บทที่ 51 กระท่อมหลังน้อย
บทที่ 51 กระท่อมหลังน้อย
ในยุคสมัยนี้ ผู้คนมักหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ห่างไกลจากตัวเมือง
แต่ขบวนรถของแผนกปราบปีศาจกลับมีความมั่นใจที่จะวิ่งบนถนนด้วยรถม้าที่ว่างเปล่า
เมื่อเวลาผ่านไป พ่อค้าหลายคนก็รวมกลุ่มกันตามด้านหลัง แถมยังมีการส่งคนขี่ม้าไล่ตามมาเพื่อมอบอาหารและเนื้อสัตว์อีกด้วย
"ชื่อเสียงดีกว่าพวกเราเยอะเลย"
เฉินจี้กอดอาหารจำนวนมาก ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
มันคือการเดินทางที่ต่อเนื่องเกือบสองวันโดยไม่หยุดพัก
จากนั้นรถม้าค่อยๆ หยุดลงใต้กำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน บนประตูเมืองโค้งมีป้ายที่เขียนด้วยตัวอักษรสีเงิน "ชิงโจว(แคว้นฟ้าคราม)" สื่อถึงความยิ่งใหญ่และสง่างาม
(ชิงโจว แปลว่ามณฑลชิงหรือแคว้นชิง ถ้าผมใช้ชิงโจวเดี่ยวๆ จะหมายถึงทั้งแคว้น แต่ถ้าอยู่ในเมืองจะหมายถึงเมืองชิงโจว นอกจานนี้ถ้ามีกล่าวถึงผมจะใช้คำว่าแคว้นแทนมณฑล เนื่องจากเราอยู่ในยุคโบราณ คำว่าแคว้นจะดูได้อรรถรสกว่า)
หลี่ซินฮั่นโยนป้ายให้ทหารรักษาการณ์หน้าประตูเมือง จากนั้นเขาลงจากหลังม้าแล้วจูงบังเหียนไปข้างหน้า
เมื่อเห็นฉากนี้ เฒ่าหลิวก็หัวเราะคิกคัก "ครั้งล่าสุดที่โดนตี เขาคงจำขึ้นใจ"
เมื่อเห็นทั้งสองคนสงสัย เขาจึงอธิบายว่า "กฎของแผนกปราบปีศาจ หากไม่มีธุระสำคัญ ผู้ใดฝ่าฝืนขี่ม้าวิ่งภายในเมือง จะโดนเฆี่ยนสามที ปรับเงินเดือนสองเดือน"
...
ณ ตอนนี้ เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ถ้าเป็นเมืองไป๋อวิ๋น บนท้องถนนจะเหลือผู้คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่ถนนที่ปูด้วยอิฐสีเขียวขจีตรงหน้า กว้างพอที่จะให้รถม้าแปดคันวิ่งขนานกัน กลับเต็มไปด้วยผู้คน เสียงดังจอแจ
เสินอี้ลงจากรถม้า เขารู้สึกเหมือนกลับไปชาติก่อน ยกเว้นที่นี่ไม่มีตึกสูงๆ โดยรวมแล้วมันดูจะเจริญรุ่งเรืองกว่า
ทุกคนเดินตามหลี่ซินฮั่นไปอย่างช้าๆ
จนกระทั่งหยุดลงในสถานที่แปลกๆ ใจกลางเมือง
กำแพงสูงสองวาเรียงรายต่อเนื่อง ทอดยาวไปจนสุดสายตา ราวกับสร้างเมืองเล็กๆ ขึ้นมาภายในเมืองใหญ่
"พื้นที่สองพันแปดร้อยมู่(ประมาณ 1,160ไร่) ที่เจ้าแคว้นอนุมัติ มันคือสถานที่ทำการของแผนกปราบปีศาจ"
"พวกเจ้าตามข้ามา"
ขอทานพาครอบครัวและเด็กใหม่ทั้งหกคนไปประตูใหญ่ด้านหน้า
ส่วนหลี่ซินฮั่นนั้นเข้าไปทางประตูเล็กด้านข้าง
"ภายในมีกฎระเบียบมากมาย แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราในค่ายนอก เจ้าจำไว้แค่ว่าไปกินข้าวที่ไหน นอนที่ไหน รับเงินเดือนที่ไหนก็พอ"
เฒ่าหลิวพาเสินอี้ไปรอบๆ คอยอธิบายสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายใน
จากนั้นพวกเขาไปที่หน่วยการคลังเพื่อลงทะเบียนก่อน
หลี่ซินฮั่นจัดการเอง สักครู่เขาก็เอาชุดเสื้อผ้าและขวดยาสมุนไพรมาวางบนโต๊ะ โดยมีป้ายสีดำวางอยู่ด้านบน
เขาส่งของทั้งหมดให้เสินอี้ "ข้าเห็นดาบที่เอวเจ้าไม่ธรรมดา เลยไม่ได้ให้ดาบ ถ้าเจ้ามีอะไรต้องการ ให้เจ้าเข้ามาถามที่นี่ได้เลย และถ้ามีเรื่องอะไรไม่เข้าใจ เจ้าก็ถามซิวเจ๋ี๋ยได้เลย"
ซิวเจ๋ี๋ยก็คือชื่อของเฒ่าหลิวนั่นเอง...
หลิวซิวเจ๋ี๋ยเอ่ยปากถาม "เขาได้อาศัยอยู่ที่ไหน?"
หลี่ซินฮั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันกลับมาตอบว่า "ทำตามคำสั่งของใต้เท้าหลิน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหลิวซิวเจ๋ี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย: "ทำไมต้องหาสร้างปัญหาให้คนอื่นด้วย?"
เสินอี้มองทั้งสองคนอย่างเงียบๆ ฟังบทสนทนาที่เขาไม่เข้าใจ
หลิวซิวเจ๋ี๋ยถอนหายใจยาวๆ หลังจากนั้นก็พาเขาไปที่ส่วนลึกทันที
"ตามปกติแล้ว เสี่ยวเว่ยค่ายนอกอาศัยอยู่ในลานตะวันตก..."
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณธูปหนึ่งดอก หลิวซิวเจี๋ยก็หยุดลงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูเงียบสงบ เขายิ้มอย่างขมขื่นและแนะนำว่า "ระวังตัวด้วย"
"นี่มันที่ไหน?" เสินอี้ขมวดคิ้วมองเข้าไป
"ที่นี่คือบ้านของท่านแม่ทัพ รวมกับลูกศิษย์ของท่านอีกห้าคน สองคนเป็นขุนพลอาวุโส(เจียงกุ่น) หนึ่งคนเป็นขุนพล(เปี่ยนเจียง) หนึ่งคนเป็นนักล่าปีศาจ และอีกคนเพิ่งเข้ามาห้าเดือน... แต่ก็เป็นเสี่ยวเว่ยสามแถบแล้ว"
"เฮ้อ... เจ้าอาจยังไม่เข้าใจแผนกปราบปีศาจดีนัก ลองเดาสิว่าทำไมที่นี่ไม่มีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่"
หลิวซิวเจี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ลูบขมับ แล้วพูดต่อ "พูดง่ายๆ ยกเว้นท่านแม่ทัพแล้ว ห้องอื่นๆ เป็นของผู้ฝึกฝนขอบเขตควบแน่นตัน(หนิงตัน) สองคน ผู้ฝึกฝนขอบเขตวารีหยกขั้นสมบูรณ์สองคน และผู้ฝึกฝนขอบเขตวารีหยกขั้นกลางหนึ่งคน"
"และเจ้า นอกจากจดหมายแล้ว ไม่มีอะไรพึ่งพาได้เลย และตอนนี้เจ้าต้องเข้าไปอาศัยอยู่ด้วยกันกับพวกเขา"
"ข้าไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องดีหรือไม่? มันมีคำกล่าวที่ว่า ต้นไม้สูงย่อมดึงดูดลมแรง"
หลิวซิวเจี๋ยขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เข้าใจว่าใต้เท้าหลินคิดอะไรอยู่กันแน่?
เมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย เขาเข้าใจความคิดของเสี่ยวเว่ยธรรมดาคนอื่นๆ ดีกว่า
"ช่างมันเถอะ ตามข้ามา"
หลิวซิวเจี๋ยรีบเดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทางตื่นตระหนก ราวกับว่าที่นี่คือบ่อมังกรถ้ำเสือ
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ประกอบกับข่าวลือที่ได้ยินจากจางถูหู
การคาดเดาของเสินอี้เกี่ยวกับตัวตนของหลินไป๋เว่ยก็ได้รับการยืนยันในตอนนี้
เขาแค่สงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร?
เมื่อก้าวเข้าไปในลาน เขาเห็นต้นหวายซู่(ต้นฉัตรจีน) ต้นหนึ่ง บ่อน้ำโบราณหนึ่งบ่อ
ชายหนุ่มร่างกายกำยำเปลือยท่อนบนนั่งอยู่บนแท่นหิน ร่างกายเหมือนเหล็กหล่อ กล้ามเนื้อเห็นได้อย่างชัดเจน
เขากำลังแกะถั่วในมืออย่างระมัดระวัง ตรงข้ามกับเขา หญิงชราผมขาวกำลังเด็ดผักด้วยปลายนิ้ว
ดูสงบสุขและเงียบสงบ
"หลิวซิวเจี๋ยแห่งค่ายนอก ขอคารวะใต้เท้าฟาง"
เฒ่าหลิวบีบรอยยิ้ม ขณะที่เขาดึงเสินอี้ข้างๆ มาแนะนำ "ใต้เท้าฟาง คนผู้นี้คือ..."
