บทที่ 48 แม่ทัพใหญ่(จงปิ่ง)แห่งชิงโจว
บทที่ 48 แม่ทัพใหญ่(จงปิ่ง)แห่งชิงโจว
เสิ่นอี้เดินเนิบๆ ไปยังลานด้านนอกของแผนกมือปราบ
เขาเห็นจางถูหูนั่งยองๆ อยู่บนบันไดหิน หาวอย่างง่วงเหงา ดูไร้เรี่ยวแรง
เมื่อมีคนเดินเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นมอง พูดอย่างขำขันว่า "ทำไมเจ้าถึงมาช้า หรือว่าตั้งใจรอจนถึงคนสุดท้ายค่อยมาถึง เพื่อจะได้สร้างความประทับใจให้กับพวกเสี่ยวเว่ย?"
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสิ่นอี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางของเสินอี้ จางถูหูจึงลุกขึ้นยืนอย่างสบายๆ พลางปลอบโยนว่า "เฮ้ๆ ตอนที่ข้าเข้าสำนักวัชระครั้งแรก ข้าก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน น่าเสียดายที่พวกคนจากแผนกปราบปีศาจเหล่านี้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ พวเขาเห็นอะไรมาเยอะ พวกเขาคงจะเจออะไรแบบนี้มาเยอะแล้ว เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง"
หากเจ้ามีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปจริงๆ พวกเขาคงไม่ปล่อยเจ้าไว้หรอก
“เจ้าพูดเรื่องอะไร?” เสินอี้หยุดเดิน เอียงคอถาม
“…” จางถูหูเงียบไปครู่ ในที่สุดก็จริงจังขึ้น “เมื่อคืนนี้ มีเสียงตีระฆังสองครั้ง ทหารและเจ้าหน้าที่ทุกคนถูกเรียกไปที่เมืองทิศตะวันตก ตอนนี้คนถูกเลือกหมดแล้วคงกำลังอบรมอยู่ในจวน... หรือว่า พวกเขาจะลืมเจ้า?”
“ไอ้พวกเวรเอ๊ย ดูถูกผู้คนมากเกินไปแล้ว ข้ายังหวังจะติดตามเจ้ากลับไปที่ชิงโจวเพื่อไปเยี่ยมคนรักเก่าซะหน่อย!”
จางถูหูสาบแช่งสองสามคำ จากนั้นจับแขนเสิ่นอี้แล้วรีบวิ่งไปที่จวนเจ้าเมือง
แผนกปราบปีศาจมักจะทำงานอย่างรอบคอบ เป็นไปไม่ได้ที่จะละเลยใครบางคนโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนใหญ่เป็นการจงใจมากกว่า
ด้วยความสามารถทางการต่อสู้ของเสินอี้ หากเขาเติบโตในชิงโจวตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่ถือว่าแปลกอะไร แต่เขากลับเติบโตขึ้นในเล็กๆ อย่างเมืองไป๋อวิ๋นนั้น ช่างหายากและล้ำค่า หากไม่ใช่เพราะเขาสวมชุดเจ้าหน้าที่ราชสำนัก สำนักไหนๆ ก็ไม่มีทางปฏิเสธเขา ไอ้พวกสารเลว! ทำไมชอบถึงรังแกคนเช่นนี้!
แม้ว่าเสินอี้จะแสดงออกอย่างปกติ แต่ในใจเขารู้สึกสับสนอยู่บ้าง
เขาคิดหลายแง่มุม แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นแบบนี้
ตอนนี้จวนว่างเปล่า มีเพียงทหารยามเฝ้าอยู่สอนคนเท่านั้น
จางถูหูไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พุ่งเข้าไปข้างใน ด้วยทักษะบ่มเพาะร่างกาย ทหารธรรมดาเหล่านั้นย่อมไม่มีทางหยุดเขาได้
จนกระทั่งทั้งสองยืนอยู่หน้าห้องโถงใหญ่
ชายหนุ่มสองคนในชุดดำประดับเข็มขัดหยกยืนกอดอกอยู่ ลวดลายหมาป่าสีทองบนไหล่ของพวกเขาบ่งบอกถึงความน่ากลัว เขาตะโกนอย่างเย็นชาว่า "หยุด!"
