บทที่ 43 ปัญหาเข้ามาอีกแล้ว
บทที่ 43 ปัญหาเข้ามาอีกแล้ว
เมื่อจางถูหูเริ่มเล่า…
ภาพลักษณ์ของยุทธภพอันกว้างใหญ่ไพศาลเริ่มก่อตัวขึ้นในความคิดของเสินอี้
ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและอ่อนโยนจากเขาชิงเฟิง ควบม้าตะลุยไปทั่วดินแดน ข้ามภูเขา ผ่านสายน้ำ สังหารปีศาจวัวเพื่อชิงตัวคนรักกลับคืนมา ครอบครัวที่อบอุ่นกว่ายี่สิบคนได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายในบ้านเป็นเวลาสามวันสามคืน ไม่ได้ออกไปไหน ชื่อเสียงของเขาดังก้องไปทั่วเมืองชิงโจว
โจรเหินเวหาแห่งหุบเขาผิงซา บุกเข้าวังยามค่ำคืน ดื่มสุราน้ำผึ้งชั้นเลิศที่องค์ชายโปรดปรานจนหมดเกลี้ยง หมักบ่มในร่างกายอีกรอบ ก่อนจะปัสสาวะออกมาคืน หลังจากนั้นเขาได้รับฉายาว่า "ยืมแล้วคืน"
ปรมาจารย์ยุทธสำนักวัชระนำรูปภาพสาวงามเปลื้องผ้าสองนาง แอบแขวนไว้ข้างพระพุทธรูป ซึ่งทำให้เจ้าสำนักที่มาจุดธูปตาแทบหลุดจากเบ้า จากนั้นปรมาจารย์ยุทธผู้นั้นถูกขับออกจากชิงโจว และมาพ่ายแพ้ในเมืองไป่อวิ๋น...
เมื่อจินตนาการมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเสินอี้ปรากฏรอยขำขันขึ้นมาเล็กน้อย
จางถูหูจิ๊ปาก "ชิ... ข้าสร้างศัตรูเอาไว้ พวกมันขโมยตำราและยาบำรุงของข้า ก่อนจะมาที่นี่ ข้าเล่นงานพวกมันไม่ใช่น้อย"
"มีเหตุผล"
เสินอี้มองไปที่ประตู
ตลอดทั้งเช้า ไม่มีคนนอกแม้แต่คนเดียวมาที่แผนกมือปราบหน่วยนี้
แม้เขาจะไม่กลัวเรื่องฆ่าหลิวเตี่ยนลี่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องถึงเงียบไปเช่นนี้
เมื่อไม่รู้เหตุผล เขาก็ไม่ใส่ใจ
บางครั้งก็คุยโม้โอ้อวดกับจางถูหู ยามว่างก็ลงมือประลอง
จางถูหูเป็นพวกคลั่ไคล้ในศาสตร์การต่อสู้ แม้จะรู้ว่าเสิ่นอี้เก่งกว่าตนมาก แต่เขาก็ยังมีไฟแห่งการต่อสู้เต็มเปี่ยม
เสินอี้ใช้เพียงหมัดทะยานไล่เมฆาและแปดก้าวอสรพิษวิญญาณต่อสู้กับจากถูหู ต้องบอกเลยว่า เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย
ความชำนาญในวิชาและประสบการณ์การต่อสู้จริงนั้นไม่สามารถนำมารวมกันได้
ไม่เพียงแต่ต้องรู้วิธีใช้กระบวนท่าของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถคาดเดาการตอบสนองของศัตรูได้อีกด้วย
แม้ว่าการเพิ่มพลังด้วยการฝึกจะไม่เร็วเท่ากับการฆ่าปีศาจเพื่อเอาอายุขัย แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้บริเวณรอบๆ เมืองไป๋อวิ๋นเต็มไปด้วยข่าวลือ ไม่มีปีศาจตัวไหนกล้าเข้ามา จากข้อมูลที่เสินอี้รู้ มีเพียงถ้ำปีศาจของยายเฒ่าเกล็ดเขียวและปีศาจจิ้งจอกบนหน้าผาทางเหนือเท่านั้นที่เหลืออยู่
ในบรรดาปีศาจเหล่านั้นนั้นมี "ยายเฒ่าเกล็ดเขียว" ปีศาจขอบเขตวารีหยกที่โด่งดัง หากเสินอี้ออกจากเมืองไปล่าเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาอายุขัยหรือไปตายกันแน่!
เขาถามจางถูหูว่ามีปีศาจตัวเล็กตัวน้อยอยู่แถวนี้บ้างไหม
จางถูหูมองเขาอย่างกับมองคนโง่ แล้วตอบว่า "ขนาดอันธพาลในเมืองยังรู้จักรวมกลุ่มและแบ่งเขตกัน ไม่งั้นพวกมันก็หาเงินไม่ได้ ถ้าเจ้าเป็นปีศาจ เจ้าจะให้ปีศาจแปลกหน้ามาหาอาหารในเขตของเจ้างั้นเหรอ?
