ตอนที่แล้วบทที่ 48 แม่ทัพใหญ่(จงปิ่ง)แห่งชิงโจว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 50 มุ่งหน้าสู่ชิงโจว

บทที่ 49 จากบ้านเกิด?


บทที่ 49 จากบ้านเกิด?

ประโยคนี้ถูกพูดออกมาอย่างเบาๆ โดยขอทาน

เฉินจี้และคนอื่นๆ ไม่ได้แสดงอาการใดๆ

แต่จางถูหูกลับรู้สึกตื่นขึ้นจากความประหลาดใจเมื่อกี้ทันที จากนั้นเขาก็หยิกหน้าท้องใหญ่ของตัวเองอย่างแรง

มารดามัน! ข้าไม่ได้ฝันไป!

แต่ทำไมล่ะ!?

จางถูหูไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยอิจฉาหรือริษยาเพื่อน เขาแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น

แม้เขาจะไม่ได้สนใจเรื่องในราชสำนักมากนัก

แต่แม่ทัพใหญ่แห่งชิงโจวเป็นบุคคลที่มีระดับเดียวกับผู้นำของสำนักต่างๆ  นอกจากนี้ สถานะของแผนกปราบปีศาจยังเหนือกว่าสำนักในยุทธภพ  พูดได้ว่า อีกฝ่ายคือคนใหญ่คนโตในชิงโจว

สำหรับปรมาจารย์ยุทธทั่วไป  สถานะนี้เป็นเหมือนเรื่องราวในตำนานที่นักเล่าเรื่องใช้เล่าขานเพื่อคลายความเบื่อหน่ายหลังอาหารค่ำ!

"อย่าพูดจามั่วซั่ว!"

เฒ่าหลิวขมวดคิ้ว จ้องมองขอทานอย่างไม่พอใจ

พูดเรื่องที่ยังไม่แน่นอน เจ้าสารเลวขอทานนี่ปากไม่ดีจริง ๆ

เขาส่ายหน้า มองไปที่เสิ่นอี้ใหม่ ยิ้มอย่างขมขื่น "ในจดหมายที่ส่งถึงแม่ทัพใหญ่ มีการพูดถึงเรื่องนี้จริง แต่ท่านมักจะอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมา แม้ว่าจะกลับมา...  เจ้าเองก็อย่าคาดหวังมากเกินไปนักเลย"

เฒ่าหลิวเป็นคนจริงจัง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกผิดหวังมากเกินไป เขาไม่อยากทำลายต้นกล้าที่ดี

เขาเหลือบมองไปด้านข้าง จางถูหูก็เข้าใจ เกาหัวแล้วเดินเข้าไปในห้องโถง หาเรื่องคุยกับเฉินจี้และคนอื่นๆ

"ใต้เท้าหลินถูกปีศาจผนึก ท่านได้รับการคุ้มกันและถูกส่งตัวออกจากเมืองไป๋อวิ๋นแล้ว เพื่อไปหาท่านแม่ทัพ และจะไม่กลับไปที่ชิงโจวในเร็วๆ นี้"

เฒ่าหลิวลดเสียงลง "เมื่อเข้าสู่แผนกปราบปีศาจ ทุกคนจะเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย... พวกเขาไม่กลัวที่จะต่อสู้เพื่อเจ้า แต่พวกเขาไม่ต้องการเห็นเจ้าก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเพิ่งมาใหม่ มันคือธรรมชาติของมนุษย์ ได้โปรดเข้าใจเถอะ"

มันไม่ใช่การเตือนธรรมดา แต่เป็นการเตือนสติ

เสินอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

"พรสวรรค์" ที่เขาตั้งใจแสดงต่อหน้าหลินไป๋เว่ยนั้น มันได้ผลจริงๆ

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

อย่าดูว่าคนกลุ่มนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส  จริงๆแล้ว... ใจของพวกเขาอาจจะไม่ได้มีความสุขอย่างที่แสดงออก

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนที่เอาชีวิตแลกความดีความชอบ

ถ้าเขามีภูมิหลังแข็งแกร่งพอ แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีโอ้อวดว่าได้พิงร่มใหญ่ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ความเป็นจริงคือเขาไม่มีอะไรเลยแล้วยังทำ แบบนั้นก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว

"ตามความหมายของหลี่ซินฮั่น เราจะส่งเจ้ากลับไปก่อน ทุกเรื่องราวยังคงดำเนินการตามปกติ อย่าเพิ่งบอกอะไรใคร รอให้ใต้เท้าทั้งสองกลับมาแล้วค่อยจัดการ"

หลังจากเฒ่าหลิวพูดจบ เขาก็ปิดปากเงียบ

หัวหน้าหลี่มีนิสัยเย็นชา แต่จิตใจไม่เลว

"ผมไม่มีความคิดเห็นอะไร" เสินอี้ส่ายหน้า

สาเหตุที่เข้าร่วมแผนกปราบปีศาจ หนึ่งคือเพื่อหาที่พึ่งพิงเวลาฆ่าปีศาจ สองคือเพื่อวิชาและยาอันล้ำค่า

สำหรับข้อแรก มันจะทำให้เขามีข้อมูลเกี่ยวกับพวกปีศาจมากขึ้น ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ ที่เขารู้เรื่องพวกมันแค่ภายในเขตเมืองเท่านั้น  ส่วนเรื่องภายนอกเมือง เขาไม่รู้อะไรเลย

เมื่อมีอายุขัยของปีศาจเพียงพอ บวกกับวิชาที่แข็งแกร่งและยาอันล้ำค่า เขาย่อมพัฒนาได้เร็วกว่าการต่อสู้ด้วยตัวเอง

เมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านี้ ชื่อเสียงมันคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่พอ... มันยังสร้างปัญหาให้เขาอีก เสินอี้เลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมาก

เหมือนกับที่อีกฝ่ายพูด ถ้าจะมีอะไรดีๆ เข้ามาจริงๆ มันก็ต้องรอให้คนกลับมาถึงจะได้

เฒ่าหลิวเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของท่าทางเสินอี้

เมื่อเห็นว่าดวงตาของเสินอี้ยังคงสุกใส ปากพูดว่าไม่มีความคิดเห็น ท่าทางก็ดูไม่สนใจจริงๆ ปฏิกิริยาเช่นนี้กลับทำให้เฒ่าหลิวรู้สึกตกใจ

ดำคำที่ว่าที่ว่า "ซาลาเปาในรูปภาพ ย่อมแก้หิวไม่ได้" นั้น ทุกคนล้วนเข้าใจ แต่โอกาสใหญ่หลวงเช่นนี้ตกถึงตัว แม้จะมีเก้าเก้าเปอร์ส่วนที่เป็นของปลอม แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเพิกเฉยมันได้อย่างสมบูรณ์

แน่นอน ยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง นั่นคืออีกฝ่ายได้กินซาลาเปาของจริงไปแล้ว!

"บัดซบ! เจ้าคงไม่ได้กินใต้เท้าหลินไปแล้วใช่มั้ย!?"

เมื่อนึกย้อนไปถึงเสื้อผ้าตัวใหญ่ของหลินไป่เว่ยเมื่อวาน เฒ่าหลิวขบฟันแน่น ความเชื่อที่ยึดมั่นมาตลอดก็เริ่มสั่นคลอน

คนด้านหลังรีบเตะเขาจนล้มลงไปกับพื้น "ไอ้เฒ่า! ไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไง? คิดอะไรไม่เข้าท่า!!"

กล้าปล่อยข่าวลือเรื่องนักล่าปีศาจ ถ้าพวกนักพรตที่คลุกคลีอยู่กับเหล่าปีศาจได้ยินละก็...  พวกนั้นคงจับไอ้หนุ่มคนนี้มาชำแหละทั้งเป็นแน่ๆ!

"พวกเราออกมาทำภารกิจ แค่แวะมาเมืองไป๋อวิ๋นชั่วคราว ค่อนข้างรีบ เจ้ารีบกลับไปเก็บของเถอะ จากนั้นจะได้ไปกับพวกเรา"

ขอทานกดหน้าของเฒ่าหลิวลงกับพื้น ยิ้มอย่างขำๆ ให้กับเสินอี้

...

