันหลังกลับไปที่ห้อง
มีคำกล่าวที่ว่า 'สร้างครอบครัวเพ่ื่่อสร้างฐานะ' แต่ตอนนี้แม้แต่จะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงก็ยังยาก แถมยังต้องทำงานที่เสี่ยงตาย เขาจะมีเวลาคิดเรื่องผู้หญิงได้อย่างไร
ปิดประตู นั่งลงขอบเตียง
เสินอี้โยนโอสถ 'เปิดชีพจร' สามเม็ดเข้าปาก ปลายลิ้นมีรสขมเข้มข้น ราวกับกัดหวงเหลียนเข้าไป
(หวงเหลียนหรืออึ่งน้อยในภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นสมุนไพรจีนมีรสขม)
โชคดีที่มีประสบการณ์การกินแก่นแท้ปีศาจที่มีกลิ่นเหม็น เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหา
เสินอี้เรียกแผงระบบขึ้นมา แล้วจ้องมองอย่างใจเย็น
【วารีหยก. วิชาตัดชีพจรจับมังกร (ยังไม่เริ่มฝึก)】
【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: สามร้อยปี】
อายุขัยเหล่านี้ เดิมทีถูกเก็บไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน
หากใช้จนหมด แล้วเจอปีศาจที่แข็งแกร่ง ด้วยพื้นฐานของเขาตอนนี้ เพียงใช้ 'เทียนกังโลหิต' เพียงครั้งเดียวก็คงจะหมดแรง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เข้าร่วมแผนกปราบปีศาจ การบ่มเพาะขอบเขตวารีหยกก็ดูจะมีแนวทาง แต่คงต้องรอให้เขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมสักหน่อย หลังจากนั้นการหาอายุขัยน่าจะไม่ยาก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การมีอายุขัยปีศาจเพียงสามร้อยปีอยู่ในมือ กลับรู้สึกว่ามันช่างน้อยยิ่งนัก
เสินอี้ส่ายหน้า ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน เขาแบ่งอายุขัยของปีศาจออกเป็นส่วนๆ จากนั้นใส่เข้าไปในวิชาตัดชีพจรจับมังกรทันที
ไม่ว่ายังไง การเพิ่มพลังได้มากขึ้น ย่อมเพิ่มโอกาสรอดชีวิตเมื่อเผชิญกับอันตราย สิ่งแรกคือต้องรอดก่อน จากนั้นค่อยพูดถึงเรื่องอื่นๆ
...
【ปีแรก โฮสต์อ่านเนื้อหาในตำราอย่างตั้งใจ พร้อมกับกลั่นกรองพลังยาไปด้วย อาจเพราะโฮสต์ไม่เคยลองยาล้ำค่ามาก่อน จึงดูตระหนี่มาก แม้แต่พลังยาเพียงเล็กน้อยก็ไม่ยอมเสียมันไป】
[ปีที่สาม โฮสต์กินโอสถเม็ดที่สอง เส้นลมปราณและจุดเฉียวกว้างขึ้นอีกครั้ง โฮสต์คุ้นเคยกับเนื้อหาในตำราแล้ว ข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับเส้นลมปราณพุ่งเข้ามาในใจของโฮสต์ และดวงตาของโฮสต์เผยให้เห็นอนาคต อย่างชัดเจน โฮสต์พร้อมบ่มเพาะด้วยการใช้ความรู้นี้แล้ว]
[ปีที่เก้า ประสิทธิภาพของยาล้ำค่าเม็ดสุดท้ายได้ถูกดูดซับโดยโฮสต์อย่างสมบูรณ์ และจุดเฉียวของโฮสต์ก็ขยายออกไปอีกสิบเปอร์เซ็นต์ โฮสต์โล่งใจเล็กน้อย แม้โฮสต์จะยังไม่เข้าใจความหมายของเส้นชีพจร แต่โฮสต์ก็ยังคงพยายามสังเกตสิ่งต่างๆ อย่างขยันหมั่นเพียร]
...
ไม่น่าแปลกใจที่ท่านแม่ทัพสอนลูกศิษย์แต่ละคนเพียงวิชาเดียว
หากพูดถึง 'วิชาผสานสี่เที่ยงแท้' คือการควบคุมปราณแก่นแท้ งั้น 'วิชาตัดชีพจรจับมังกร' มันก็คือวิชาที่ใช้ร่างกายถึงขีดสุด ทั้งสองเป็นศาสตร์การต่อสู้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ศาสตร์การต่อสู้ทั้งสอง ล้วนต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างยาวนาน การจะเชี่ยวชาญศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งนั้นยากลำบากมาก
การเข้าใจเพียงศาสตร์เดียว มันก็สามารถกดขี่ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันได้ นั่นเป็นเพราะผู้ที่สามารถเรียนรู้ศาสตร์เหล่านี้ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา
ผู้ที่มีพรสวรรค์ธรรมดา เกรงว่าจะยากที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของศาสตร์เหล่านี้ในช่วงชีวิต
"ข้าต้องการมันทั้งหมด"
เสินอี้นำอายุขัยปีศาจหลายสิบปีใส่ลงไปที่วิชานี้อีกครั้ง
...