เจ้าทำได้แค่สองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่รับมันไว้ใต้บังคับบัญชา... ก็บดขยี้มันทิ้งซะ
"ในสถานการณ์แบบนี้ หากมีปีศาจตัวไหนที่รอดชีวิตมาได้ด้วยตัวเอง มันคงไม่ใช่ปีศาจจิ๋วที่ไร้ชื่อเสียง"
"……"
เสินอี้ตัดสินใจละทิ้งความคิดล่าปีศาจไปชั่วคราว
จากนั้นระหว่างประลองกับจางถูหู เมื่อใดก็ตามที่เขาเกิดรู้แจ้งบางอย่าง เขาก็จะกลับไปที่ห้อง อ้างว่าเข้าไปดื่มน้ำ และใช้แผงระบบเพื่อฝึกฝนวิชาทันที...
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขาก็จะถือผักและเนื้อสัตว์ที่เฉินจี้ซื้อมาให้กลับบ้านทุกวัน
เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ห้าวันก็ผ่านไป
ในช่วงเวลานี้ แผนกมือปราบหน่วยนี้เงียบสงบราวกับถูกทุกผู้คนลืมเลือน ทำให้เฉินจี้รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่จางถูหูกลับมีความสุข ในเมื่อไม่มีใครมาหา มันก็แสดงว่าไม่มีใครถูกรบกวนจากปีศาจ เขาเพียงแค่สั่งให้เจ้าหน้าที่เดินตรวจตราอย่างขยันขันแข็ง นานๆ ทีก็ออกไปดูตามชนบทเองบ้าง เพื่อป้องกันความผิดพลาด
"วันนี้มีเจียวไป๋(หน่อไม้น้ำ)กับผักกาดหอม และตามที่ท่านสั่ง ข้าน้อยบอกให้คนขายเนื้อเหลือซี่โครงแกะไว้สองจิน(1 กิโลกรัม) จากนั้นซื้อมันมา นี่คือเงินที่เหลือ" หลังจากเฉินจี้กลับมาจากการตรวจตรา เขาวางสิ่งของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะ
"ได้ เจ้ากลับไปเถอะ วันนี้ข้าจะปิดประตูเอง"
เสินอี้เก็บเหรียญทองแดง มองไปที่ข้อความแจ้งเตือนบนแผงระบบ รู้สึกดีใจเล็กน้อย
แม้ว่าการฝึกฝนของเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จะไม่ดีเท่ากับ "วิชาผสานสี่เที่ยงแท้" แต่เขาก็ใช้อายุขัยไปไม่มากนัก
เขาเริ่มจากการผสาน "แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ" กับ "จิตวานร" ทำให้ได้วิชาใหม่ จากนั้นเขาใช้อายุขัยเพียงสามสิบเจ็ดปี ทำการฝึกฝนไปจนถึงขั้นสมบูรณ์ แบบ
[ขอบเขตเริ่มต้น. วิชาวานรขาวหยอกอสรพิษ (สมบูรณ์แบบ)]
เมื่อเทียบกับ "แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ" ศาสตร์การต่อสู้นี้ไม่เพียงแต่เร็วกว่าเท่านั้น แต่มันยังเสริมพลังให้กับการโจมตีระยะประชิดอีกด้วย มันเป็นวิชาการต่อสู้ในขอบเขตเริ่มต้นที่เหมาะกับเสินอี้มาก
แน่นอน สิ่งที่เสินอี้คาดหวังมากที่สุดคือ "วิชาดาบโลหิตสังหาร"ที่เขาฝึกฝนมาเป็นเวลากว่าห้าสิบปี ในที่สุดมันก็มีปฏิกิริยา
[ปีที่ห้าสิบสี่ โฮสต์พยายามกลั่นกรองเลือดให้เป็นปราณแก่นแท้ ขั้นตอนนี้อันตรายมาก แต่โชคดีที่โฮสต์เชี่ยวชาญวิชาผสานสี่เที่ยงแท้ โดยใช้มันเป็นแนวทาง โฮสต์ได้สัมผัสถึงระดับนั้นอย่างคลุมเครือ]
หากการฝึกฝนประสบความสำเร็จ เขาจะกลายเป็นผู้สร้างวิชาดาบขอบเขตวารีหยกด้วยตัวเอง มันคือวิชาที่ผ่านการฝึกฝนมาหลายปี ออกแบบมาเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะ
น่าเสียดายที่อายุขัยปีศาจเหลือน้อยแล้ว
เสินอี้ถอนหายใจ เขามองไปที่ "ตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ" ที่หยุดนิ่งมานาน
เขาคาดเดาว่าปัญหาอาจมาจาก "คัมภีร์วายุและอัสนี" เพราะเขาได้รับมาเพียงส่วนต้น จากนั้นเขาใช้การทำร้ายตัวเองเพื่อฝืนพัฒนาจนกลายเป็นทางตัน หยิบยืมหนทางนี้เพื่อก้าวข้ามไปขอบเขตเริ่มต้น จากนั้นพอเขาเริ่มเดินไปไกล มันก็เลยหลงทางมากกว่าเดิม
ช่างโง่เขลาเสียจริง รดน้ำใส่ปุ๋ยด้วยอายุขัยนับร้อยปี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำว่า "ขโมยจากฟ้าดิน"
เฮ้อ... ไม่กลัวฟ้าดินจะสาปแช่งบ้างหรือไง?