จางถูหูยืนนิ่งอย่างว่าง่าย บีบรอยยิ้มบนใบหน้า "ใต้เท้าเสี่ยวเว่ย ที่นี่... ที่นี่มีอีกคนหนึ่ง"
แม้ว่าแผนกปราบปีศาจจะโหดเหี้ยม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือกับเขาโดยไม่มีเหตุผล
แต่เมื่อเห็นชุดสีดำนี้ แม้ว่าจางถูหูจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
เขาระงับความกลัวของตัวเอง ใช้ไหล่ชนเสินอี้เบาๆ "ยืนเฉยทำไม เจ้ารีบเข้าไปเร็วเข้า"
"จิ๊ มันก็แค่การอบรม เจ้ามาทำไม มีอะไรน่าดูกัน?" สายตาของเสี่ยวเว่ยจากแผนกปราบปีศาจคนหนึ่งละจากจางถูหู ความเย็นชาบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป เขากลอกตาไปที่เสินอี้ แล้วพูดอย่างเหนื่อยหน่ายว่า "มีเวลาทำไมไม่นอนอยู่บ้าน จะมาที่นี่ทำไม พวกเราเหนื่อยจะตายยังต้องยืนเฝ้าประตู เจ้าช่างว่างมากจริงๆ เลยนะ"
วันนี้เฒ่าหลิวไม่ได้ใส่ชุดคนขายน้ำตาลปั้นมา และเปลี่ยนชุดเก่าๆ ที่มีรอยปุปะแล้ว
เขาเบี่ยงตัวหลบให้ พลางพึมพำว่า "อยากดูก็ดู แต่อย่าเข้าไปใกล้มากนักล่ะ"
คำพูดของเสี่ยวเว่ยจากแผนกปราบปีศาจทำให้จางถูหูตกตะลึง
เขาเผลอมองไปทางด้านข้าง
เสินอี้ดูเหมือนจะยืนนิ่งเฉยเหมือนเขา แต่ในสายตาของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความแปลกใจ
สองคนนี้รู้จักกัน?
ภายในห้องโถง หลี่ซินฮั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลัก หลับตาลง แสดงท่าทางถึงความหยิ่งยโส
ชายหนุ่มรูปร่างดีหกคนเรียงรายกัน ทุกคนยืนนิ่ง เอามือไพล่หลัง ร่างกายเหยียดตรง ทั้งหมดแต่งกายชุดทางการของทหารและมือปราบศาลาที่ว่าการ
ขอทานที่เปลี่ยนชุดแล้วก็ดูแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีหน้าตาธรรมดา แต่ก็มีประกายคมกล้าในดวงตา
เขาเดินผ่านคนทั้งหมดอย่างช้าๆ สายตาของเขามองไปที่เฉินจี้ที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง และเตะเขาอย่างแรง
คำพูดตำหนิกำลังจะมาถึงริมฝีปาก
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นเงาคุ้นเคยที่ประตู อ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีคำด่าใดหลุดออกมา
เขาเปลี่ยนเป็นพูดอย่างเฉื่อยชาว่า "ยืนให้ดีหน่อย อย่าเหม่อลอย"
เมื่อเห็นฉากนี้ เฒ่าหลิวก็ยิ้มอย่างขำขัน
ธรรมเนียมปฏิบัติในการคัดเลือกผู้ใหม่คือ สร้างภาพลักษณ์ที่ลึกลับและน่าเกรงขามของแผนกปราบปีศาจในใจ และปราบปรามความโอหังของพวกเขา
แต่ขอทานเพิ่งโดนเตะเมื่อวานนี้ จากนั้นจู่ๆ เห็นตัวจริงที่ทำร้ายเขา เขาจะยังมีพลังเหลืออยู่หรือไง?
"ทหารแปดร้อย มือปราบกว่าร้อยคน สุดท้ายเลือกแค่หกคน คาดว่าครึ่งหนึ่งจะถูกส่งกลับ"
จางถูหูรู้สึกทึ่งเล็กน้อย
แม้จะมีคนเกือบพันคน แต่ทั้งพันคนนี้ได้รับเงินเดือนจากราชสำนัก แถมผ่านการคัดเลือกมาแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป
แต่ทั้งหมดเหลือเพียงเท่านี้เอง? เทียบเท่ากับการคัดเลือกหกคนจากทั้งเมืองไป๋อวิ๋นเลยทีเดียว!
และเมื่อพวกเขาไปที่แผนกปราบปีศาจ พวกเขาสามารถเป็นได้แค่คนรับใช้ที่เอาแต่แช่ยา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เลื่อนตำแหน่ง
เช่นเดียวกับกลุ่มคนตรงหน้าที่แขนเสื้อประดับลายเมฆ ล้วนเป็นเด็กที่ถูกคัดเลือกมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ฝึกฝนตามพรสวรรค์ เก่งกว่าปรมาจารย์ยุทธธรรมดาในระดับเดียวกัน
แน่นอน เป็นเพราะว่าสำนักอื่นในยุทธภพไม่มีทุนหนาขนาดนี้
หลี่ซินฮั่นลืมตาในที่สุด พูดอย่างเรียบเฉยว่า "กลับไปเก็บของ พรุ่งนี้ไปชิงโจว ญาติหรือบริวารสามารถพาไปได้หนึ่งคน ให้รายงานชื่อ แล้วจะมีคนจัดการ สิ่งของส่วนตัวเอาไปไม่เกินแปดสิบจิน (40กิโลกรัม)"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างกายที่ตึงเครียดของทั้งหกคนก็คลายลงเล็กน้อย
สองคนในนั้นเป็นคนหน้าคุ้นเคย
หนิวต้าแอบเกาต้นขา ลังเลอยู่ครู่ "พาไปได้คนเดียว จะพาน้องชายไปเปิดหูเปิดตาดีไหม... หรือพาเมียไปดี... แต่ท่านแม่ก็ไม่มีใครดูแลนี่สิ?"
เฉินจี้ฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็ได้แสดงฝีมือในวันนี้ ไม่เพียงแต่ฝีมือดาบและหมัดมวยของเขาจะสำเร็จลุล่วง แต่เขายังฝึกฝนวิชา "แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ" จนสำเร็จ และ "วิชาวายุและอัสนีส่วนต้น" ของเขาก็มีสัญญาณว่าจะผ่านขั้นแรกได้เช่นกัน
แม้แต่ทหารจากแผนกปราบปีศาจหลายคนก็มองเขาด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
เขาไม่มีปัญหาเหมือนหนิวต้า เพราะเขามีเพียงน้องสาวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นอีก
แต่เฉินจี้ยังคงจ้องมองอย่างกังวล
ตั้งแต่ทหารเรียกเขาออกจากบ้านจนถึงตอนนี้ เขาไม่เห็นใต้เท้าเสินเลย คงไม่ได้ตื่นสายเหมือนปกติที่ผ่านมาใช่ไหม?
ในตอนนี้เอง หลี่ซินฮั่นลุกขึ้นยืนช้าๆ
เขาเดินไปที่ประตู
ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยออร่าอันทรงพลัง
จางถูหูล่าถอยไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มปลอมๆ ที่เขาส่งให้เฒ่าหลิวเมื่อกี้ ตอนนี้มีความจริงใจมากขึ้น
บุคคลที่มีลายเมฆสามเส้นบนแขนเสื้อนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตวารีหยก
ลายเมฆแต่ละเส้น หมายถึงศพของปีศาจที่นับไม่ถ้วน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายอายุยังน้อยมาก พูดได้ว่าเมื่อเวลามาถึง เขาจะต้องกลายเป็นขุนพล(เปี้ยนเจียง) ที่ประจำการอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างแน่นอน
จางถูหูรู้สึกเหงื่อไหลย้อยอยู่กลางหลัง เพียงแค่ถูกสายตาของอีกฝ่ายมองผ่านๆ เท่านั้น
หลี่ซินฮั่นเอื้อมมือไปที่เอว
เขาจ้องมองเสินอี้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ สีหน้าที่เย็นชาค่อยๆ บิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความอึดอัด อิจฉา และสับสน
ยากที่จะจินตนาการว่าใบหน้าของคนผู้หนึ่งสามารถแสดงอารมณ์ได้มากมายขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ซินฮั่นก็ถอนสายตา ตบตั๋วเงินและจดหมายประทับตราลงบนมือของเสิ่นอี้ "ด้วยตั๋วนี้ เจ้าสามารถแลกเงินสดได้ที่ร้านแลกเงินใหญ่ๆ ในชิงโจว"
พูดจบ เขาก็เดินออกจากประตูโดยไม่หันกลับมามอง
ทิ้งไว้เพียงคนจากเมืองไป๋อวิ๋นและจางถูหูที่ยืนงงอยู่ที่เดิม
แม้ว่าการที่ศาลาที่ว่าการส่งเงินให้แผนกปราบปีศาจจะฟังดูเหมือนหาเรื่องตาย แต่ก็พอจะเข้าใจได้
แต่แผนกปราบปีศาจส่งเงินให้เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการนี่ เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
มีเพียงเสี่ยวเว่ยบางคนที่รู้เรื่อง ต่างพากันหัวเราะคิกคักเดินเข้ามา ดูเหมือนจะชอบดูหลี่ซินฮั่นทำตัวลำบาก
เฒ่าหลิวตบไหล่เสินอี้ "อย่าไปสนใจเขาเลย นิสัยปกติเขาก็เป็นแบบนี้ เขาไม่มีเจตนาร้าย เอาล่ะ รีบกลับไปเก็บของ เดี๋ยวพวกเราจะไปส่งที่ชิงโจว"
"ส่ง?" เสินอี้จ้องมองตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งพันตำลึง เขารู้สึกไม่ค่อยถูกต้อง
ขอทายทำปากจิ๊ๆ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องโดนเตะเมื่อวาน
พูดอย่างเศร้าๆ ว่า "คนที่กำลังจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่(จงปิ่ง) โดยตรง พวกข้าคงไม่ให้เจ้าเดินกลับไปเองหรอก"