หน้าประตูที่ว่าการ

ชายหนุ่มที่ถูกคัดเลือกชูกำปั้นด้วยความตื่นเต้น

ในยุคที่ปีศาจก่อความวุ่นวาย การได้มีวิชาติดตัว ย่อมเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการยกระดับสถานะ

อย่าดูพวกเขาเป็นแค่ทหารและเจ้าหน้าที่ทั่วไป หากผ่านการฝึกอบรมของแผนกปราบปีศาจได้ เมื่อกลับมาที่เมืองไป๋อวิ๋น  แม้แต่เจ้าเมืองก็ต้องต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็อดมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้

พวกเขาไม่ใช่คนตาบอด ถึงแม้จะฟังไม่ชัดว่าเสี่ยวเว่ยเหล่านั้นพูดอะไรกับเขา แต่ดูจากท่าทางก็น่าจะรู้

หัวหน้าหน่วนเสินไม่ต้องไปทดสอบเหมือนพวกเขา

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ตอนนี้จะไปสร้างความสนิทสนมก็คงรู้สึกอึดอัด... แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีสถานะเป็นคนบ้านเดียวกัน เมื่อเข้าแผนกปราบปีศาจ พวกเขาน่าจะพอพึ่งพาอะไรได้บ้าง ใช่ไหม?

"หัวหน้าเสิน ข้าน้อยขอตัวก่อน ต้องกลับไปดูแลท่านแม่ แล้วก็ไปปลอบใจภรรยาด้วย"

แต่คนที่สนิทกับเสินอี้กลับไม่คิดอะไรมาก หนิวต้าอยากรีบกลับบ้าน เขารู้สึกคันเป้ากางเกง หลังจากพูดจบก็อยากจะวิ่งหนี

เฉินจี้รู้ดีว่าเสินอี้ไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่แม่ทัพใหญ่จะรับอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือเข้าแผนกปราบปีศาจโดยตรง มันก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ เท่านั้น

"ใต้เท้าเสิน..." เขาโค้งคำนับ

"ไม่ต้องเรียกแบบนั้นแล้ว " เสินอี้เรียบเรียงความคิด เขาโบกมือห้าม

ในที่สุดก็ถอดชุดเจ้าหน้าที่ออกได้ ถือว่าเป็นการบอกลากับเรื่องเลวร้ายที่ร่างเก่าของเขาทำ

เมื่อไม่ได้ทำงานในศาลาที่ว่าการ มันก็ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าใต้เท้าอีกต่อไป

เพียงแต่มองดูเงาหลังของหนิวต้า เขาก็รู้สึกสะท้อนใจ

การจากบ้านเกิดเป็นเรื่องที่น่าเศร้า

เสินอี้พยายามอย่างมากที่จะบีบอารมณ์เศร้าออกมา แต่คิดดูดีๆ เขาไม่มีญาติที่ต้องร่ำลา ไม่มีบ้านให้จดจำ บ้านพักที่เขาอาศัยอยู่ก็เป็นของจวนเจ้าเมือง

มีเพื่อนที่พูดคุยได้เพียงสองคน คนหนึ่งไปกับเขา ส่วนอีกคน...

เสินอี้หันกลับไปมองจางถูหู เห็นอีกฝ่ายยิ้มร่าเดินตามหลัง นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยพูดว่าจะกลับชิงโจวเพื่อไปดูคนรักเก่า

เอาเถอะ อีกคนก็มีแนวโน้มที่จะไปด้วย

แน่นอน เขาคงไม่ไปร่ำลายายเฒ่าเกล็ดเขียวแน่ๆ!

"ไปกินข้าวกันเถอะ" เสินอี้โบกตั๋วแลกเงินในมือ

"ไปด้วย ข้าไปด้วย ช่วงนี้กินอะไรก็ไม่อร่อย หาร้านที่มีคนเป่าขลุ่ยร้องเพลงเถอะ" จางถูหูตบพุงอย่างแรง

"…"

ใครเขาพกตั๋วแบกเงินไปกินข้าวกัน

เฉินจี้ล้วงเหรียญเงินออกมาจากเอว เขาถอนหายใจ: "ไปกันสองคนก็พอ ข้าน้อยไม่ไป"

"ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าจะใช้สิทธิ์กินเท่ากับสองคนแทนแล้วกัน" จางถูหูตบไหล่เขาอย่างแรง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด