ตอนที่แล้วบทที่ 42 ยุทธภพในชิงโจว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 44 เผยความเก่งกาจ

บทที่ 43 ปัญหาเข้ามาอีกแล้ว


บทที่ 43 ปัญหาเข้ามาอีกแล้ว

เมื่อจางถูหูเริ่มเล่า…

ภาพลักษณ์ของยุทธภพอันกว้างใหญ่ไพศาลเริ่มก่อตัวขึ้นในความคิดของเสินอี้

ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและอ่อนโยนจากเขาชิงเฟิง ควบม้าตะลุยไปทั่วดินแดน ข้ามภูเขา ผ่านสายน้ำ สังหารปีศาจวัวเพื่อชิงตัวคนรักกลับคืนมา ครอบครัวที่อบอุ่นกว่ายี่สิบคนได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายในบ้านเป็นเวลาสามวันสามคืน ไม่ได้ออกไปไหน ชื่อเสียงของเขาดังก้องไปทั่วเมืองชิงโจว

โจรเหินเวหาแห่งหุบเขาผิงซา บุกเข้าวังยามค่ำคืน ดื่มสุราน้ำผึ้งชั้นเลิศที่องค์ชายโปรดปรานจนหมดเกลี้ยง หมักบ่มในร่างกายอีกรอบ ก่อนจะปัสสาวะออกมาคืน  หลังจากนั้นเขาได้รับฉายาว่า "ยืมแล้วคืน"

ปรมาจารย์ยุทธสำนักวัชระนำรูปภาพสาวงามเปลื้องผ้าสองนาง แอบแขวนไว้ข้างพระพุทธรูป ซึ่งทำให้เจ้าสำนักที่มาจุดธูปตาแทบหลุดจากเบ้า จากนั้นปรมาจารย์ยุทธผู้นั้นถูกขับออกจากชิงโจว และมาพ่ายแพ้ในเมืองไป่อวิ๋น...

เมื่อจินตนาการมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเสินอี้ปรากฏรอยขำขันขึ้นมาเล็กน้อย

จางถูหูจิ๊ปาก "ชิ...  ข้าสร้างศัตรูเอาไว้ พวกมันขโมยตำราและยาบำรุงของข้า ก่อนจะมาที่นี่ ข้าเล่นงานพวกมันไม่ใช่น้อย"

"มีเหตุผล"

เสินอี้มองไปที่ประตู

ตลอดทั้งเช้า ไม่มีคนนอกแม้แต่คนเดียวมาที่แผนกมือปราบหน่วยนี้

แม้เขาจะไม่กลัวเรื่องฆ่าหลิวเตี่ยนลี่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องถึงเงียบไปเช่นนี้

เมื่อไม่รู้เหตุผล เขาก็ไม่ใส่ใจ

บางครั้งก็คุยโม้โอ้อวดกับจางถูหู ยามว่างก็ลงมือประลอง

จางถูหูเป็นพวกคลั่ไคล้ในศาสตร์การต่อสู้ แม้จะรู้ว่าเสิ่นอี้เก่งกว่าตนมาก แต่เขาก็ยังมีไฟแห่งการต่อสู้เต็มเปี่ยม

เสินอี้ใช้เพียงหมัดทะยานไล่เมฆาและแปดก้าวอสรพิษวิญญาณต่อสู้กับจากถูหู ต้องบอกเลยว่า เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย

ความชำนาญในวิชาและประสบการณ์การต่อสู้จริงนั้นไม่สามารถนำมารวมกันได้

ไม่เพียงแต่ต้องรู้วิธีใช้กระบวนท่าของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถคาดเดาการตอบสนองของศัตรูได้อีกด้วย

แม้ว่าการเพิ่มพลังด้วยการฝึกจะไม่เร็วเท่ากับการฆ่าปีศาจเพื่อเอาอายุขัย แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้บริเวณรอบๆ เมืองไป๋อวิ๋นเต็มไปด้วยข่าวลือ ไม่มีปีศาจตัวไหนกล้าเข้ามา จากข้อมูลที่เสินอี้รู้ มีเพียงถ้ำปีศาจของยายเฒ่าเกล็ดเขียวและปีศาจจิ้งจอกบนหน้าผาทางเหนือเท่านั้นที่เหลืออยู่

ในบรรดาปีศาจเหล่านั้นนั้นมี "ยายเฒ่าเกล็ดเขียว" ปีศาจขอบเขตวารีหยกที่โด่งดัง หากเสินอี้ออกจากเมืองไปล่าเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาอายุขัยหรือไปตายกันแน่!

เขาถามจางถูหูว่ามีปีศาจตัวเล็กตัวน้อยอยู่แถวนี้บ้างไหม

จางถูหูมองเขาอย่างกับมองคนโง่ แล้วตอบว่า "ขนาดอันธพาลในเมืองยังรู้จักรวมกลุ่มและแบ่งเขตกัน ไม่งั้นพวกมันก็หาเงินไม่ได้ ถ้าเจ้าเป็นปีศาจ เจ้าจะให้ปีศาจแปลกหน้ามาหาอาหารในเขตของเจ้างั้นเหรอ?

เจ้าทำได้แค่สองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่รับมันไว้ใต้บังคับบัญชา... ก็บดขยี้มันทิ้งซะ

"ในสถานการณ์แบบนี้ หากมีปีศาจตัวไหนที่รอดชีวิตมาได้ด้วยตัวเอง มันคงไม่ใช่ปีศาจจิ๋วที่ไร้ชื่อเสียง"

"……"

เสินอี้ตัดสินใจละทิ้งความคิดล่าปีศาจไปชั่วคราว

จากนั้นระหว่างประลองกับจางถูหู เมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดรู้แจ้งบางอย่าง เขาก็จะกลับไปที่ห้อง อ้างว่าเข้าไปดื่มน้ำ และใช้แผงระบบเพื่อฝึกฝนวิชาทันที...

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขาก็จะถือผักและเนื้อสัตว์ที่เฉินจี้ซื้อมาให้กลับบ้านทุกวัน

เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ห้าวันก็ผ่านไป

ในช่วงเวลานี้ แผนกมือปราบหน่วยนี้เงียบสงบราวกับถูกทุกผู้คนลืมเลือน ทำให้เฉินจี้รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

แต่จางถูหูกลับมีความสุข ในเมื่อไม่มีใครมาหา มันก็แสดงว่าไม่มีใครถูกรบกวนจากปีศาจ เขาเพียงแค่สั่งให้เจ้าหน้าที่เดินตรวจตราอย่างขยันขันแข็ง นานๆ ทีก็ออกไปดูตามชนบทเองบ้าง เพื่อป้องกันความผิดพลาด

"วันนี้มีเจียวไป๋(หน่อไม้น้ำ)กับผักกาดหอม  และตามที่ท่านสั่ง ข้าน้อยบอกให้คนขายเนื้อเหลือซี่โครงแกะไว้สองจิน(1 กิโลกรัม) จากนั้นซื้อมันมา นี่คือเงินที่เหลือ"  หลังจากเฉินจี้กลับมาจากการตรวจตรา เขาวางสิ่งของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะ

"ได้ เจ้ากลับไปเถอะ วันนี้ข้าจะปิดประตูเอง"

เสินอี้เก็บเหรียญทองแดง มองไปที่ข้อความแจ้งเตือนบนแผงระบบ รู้สึกดีใจเล็กน้อย

แม้ว่าการฝึกฝนของเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จะไม่ดีเท่ากับ "วิชาผสานสี่เที่ยงแท้"  แต่เขาก็ใช้อายุขัยไปไม่มากนัก