【ปีที่ยี่สิบหก โฮสต์ยื่นมือออกไป ลูบไล้เปลือกไม้อย่างหยาบ ปลายนิ้วของโฮสต์ไต่ไปบนลำต้น โฮสต์แนบหูฟังราวกับได้ยิน "เสียงหัวใจ" ของต้นไม้เต้น】
【ปีที่สี่สิบแปด โฮสต์ยกหินก้อนใหญ่ขึ้นมา มันเหมือนไข่หิน ภายในมีพลังชีวิต? ใบหน้าของโฮสต์เต็มไปด้วยรอยยิ้มบ้าคลั่ง! โอ้! โฮสต์เข้าใจมันในที่สุด!】
【ปีที่หกสิบเก้า โฮสต์นั่งลงบนพื้นด้วยความท้อแท้ โฮสต์เข้าใจอะไรไม่ได้ โฮสต์แค่บ้า จากนั้นลุกขึ้นยืน ระบายความโกรธด้วยการทุบหินก้อนใหญ่ที่ถูกกัดเซาะด้วยลมฝน หลังจากนั้นไม่นาน โฮสต์ก็พูดพึมพำด้วยความงุนงง หินก้อนนี้เหมือนจะตายแล้ว】
【เริ่มฝึกฝนวิชาตัดชีพจรจับมังกรสำเร็จ】
【ปีที่เจ็ดสิบเอ็ด ทักษะการใช้หมัดและฝ่ามือล้วนมีผล ท่าทางการโจมตีของโฮสต์คล่องแคล่วมากขึ้น 'วิชาตัดชีพจรจับมังกร' สำเร็จขั้นต้น】
【ปีที่เจ็ดสิบสาม ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของ "เส้นชีพจรของสรรพสิ่ง" สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการควบคุมจังหวะการโจมตี 'วิชาตัดชีพจร' สำเร็จขั้นปลาย】
.
【ปีที่เจ็ดสิบห้า: 'วิชาตัดชีพจร' สำเร็จขั้นสมบูรณ์แบบ】
……
ทันใดนั้นเสินอี้ก็เข้าใจ
ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วที่ตามมา ทำให้เขาหวนนึกขึ้นได้ว่า เขายังเป็นอัจฉริยะด้านหมัดและฝ่ามือ เวลาที่ทุ่มเทให้กับ 'หมัดทะยานไล่เมฆา' ในตอนแรก ดูเหมือนจะไม่ได้ไร้ประโยชน์
เขาใช้เวลาเพียงห้าปีฝึกฝนหมัดและฝ่ามือขอบเขตวารีหยก ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ
นี่คือประสบการณ์ของอัจฉริยะ
แน่นอน ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจหรือต้องใช้สมองวิเคราะห์ เขายังมีคงพอมีความสามารถอยู่
เสินอี้หลับตาช้าๆ พยายามสัมผัสกับผลลัพธ์ที่ได้มา
สิ่งที่รู้สึกชัดเจนที่สุดคือ... ระดับพลังในจุดเฉียวของร่างกาย มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่มากกว่าก่อนหน้านี้มาก
สำหรับคนทั่วไป การพัฒนาแบบนี้อาจจะแค่เทียบเท่ากับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
แต่สำหรับเสินอี้ เขาสามารถใช้ 'เทียนกังโลหิต' ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นเวอร์ชัน "พลังงานต่ำ" ก่อนหน้านี้ เนื่องจากพื้นฐานบ่มเพาะไม่เพียงพอ
และความเร็วในการดูดซึมปราณแก่นแท้ยังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้เขาใช้อายุขัยปีศาจเพียงห้าปีเท่านั้น เพื่อเติมเต็มจุดเฉียว
"หลักของ 'วิชาตัดชีพจรจับมังกร' จริง ๆ แล้วก็คือ.. การใช้พลังเพื่อผนึกนั่นเอง"
เสินอี้กางมือขาวที่มีกระดูกนิ้วชัดเจน
โดยไม่ต้องทำลายผิวหนัง แต่ใช้ฝ่ามืออันคมกริบเพื่อตัดเส้นชีพจร
ปิดกั้นจุดเฉียว ตัดเส้นชีพจรและพลังชีวิต
เขายังจำได้ดี ตอนนั้นหลินไป๋เว่ยก็ถูกวิชาคล้ายๆ กันผนึกพลังในร่างกายเอาไว้ และอย่าลืมว่านางอยู่ในขอบเขตวารีหยกขั้นสมบูรณ์ แสดงว่า ปีศาจที่ทำให้นางตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช น่าจะอยู่ในขอบเขตควบแน่นตัน
ด้วยวิชาขอบเขตวารีหยกนี้ มันทำให้เขาสามารถสัมผัสถึงระดับที่สูงขึ้นได้
เยี่ยม... เจ็ดสิบห้าปีนี้ไม่สูญเปล่า
...