【อายุขัยปีศาจที่เหลือ : หนึ่งร้อยแปดสิบห้าปี】
"ลองอีกครั้งคืนนี้ จากนั้นเก็บไว้หนึ่งร้อยปีเผื่อไว้"
เสินอี้ปิดแผงระบบ ถือของกินที่ซื้อมาแล้วออกจากแผนกมือปราบ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ลองชิมกับข้าวหลากหลายชนิด แม้แต่ปากของเขาก็เริ่มเลือกมากขึ้น เขาประเมินฝีมือการทำอาหารของหลินไป๋เว่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงยอมควักเงินซื้อเนื้อดีมาบ้าง
แม้แต่โหรวเจียหมัว(แฮมเบอร์เกอร์จีน) ที่เฉินจี้เอามาให้ตอนกลางวัน เขาก็ไม่ค่อยรู้สึกอยากกินแล้ว
เมื่อเทียบกับข้าวต้มร้อนๆ ที่บ้านทุกเย็น โหรวเจียหมัวนี้กลืนยากไปหน่อย เนื้อก็เค็มเกินไป
"มันคือเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความหรูหราไปเป็นความเรียบง่าย"
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เสิ่นอี้รู้สึกผิดในใจเล็กน้อย เขาจึงรีบเร่งฝีเท้า
เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาผลักประตูเข้าไป
ไม่เห็นร่างเงาที่คุ้นเคยอยู่ตรงประตูหลัง
เสินอี้รู้สึกสงสัย เขาจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป
ทันใดนั้น สองแขนก็โอบรอบเอวเขาจากด้านหลัง นิ้วมือทั้งสิบปลายประสานกันที่หน้าท้อง
แขนเสื้อสีขาวที่คุ้นเคย ข้อมือเรียวบาง กลิ่นหอมอ่อน ของร่างกายลอยมาแตะจมูก
"ทำไมเจ้าถึงกลับมาช้า?"
ใบหน้าขาวนวลแนบชิดกับแผ่นหลังของเสิ่นอี้ ดั่งลูกแมวน้อยออดอ้อน ดวงตาสีใสระยิบระยับแฝงแววขี้เล่น ริมฝีปากสีแดงอ่อนเผยรอยยิ้ม ลมหายใจหอมกรุ่นแตะใบหน้า เสียงเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาดั่งเสียงยุง แต่กลับชวนหลงใหล "ข้าคิดถึงเจ้า"
เสินอี้ก้มหน้าลงเงียบๆ เขายกซี่โครงแกะในมือขึ้นเล็กน้อย
หลินไป๋เวี่ยใช้หน้าอกอวบอิ่มแนบแน่นกับแผ่นหลังแกร่ง ไม่สนใจซี่โครงแกะ นางจ้องมองดวงตาของเขาอย่างไม่ละสายตา "ทำไมไม่พูด เจ้าคิดอะไรอยู่?"
เมื่อได้ยินดังนั้น เสินอี้ปล่อยซี่โครงแกะ ปล่อยให้มันร่วงหล่นลงพื้น น้ำเสียงของเขาแฝงความหงุดหงิด "จริง ๆ แล้ว ข้าเองก็อยากเล่นละครกับเจ้าต่อ แต่นักแสดงนำอย่างเจ้ากลับห่วยแตก ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้ ข้าคงจะดูโง่มาก"
“ยังมี…”
“มีอะไรอีก?” หลินไป๋เว่ยเบิกตากว้าง เงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้ม
เสินอี้ขมวดคิ้ว พูดด้วยความรังเกียจ "กลิ่นตัวจิ้งจอกของเจ้า มันทำให้ข้าเหม็น"
ในขณะที่พูด นิ้วทั้งห้าของเขาแตะที่ด้ามดาบสีดำสนิทที่เอว ใบมีดสีดำสนิทแล่นออกจากฝักในทันที กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นไหลออกมาพร้อมกับใบดาบ
เสียงดาบดังก้องเหมือนเสียงคร่ำครวญของวิญญาณที่โกรธเคือง
ดวงตาของหญิงสาวหดลงเล็กน้อย นางรีบดึงแขนกลับ
แต่ถึงแม้ว่านางจะตอบสนองได้เร็วมาก แต่ก็ไม่มีทางเทียบได้กับดาบสีดำ ในเสี้ยววินาที คมดาบก็ฉีกแขนเสื้อของนาง เผยให้เห็นผิวขาวนวล
ดาบที่รุนแรงและทรงพลังนี้ ตั้งใจจะเฉือนร่างกายอันบอบบางนี้ให้ขาดออกจากกัน!
จนกระทั่งเสียงระฆังใสดังขึ้นในห้อง
สายตาของเสินอี้เหลือบไปเห็นระฆังทองแดงสองอันที่ลอยอยู่ เมื่อระฆังดังขึ้น ดาบสีดำก็เหมือนจมลงไปในโคลน มันหยุดนิ่งกลางอากาศ