"ข้ารู้แล้ว ข้าได้รับจดหมายจากศิษย์พี่หญิงแล้ว"
ฟางเหิงยังคงแกะถั่วอยู่ เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่หญิงชราคนนั้นมองเสินอี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ดีแล้ว ดีแล้ว"
หลิวซิวเจี๋ยยิ้มอย่างประจบสอพลอ เขารู้สึกตึงเครียด ไม่เหมือนยามที่ต้องเผชิญหน้ากับหลี่ซินฮั่น จากนั้นเขาส่งสายตาไปทางด้านข้าง "ยังไม่รีบทักทายศิษย์พี่ฟางเหิงอีก เร็วเข้า"
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางเหิงพูดเสียงเรียบ "ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าศิษย์พี่ เรียกชื่อข้าเฉยๆ ก็ได้"
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิวซิวเจี๋ยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจ
แน่นอนว่า จดหมายเพียงฉบับเดียว มันจะรับโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรใช่ไหม?
"ไอ้เด็กน้อย พูดจาทำไมไม่มองหน้าผู้คน" หญิงชราเคาะศีรษะชายหนุ่ม
ฟางเหิงดูเหมือนจะคุ้นเคย เขาเงยหน้าขึ้น แล้วชี้ไปที่กระท่อมหลังเล็กที่สุด "ไปอยู่ที่นั่นก่อน สิ่งที่ศิษย์พี่หญิงเป็นหนี้ ข้าจะชดใช้ให้"
คราวนี้ถึงคราวเฒ่าหลิวที่สับสน
เสินอี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเขาก็โล่งใจ
จะบอกว่าไม่มีความคาดหวังเลย มันคงเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าพายขนาดใหญ่เช่นนี้ตกลงมาจากฟ้า เขาก็ไม่กล้ารับจริงๆ
ในตอนนี้ เมื่อเขาเข้าใจที่มา เขาจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น
หลินไป๋เว่ยสัญญากับเขาว่า จะให้วิชาขอบเขตวารีหยกสองเล่ม วิชาผสานสี่เที่ยงแท้ถือเป็นหนึ่งเล่ม เขาคิดว่าหลังจากแก้ปัญหาแล้ว อีกฝ่ายอาจจะจำเรื่องนี้ไม่ได้ หรือไม่ก็เลือกวิชาแผนกปราบปีศาจมาสักเล่มเพื่อทำการแลกเปลี่ยน
เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังขนาดนี้
เนื่องจากคนตรงหน้าเป็นลูกศิษย์ของท่านแม่ทัพใหญ่เช่นกัน แล้วยังทำท่าทีทางการกับเขาขนาดนี้ แสดงว่าวิชาที่ส่งต่อ น่าจะไม่ด้อยไปกว่าวิชาผสานสี่เที่ยงแท้แน่นอน
"เอ่อ..."
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ตัวเองทำแล้ว เฒ่าหลิวก็โค้งคำนับลา ทิ้งท้ายด้วยสายตาที่เห็นอกเห็นใจมาทางเสินอี้
แม้ว่าเขาจะกล่าวเตือนก่อนหน้านี้ แต่กลับถูกฟางเหิงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา เสินอี้คงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย
"..."
เสินอี้จ้องมองอีกฝ่ายพยักหน้ารับ แล้วหันหลังเดินเข้าไปในกระท่อมหลังเล็ก
หลังจากเข้ามาแล้ว เขาก็หยิบชุดเสื้อผ้าเข้ามาดู
เสื้อผ้าใหม่ทำจากผ้าไหม สัมผัสนุ่มลื่น แม้แต่เข็มขัดของเสี่ยวเว่ยทั่วไปก็ยังประดับด้วยหยก ไม่แปลกที่จางถูหูมักจะอิจฉาความหรูหราของแผนกปราบปีศาจ
เขาลองสวมดู ถือว่าพอดีตัว
น่าเสียดายที่ไม่มีกระจก...
หลังจากจัดการความเรียบร้อยของเสื้อผ้าแล้ว เสินอี้ก็ยื่นมือไปหยิบขวดยาขนาดเล็ก
เฒ่าหลิวก็ไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจนตอนที่เขาจากไป
นี่คือยาล้ำค่าที่คนพูดถึงกันงั้นเหรอ?
เสินอี้แขวนป้ายประจำตัวไว้ที่เอว หยิบดาบคู่ทมิฬมาคาดเอว เตรียมออกไปเดินดูรอบๆ
แต่เขากลับได้ยินเสียงของหญิงชราดังมาจากด้านนอก "หนุ่มน้อย ออกมาทานข้าวเร็วเข้า"