วันต่อๆ มา ถือว่าเสินอี้มีแต่ความสบายใจ
ในเขตไป๋อวิ๋น เขาต้องระวังอย่าให้โดนปีศาจตัดหัว
แต่ในบ้านอันเงียบสงบนี้ เขาสามารถเพลิดเพลินกับความสงบสุขชั่วขณะ
ท้ายที่สุด กำแพงด้านนอกเป็นที่ทำการของแผนกปราบปีศาจ มันครอบคลุมพื้นที่ถึงสองพันแปดร้อยมู่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็สวมชุดดำลายเมฆ ออร่านับพันรวมตัวกัน ราวกับใบมีดที่พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
นี่คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในชิงโจว
เพราะเหตุนี้จึงทำให้เสินอี้อดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายเป็นเวลาหลายวัน เขาจำเป็นต้องพักผ่อนระบบประสาทที่ตึงเครียดมาอย่างยาวนาน
เขาได้รับศาสตร์การต่อสู้แล้ว และสัญญากับหลินไป๋เว่ยก็ถือว่าสิ้นสุดลง
แต่ฝีมือการทำผักกาดดองของหญิงชรานั้นยอดเยี่ยมมาก การทานคู่กับข้าวต้ม แม้จะไม่อิ่ม แต่มันก็เรียกน้ำย่อยได้ดี
ถ้าอีกฝ่ายไม่รังเกียจ เสินอี้ก็ยินดีที่จะอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน
แน่นอน ถ้าใต้เท้าฟางจะไม่แสดงท่าทีดูถูกเขาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่สาธิตวิชาตัดชีพจรจับมังกรก็คงจะดี
เสินอี้ไม่ค่อยแน่ใจ... เขาไปทำอะไรให้ใต้เท้าฟางไม่พอใจกันแน่?
แต่เขาไม่มีเวลาว่างที่จะคิดถึงเรื่องนี้
เขาไม่เก่ง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่สนใจเรื่องการประจบสอพลอ มิฉะนั้นชาติที่แล้วเขาคงไม่จบแบบนั้น
"ตอนนี้เจ้าเข้าใจมันบ้างไหม?"
ฟางเหิงเก็บหมัดหลังจากสาธิต มองไปที่ระยะไกลด้วยสายตาเฉยเมย
เสินอี้ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลัง คิดอยู่นาน "ข้าพอเข้าใจมันแล้ว"
วิชาตัดชีพจนจับมังกรของอีกฝ่ายควรจะเพิ่งเข้าสู่ขั้นต้น หมัดและฝ่ามือควรมีพลังอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงอายุของฟางเหิง แล้วเปรียบเทียบกับตัวเองที่ใช้เวลา เจ็ดสิบปีในการเข้าใจวิชา
แม้ฟางเหิงอาจจะยังหยาบอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยเสินอี้ก็ยอมรับว่าตัวเองสู้ฟางเหิงไม่ได้
"เฮอะ!"
เมื่อเขาคิดอีกฝ่ายอาจไม่เข้าใจ แต่กลับใช้คำพูดที่ฟังดูดีเพื่อปกปิด ฟางเหิงก็ยกมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะที่แทบมองไม่เห็น
เสินอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ใส่เสื้อผ้า แล้วหันหลังกลับไปที่ห้อง
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่วุ่นวายก็ดังขึ้นจากนอกลานบ้าน
"น้องเสินรีบออกมา"
หลิวซิ่วเจี๋ยโผล่หน้าเข้ามาในลานบ้าน พูดเสียงเบาๆ "รีบเก็บของ ถึงเวลาทำงานแล้ว"
"ได้.. รอข้าสักครู่"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสินอี้ก็คลึงข้อมือ เขาพักผ่อนจนรู้สึกดีขึ้นมาก แต่เขาคงไม่สามารถลดความต้องการสังหารปีศาจในใจให้หมดสิ้นไปได้
แม้ที่นี่จะสงบสุขเพียงใด มันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา และมันคงไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต
เขาเดินกลับไปที่ห้องเพื่อเอาดาบ
ในตอนนี้ ร่างที่แข็งแกร่งหันกลับมามองอย่างช้าๆ
ฟางเหิงจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา "ใครอนุญาตให้เจ้าไป?"
"..."
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ร่างกายของเสินอี้ก็หยุดชะงักเล็กน้อย
เขาหันกลับมามองสบตา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเสินอี้ มุมปากเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอันตรายที่แฝงอยู่จางๆ...