เขาเริ่มจากการผสาน  "แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ"  กับ  "จิตวานร"  ทำให้ได้วิชาใหม่ จากนั้นเขาใช้อายุขัยเพียงสามสิบเจ็ดปี  ทำการฝึกฝนไปจนถึงขั้นสมบูรณ์ แบบ

[ขอบเขตเริ่มต้น. วิชาวานรขาวหยอกอสรพิษ (สมบูรณ์แบบ)]

เมื่อเทียบกับ  "แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ"  ศาสตร์การต่อสู้นี้ไม่เพียงแต่เร็วกว่าเท่านั้น แต่มันยังเสริมพลังให้กับการโจมตีระยะประชิดอีกด้วย มันเป็นวิชาการต่อสู้ในขอบเขตเริ่มต้นที่เหมาะกับเสินอี้มาก

แน่นอน สิ่งที่เสินอี้คาดหวังมากที่สุดคือ  "วิชาดาบโลหิตสังหาร"ที่เขาฝึกฝนมาเป็นเวลากว่าห้าสิบปี ในที่สุดมันก็มีปฏิกิริยา

[ปีที่ห้าสิบสี่ โฮสต์พยายามกลั่นกรองเลือดให้เป็นปราณแก่นแท้ ขั้นตอนนี้อันตรายมาก  แต่โชคดีที่โฮสต์เชี่ยวชาญวิชาผสานสี่เที่ยงแท้ โดยใช้มันเป็นแนวทาง โฮสต์ได้สัมผัสถึงระดับนั้นอย่างคลุมเครือ]

หากการฝึกฝนประสบความสำเร็จ เขาจะกลายเป็นผู้สร้างวิชาดาบขอบเขตวารีหยกด้วยตัวเอง มันคือวิชาที่ผ่านการฝึกฝนมาหลายปี ออกแบบมาเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะ

น่าเสียดายที่อายุขัยปีศาจเหลือน้อยแล้ว

เสินอี้ถอนหายใจ เขามองไปที่  "ตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ" ที่หยุดนิ่งมานาน

เขาคาดเดาว่าปัญหาอาจมาจาก  "คัมภีร์วายุและอัสนี"  เพราะเขาได้รับมาเพียงส่วนต้น จากนั้นเขาใช้การทำร้ายตัวเองเพื่อฝืนพัฒนาจนกลายเป็นทางตัน หยิบยืมหนทางนี้เพื่อก้าวข้ามไปขอบเขตเริ่มต้น จากนั้นพอเขาเริ่มเดินไปไกล มันก็เลยหลงทางมากกว่าเดิม

ช่างโง่เขลาเสียจริง รดน้ำใส่ปุ๋ยด้วยอายุขัยนับร้อยปี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำว่า  "ขโมยจากฟ้าดิน"

เฮ้อ... ไม่กลัวฟ้าดินจะสาปแช่งบ้างหรือไง?

【อายุขัยปีศาจที่เหลือ : หนึ่งร้อยแปดสิบห้าปี】

"ลองอีกครั้งคืนนี้ จากนั้นเก็บไว้หนึ่งร้อยปีเผื่อไว้"

เสินอี้ปิดแผงระบบ ถือของกินที่ซื้อมาแล้วออกจากแผนกมือปราบ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ลองชิมกับข้าวหลากหลายชนิด แม้แต่ปากของเขาก็เริ่มเลือกมากขึ้น เขาประเมินฝีมือการทำอาหารของหลินไป๋เว่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงยอมควักเงินซื้อเนื้อดีมาบ้าง

แม้แต่โหรวเจียหมัว(แฮมเบอร์เกอร์จีน) ที่เฉินจี้เอามาให้ตอนกลางวัน เขาก็ไม่ค่อยรู้สึกอยากกินแล้ว

เมื่อเทียบกับข้าวต้มร้อนๆ ที่บ้านทุกเย็น โหรวเจียหมัวนี้กลืนยากไปหน่อย เนื้อก็เค็มเกินไป

"มันคือเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความหรูหราไปเป็นความเรียบง่าย"

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เสิ่นอี้รู้สึกผิดในใจเล็กน้อย เขาจึงรีบเร่งฝีเท้า

เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาผลักประตูเข้าไป

ไม่เห็นร่างเงาที่คุ้นเคยอยู่ตรงประตูหลัง

เสินอี้รู้สึกสงสัย เขาจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป

ทันใดนั้น สองแขนก็โอบรอบเอวเขาจากด้านหลัง นิ้วมือทั้งสิบปลายประสานกันที่หน้าท้อง

แขนเสื้อสีขาวที่คุ้นเคย ข้อมือเรียวบาง กลิ่นหอมอ่อน  ของร่างกายลอยมาแตะจมูก

"ทำไมเจ้าถึงกลับมาช้า?"

ใบหน้าขาวนวลแนบชิดกับแผ่นหลังของเสิ่นอี้ ดั่งลูกแมวน้อยออดอ้อน ดวงตาสีใสระยิบระยับแฝงแววขี้เล่น ริมฝีปากสีแดงอ่อนเผยรอยยิ้ม ลมหายใจหอมกรุ่นแตะใบหน้า เสียงเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาดั่งเสียงยุง แต่กลับชวนหลงใหล "ข้าคิดถึงเจ้า"

เสินอี้ก้มหน้าลงเงียบๆ  เขายกซี่โครงแกะในมือขึ้นเล็กน้อย

หลินไป๋เวี่ยใช้หน้าอกอวบอิ่มแนบแน่นกับแผ่นหลังแกร่ง ไม่สนใจซี่โครงแกะ นางจ้องมองดวงตาของเขาอย่างไม่ละสายตา "ทำไมไม่พูด เจ้าคิดอะไรอยู่?"

เมื่อได้ยินดังนั้น เสินอี้ปล่อยซี่โครงแกะ ปล่อยให้มันร่วงหล่นลงพื้น น้ำเสียงของเขาแฝงความหงุดหงิด "จริง ๆ  แล้ว ข้าเองก็อยากเล่นละครกับเจ้าต่อ แต่นักแสดงนำอย่างเจ้ากลับห่วยแตก ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้ ข้าคงจะดูโง่มาก"

“ยังมี…”

“มีอะไรอีก?” หลินไป๋เว่ยเบิกตากว้าง เงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้ม

เสินอี้ขมวดคิ้ว พูดด้วยความรังเกียจ  "กลิ่นตัวจิ้งจอกของเจ้า มันทำให้ข้าเหม็น"

ในขณะที่พูด นิ้วทั้งห้าของเขาแตะที่ด้ามดาบสีดำสนิทที่เอว ใบมีดสีดำสนิทแล่นออกจากฝักในทันที กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นไหลออกมาพร้อมกับใบดาบ

เสียงดาบดังก้องเหมือนเสียงคร่ำครวญของวิญญาณที่โกรธเคือง

ดวงตาของหญิงสาวหดลงเล็กน้อย นางรีบดึงแขนกลับ

แต่ถึงแม้ว่านางจะตอบสนองได้เร็วมาก แต่ก็ไม่มีทางเทียบได้กับดาบสีดำ ในเสี้ยววินาที คมดาบก็ฉีกแขนเสื้อของนาง เผยให้เห็นผิวขาวนวล

ดาบที่รุนแรงและทรงพลังนี้ ตั้งใจจะเฉือนร่างกายอันบอบบางนี้ให้ขาดออกจากกัน!

จนกระทั่งเสียงระฆังใสดังขึ้นในห้อง

สายตาของเสินอี้เหลือบไปเห็นระฆังทองแดงสองอันที่ลอยอยู่ เมื่อระฆังดังขึ้น ดาบสีดำก็เหมือนจมลงไปในโคลน มันหยุดนิ่งกลางอากาศ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด