บทที่ 50 มุ่งหน้าสู่ชิงโจว
บทที่ 50 มุ่งหน้าสู่ชิงโจว
รุ่งอรุณเริ่มปรากฏ หมอกขาวปกคลุมไปทั่ว
นอกเมืองอันเงียบสงัด รถม้าสิบกว่าคันเรียงรายกัน
บนตัวรถม้าไม้หวู่สีดำสนิท(ไม้มะเกลือ) ไม่ได้แกะสลักลวดลายมงคล แต่กลับเป็นภาพสัตว์ร้ายที่เหมือนมีชีวิต ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัว
ม้าที่ลากรถมีรูปร่างแข็งแรง ขาเรียวมีพลัง ลำตัวสีดำสนิท สูงกว่าม้าปกติครึ่งศีรษะ
บนหัวม้ามีขนสีแดงเข้มปกคลุม เมื่อเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีเหลือง ส่งเสียงร้องดังกังวาน
หนิวต้ารีบกอดห่อของไปยืนด้านหลัง "ทำไมตาของม้าถึงเป็นแบบนี้ มันเหมือนดวงตาเสือดาวเลย"
ขอทานเดินเข้ามา ลูบหัวม้าเบาๆ หัวเราะกล่าวว่า"มันคือครึ่งปีศาจ วิ่งได้เร็วและมั่นคง แม้จะกลางดึกก็สามารถเดินทางได้ อย่างมากสองวันก็พาพวกเรากลับถึงชิงโจวแล้ว"
ครึ่งปีศาจ หมายถึงสัตว์ที่มีสายเลือดปีศาจปนเปื้อน
หากมันฉลาดขึ้น มันก็จะกลายเป็นปีศาจตัวจริง
แต่ภายใต้การฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญ และการดูแลมาหลายรุ่น สัญชาตญาณปีศาจของพวกมันก็จะอ่อนลง ทำให้พวกมันแทบไม่มีโอกาสฉลาดขึ้นเลย
เมื่อปลอบโยนม้าปีศาจแล้ว ขอทานก็กลับมาที่ข้างๆ หลี่ซินฮั่น เขาพูดเบาๆว่า "จากที่ข้าดูมา เขามีความรู้หลากหลาย ฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายาคล้ายสำนักวัชระ แถมยังมีความรู้ด้านดาบอีกด้วย จากคำพูดของเหล่ามือปราบ ตอนเขาใช้ดาบปรากฎออร่าของปีศาจอย่างชัดเจน"
"และเมื่อวานนี้ที่ข้าสังเกตเห็น เขาเดินอย่างคล่องแคล่วว่องไว แฝงไว้ด้วยร่องรอยของวิชาแปดก้าวอสรพิษวิญญาณ"
"อืม... ช่างยุ่งเหยิงนัก เหมือนกับว่าเขาไม่มีอาจารย์สอนอย่างจริงจัง"
วิชาบ่มเพาะกายา ดาบที่แฝงด้วยออร่าปีศาจ แถมยังมีวิชาตัวเบาของแผนกปราบปีศาจอีกด้วย แค่จากที่มองเห็น เขาก็เกี่ยวข้องกับสามสายทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
ขอทานพูดพลางรู้สึกอับอายเล็กน้อย "ขนาดฝึกมั่วๆ แบบนี้ เขายังสามารถล้มข้าด้วยกระบวนท่าเดียว..."
บทเรียนสำคัญที่สุดของปรมาจารย์ยุทธคือ... ห้ามเรียนอะไรมั่วซั่ว
เพราะอายุขัยของมนุษย์มีจำกัด
การเรียนนู่นนิดเียนนี่หน่อย มันอาจดูเหมือนจะได้เปรียบตอนต่อสู้ แต่จริงๆ แล้ว แต่ละอย่างล้วนต้องใช้เวลานานมากในการฝึกฝน
ขอทานกระซิบต่อ "พรสวรรค์ของเขาไม่น่าจะด้อยกว่าเจ้า อายุก็ใกล้เคียงกัน แต่น่าจะเป็นเพราะสาเหตุฝึกมั่วซั่ว เขาถึงได้ถูกเจ้าทิ้งห่างในเรื่องขอบเขตบ่มเพาะ"
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหลี่ซินฮั่นก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า "มันถือเป็นเรื่องดี"
เรียนอะไรมั่วๆ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่มีเส้นสาย ภูมิหลังใสสะอาด!
"อีกอย่าง ไม่ใช่ใกล้เคียงกัน" หลี่ซินฮั่นมองไปไกล มองไปที่เงาที่เดินเข้ามา
เขาพูดอย่างเย็นชาว่า "ข้าอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีหกเดือน และสองปีก่อน ข้าก็อยู่ขอบขตวารีหยกแล้ว ถ้าคนที่ไปหาเขาเมื่อวันก่อนไม่ใช่เจ้า แต่เป็นข้า เขาคงหนีข้าไม่พ้นแน่นอน"
ขอทานเห็นว่าหลี่ซินฮั่นมีอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับแกล้งทำเป็นเฉยเมย ทำให้ขอทานพูดไม่ออก เขาบ่นพึมพำว่า "ถ้าคนที่เปิดประตูคือใต้เท้าหลิน เจ้าก็ผ่านไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว... เรื่องมันยังไม่แน่นอนขนาดนั้น เจ้าจะอิจฉาอะไรกันนักหนา"
มุมปากของหลี่ซินฮั่นกระตุกสองครั้ง เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อแล้วกระโดดขึ้นม้าทันที
"... "
เฒ่าหลิวเหยียดตัวพลางหาวออกมา เขาขี้เกียจเข้าร่วมการโต้เถียงของทั้งคู่
ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลขุนนางในชิงโจว และถูกเลือกให้เข้าร่วมแผนกปราบปีศาจในชุดเดียวกัน หัวหน้าหลี่มีพรสวรรค์ที่ดี เขาก้าวหน้ารวดเร็ว แถมยังไม่มีนิสัยชอบวางท่าต่อหน้าพี่น้อง การแทงใจดำกันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนี้
เฒ่าหลิวลูบคอ เดินไปหาคนกลุ่มนั้น "มากันครบแล้วใช่ไหม? ครอบครัวและคนรับใช้ให้นั่งรถด้านหลัง"
เฉินจี้พยักหน้า ประคองเฉินจินหยูที่แสดงสีหน้าอึดอัดขึ้นรถม้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิง
"เอ๋..."
เฒ่าหลิวหันกลับมา มองดูจางถูหูที่มีรูปร่างใหญ่โตด้วยความสีหน้าช่วยไม่ได้ "เจ้านั่งรถคนเดียวดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องเบียดใคร"
เขาพาเสินอี้และเฉินจี้ขึ้นรถม้าคันแรก
เมื่อหลี่ซินฮั่นดึงสายบังเหียนเบาๆ กระตุ้นม้าที่อยู่หน้าสุด ม้าปีศาจกลับไม่ต้องการคนบังคับ มันเดินตามหลังโดยอัตโนมัติ
"เมื่อถึงชิงโจวแล้ว ให้เจ้าฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าเป็นต้นกล้าที่ดี อนาคตอาจจะมีโอกาสเพิ่มลายเมฆบนแขนเสื้อ"
เมื่อนั่งอยู่ในรถม้าที่มั่นคง เฒ่าหลิวก็กล่าวกับเฉินจี้ด้วยความชื่นชม
"ข้าน้อยเข้าใจ" เฉินจี้โค้งคำนับตอบ ในใจก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแค่อยากให้เกียรติใต้เท้าเสิน
"กับข้า... เจ้าไม่ต้องเกรงใจ"
เฒ่าหลิวมองเสินอี้ ถูมือไปมา "เป็นไง เจ้าสนใจมาร่วมงานกับพวกเราไหม? ลูกน้องหัวหน้าหลี่มีสาวสวยหลายคนนะ เจ้ายังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?"
เสินอี้เปิดม่านมองออกไปด้านนอก
เขาเห็นว่ามีเพียงหลี่ซินฮั่นและขอทานที่ขี่ม้า
"คนอื่นๆ อยู่ที่ไหน?"
เมื่อได้ยินดังนั้น เฒ่าหลิวถอนหายใจ "อยู่ที่เมืองไป๋อวิ๋น รอให้ชุดตรวจการจากค่ายในมารับช่วงต่อ"
"ค่ายใน?" เสินอี้รู้สึกอยากรู้อยากเห็น
ดูเหมือนว่าเฒ่าหลิวจะไม่เต็มใจอธิบายเรื่องนี้ จนกระทั่งได้ยินเสียงฮึดฮัดจากหลี่ซินฮั่นจากด้านนอกรถ เขาจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ "แผนกปราบปีศาจในชิงโจวแบ่งออกเป็นสามค่าย ยกเว้นที่พวกเด็กใหม่ประจำการอยู่ ยังมีค่ายนอกและค่ายในอีก"
"ค่ายในนั้น นอกจากจะตรวจการณ์ตามเมืองต่างๆ แล้ว ในเวลาปกติก็จะอยู่ที่เมืองชิงโจว คอยเดินตรวจตรา ดื่มด่ำกับวิถีชีวิต... เข้าใจถึงหลักการของการประจำจุด ไม่ค่อยออกจากเมือง โคตรน่าเบื่อ!"
"พวกเราที่เป็นค่ายนอกนี่น่าเกรงขามกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นท่านแม่ทัพหรือใต้เท้าหลิน ยิ่งท่านแม่ทัพสมัยหนุ่มๆ ก็มาจากค่ายนอก ไม่เพียงแต่มีอิสระมากกว่า ยังได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ชมความงดงามของโลก เฮ้อ... ช่างมีความสุขเหลือเกิน!"
เฉินจี้ฟังอย่างสับสน เลยเอ่ยถามเบาๆ ว่า"เอ่อ... ถ้าอยู่นอกเมืองบ่อยๆ เราจะเจอปีศาจเยอะไหม?"
"เจ้า..."
เฒ่าหลิวจ้องมองชายหนุ่มผู้นี้ อ้าปากค้าง พูดต่อไม่ออก "น้องเสินอยากเข้าค่ายในก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ให้หัวหน้าหลี่ไปทักทายก็พอ เขาเป็นตระกูลใหญ่ในชิงโจว เส้นสายไม่ใช่ปัญหา เรื่องแค่นี้ยังพอทำได้ แต่ว่า... สาวๆ ในทีมค่ายนอกของเราน่ะสวยจริงๆ นะ เจ้าไม่ลองคิดดูอีกทีงั้นเหรอ"
เสิ่นอี้ปล่อยม่านลง เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นแม่สื่ออย่างไรอย่างนั้น
การใช้ชีวิตทั้งชีวิตในสถานที่ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวการรุกรานของปีศาจ แถมยังมีงานมั่นคงทำ
เรื่องดีๆแบบนี้ ใครก็ปฏิเสธไม่ได้!
ยกเว้นตัวเขาเอง
หากไม่มีอายุขัยของปีศาจค้ำจุน "พรสวรรค์" เขาจะถูกเปิดเผยความห่วยแตกทันที
ระดับพรสวรรค์ที่แท้จริงของร่างกายนี้ มันคือต้องฝึกฝนอย่างหนักทั้งชีวิต ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ใช่นักดาบที่เก่งเลย ไม่ต้องพูดถึงการเปรียบเทียบกับเหล่าเสี่ยวเว่ย แม้แต่กับเฉินจี้เขาก็ยังห่างไกล
"ข้าอยู่ค่ายนอกดีกว่า ข้าเชื่อฟังท่านเสี่ยวเว่ยทุกประการ"
เสินอี้หันกลับมามอง ดูเหมือนจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเฒ่าหลิวจริงๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ซินฮั่นที่ขี่ม้าอยู่ด้านนอก แม้จะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็คลายมือที่จับสายบังเหียนออกเล็กน้อย
"ข้าบอกเลยว่าเจ้ามีวิสัยทัศน์!"
เฒ่าหลิวหัวเราะร่า ตบมือชอบใจ พลางยกนิ้วโป้งขึ้น "มองออกในทันทีว่า อนาคตของพวกเราจะสดใส"
ภายในแผนกปราบปีศาจให้ความสำคัญกับความดีความชอบมาก การแข่งขันระหว่างกันก็รุนแรง
หากหัวหน้าหลี่ต้องการเลื่อนตำแหน่ง เขาก็ต้องสร้างทีมของตัวเอง
เมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ที่นำโดยขุนพล หัวหน้าหลี่อายุยังน้อย แถมประสบการณ์น้อย เขาย่อมเสียเปรียบในการเลือกคน
คนที่มีความสามารถอย่างเสินอี้ ในสายตาของขุนพลคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับพวกเขา ถือว่าเป็นการได้ขุมทรัพย์มาครอง!
"...."
เฉินจี้นั่งอยู่มุมห้อง เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย
เฮ้อ... มาจากเมืองไป๋อวิ๋นเหมือนกัน แต่พวกเขายังต้องกังวลเรื่องอนาคต แต่ใต้เท้าเสินกลับกลายเป็นคนที่เสี่ยวเว่ยปราบแผนกปีศาจเหล่านี้ต้องแย่งชิง...