ตอนที่แล้วบทที่ 41 วิชาผสานสี่เที่ยงแท้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 43 ปัญหาเข้ามาอีกแล้ว

บทที่ 42 ยุทธภพในชิงโจว


บทที่ 42 ยุทธภพในชิงโจว

(青州 ชิงโจวในที่นี้หมายถึงเมืองหรือหมายถึงมณฑล(แคว้น)นะครับ จะใหญ่กว่าเมืองไป๋อวิ๋นซึ่งเป็นแค่อำเภอ)

 

เสิ่นอี้เอนกายลงบนเตียง  เขาพยายามควบคุมปราณตามวิถีอันลึกลับ

ทันใดนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกดูดกลืนจนเกือบหมดตัวก็เข้ามาโจมตี ราวกับวาฬต้องการกลืนกินท้องทะเล แต่ตัวเขาเองเป็นเพียงบ่อเล็กๆ... ไม่สิ เป็นเพียงแก้วน้ำเท่านั้น

ความรู้สึกนี้ช่างน่าหวาดกลัว เสินอี้รีบหยุดการควบคุมพลังทันที

ในที่สุด เขาก็ได้สัมผัสกับความสิ้นหวังที่ตัวละครในนิยายที่เขาเคยอ่านได้เผชิญ

ปรมาจารย์ยุทธขอบเขตเริ่มต้นดูดซับปราณแก่นแท้จากสวรรค์และปฐพีได้ช้ามาก

ปราณแก่นแท้ภายในสิบสองจุดเฉียวเปรียบเสมือนเงินฝาก ปกติแล้วเพียงใช้ดอกเบี้ย มันก็เพียงพอสำหรับการฝึกฝนวิชาพื้นฐาน

แม้แต่วิชาดาบโลหิตสังหาร วิชาขอบเขตเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา มันก็ใช้ปราณแก่นแท้น้อยมาก

แต่หากเขาใช้ปราณแก่นแท้มากเกินไป มันจะเปรียบเสมือนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจำเป็นต้องใช้เวลานานมากในการฟื้นฟู

ในการฝึกฝนครั้งนี้ เขาทุกครั้งที่เขาใช้ "วิชาผสานสี่เที่ยงแท้" จะต้องเสียเวลาหลายปีในการสะสมพลังใหม่ เปรียบเสมือนการทรมานสำหรับปรมาจารย์ยุทธธรรมดา

เสิ่นอี้นึกถึง "วารีหยก" ที่เขาเคยเปลี่ยนมันมาจากปราณแก่นแท้

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องควบแน่นแก่นแท้จากสวรรค์และปฐพีให้เป็นของเหลว มิฉะนั้น คงไม่มีทางรับพลังเช่นนี้ไหว

"หรือว่าฝึกแล้วไม่ได้ใช้ ไม่งั้นก็ใช้แค่ตอนเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งกาจ พอใช้เสร็จก็รอตัวตาย?"

เสิ่นอี้ขมวดคิ้ว ทันใดนั้น เขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

เขาหันไปมอง "วิชาวายุอัสนีพิชิตปีศาจ" บนแผงระบบ

สิ่งนี้จำลองผลลัพธ์ไม่ออก แม้จะใช้อายุขัยของปีศาจมากขึ้นก็ไม่มีปฏิกิริยา มันเหมือนกับหลุมดำที่กลืนกินเงิน รู้เพียงแต่ดูดซับปราณแก่นแท้อย่างโง่เขลา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสินอี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา มันช่างบังเอิญเสียจริง เขาสามารถชดเชยการสูญเสียพลังของตัวเองและลองฝึกฝนสิ่งใหม่ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน มันเหมือนกับซื้อของสองชิ้นในราคาชิ้นเดียว

(วิชาผสานสี่เที่ยงแท้ ดูดกลืนปราณแก่นแท้จนหมด ส่วนวิชาวายุอัสนีพิชิตปีศาจคอยช่วยเติมเต็มปราณ)

จากประสบการณ์ก่อนหน้า การเติมเต็มสิบสองช่องจุดเฉียวครั้งหนึ่ง เขาต้องใช้เวลาประมาณห้าปี

ถ้าใช้อายุขัยของเขาเอง มันคงไม่คุ้ม เพราะหลังจากทะลวงผ่านขอบเขตเริ่มต้น เขาเหลืออายุขัยเพียงสี่สิบหกปี แต่การใช้อายุขัยของปีศาจเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีพัฒนาต่อจากนี้ มันยังถือว่าพอทำได้

[อายุขัยปีศาจที่เหลือ: สามร้อยเก้าสิบเอ็ดปี]

เสินอี้อดทนต่อความอยากทดลอง เขาบังคับตัวเองให้หลับตาลง

จริงอยู่ที่การเข้าใจพลังของท่าไม้ตายนั้นสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องมากวนความฝันของคนอื่นตอนดึก มันช่างไร้ศีลธรรม

อาจเป็นเพราะเสินอี้ไม่ได้นอนเมื่อคืน วันนี้เขาจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว

ที่โลกใบนี้ มีเจียนปิ่งร้อนๆ เนื้อเค็มรสชาติดี พื้นเตียงนอนแข็ง หญิงสาวอ่อนโยน ทุกอย่างช่างสมจริง

จู่ๆ ในความคิดของเขา ศพไร้วิญญาณลอยผ่าน ปีศาจกลืนกินเลือดเนื้อ

เสินอี้กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ด้วยวิชาที่เขามีมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องใช้ "ชีวิตนี้คือของที่เก็บมา" เพื่อกล่อมตัวเองอีกต่อไป เขามีความกล้าที่จะต่อสู้กับปีศาจแล้ว

การใช้ข้ออ้างว่า "ชีวิตใกล้จะสิ้นสุด" เพื่อหาเรื่องกร่าง แม้จะได้ผลดี แต่ก็ไม่ยั่งยืน

ชีวิตตอนนี้เหมือนกับการตื่นจากฝันร้าย ชีวิตใหม่นี้เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่

เมื่อถึงเวลาไก่ขัน เสินอี้ลืมตาตื่นตรงเวลา เขาเดินออกไปหายใจรับไอหมอกยามเช้า ทั้งรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

"วันนี้ตื่นเช้าจัง?" เสินอี้ทักด้วยความสงสัย

หลินไป๋เว่ยยืดเส้นยืดสาย นางเดินจากสวนหลังบ้านเข้ามาในบ้าน มองออกไปข้างนอกด้วยความสงสัย

"เช้าอยู่งั้นเหรอ? เอ่อ… อรุณสวัสดิ์"

เสิ่นอี้หันกลับไป ดวงตาของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ยากมาก

"วันนี้ออกไปทำงานไหม?" หลินไป๋เว่ยถามด้วยความสงสัย

"ก็คงต้องไป"

เสิ่นอี้ถอนหายใจ กลับเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

นับวันแล้ว อีกไม่ถึงยี่สิบวันก็ถึงเวลาที่แผนกปราบปีศาจจะมาตรวจ

ใช้เวลาช่วงนี้ทบทวนสิ่งที่ขาดหายไป เขาน่าจะพอหาตำแหน่งดีๆ ได้

ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองในเมืองไป๋อวิ๋น  แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้

อย่างเช่น... หลินไป๋เว่ย นางสามารถคัดลอกวิชาขอบเขตวารีหยกได้ ซึ่งต่างจากการนำวิชามาให้ดู แสดงว่านางเคยฝึกฝนวิชานี้มาก่อน

ก่อนที่จุดเฉียวของนางจะถูกปิดกั้น นางน่าจะมีความสามารถมากกว่าเขาตอนนี้

บางทีเขาอาจซวยเพราะนางก็เป็นได้

มีตัวอย่างอยู่ตรงหน้าแบบนี้ เสินอี้จึงต้องระวัง

หากต้องการมีชีวิตอยู่รอดในยุคสมัยที่วุ่นวาย การเข้าร่วมกับกลุ่มที่มีอิทธิพลนั้นถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาหรือทรัพยากร ล้วนมีการรับประกันทั้งสิ้น

แม้กระทั่งวันหนึ่งถ้าเขาถูกปีศาจจับตัวไป อีกฝ่ายอาจเกรงใจภูมิหลังของเขา ทำให้เขามีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้...

เสินอี้ออกไปซื้ออาหารเช้ากลับมาสองชุด

เขากินจนหมดภายในสองสามคำ จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปที่ศาลาว่าการ

ระหว่างทาง  เสิ่นอี้ชะลอฝีเท้าลง เหลือบมองไปทางข้างถนน

ชายหนุ่มคนขายน้ำตาลปั้นยิ้มก้มหน้าก้มตากล่าวว่า "นายท่าน ท่านก็ชอบของหวานเหมือนกันงั้นเหรอขอรับ งั้นลองซื้อไปชิมสักสองไม้ดีไหมขอรับ"

เสิ่นอี้รีบส่ายหน้าทันที และก้าวเดินต่อไปข้างหน้า  "ขอโทษ ข้าไม่ได้พกเงินมา"

น้ำตาลปั้นที่ขายโดยปรมาจารย์ยุทธ เขาย่อมไม่กล้ากิน

เหตุใดอีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่เมืองไป๋อวิ๋น เสินอี้ไม่คิดจะถามมาก เขาเป็นแค่มือปราบที่รับผิดชอบเรื่องปีศาจ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทางการ

ผู้คนมากมายผ่านไปมา บางทีเขาอาจจะเจอคนแปลกๆ สักสองสามคนต่อวันก็เป็นได้

เพียงแต่ว่าสายตาของเขาไม่ดีพอ เขาจึงมองไม่เห็นเท่านั้นเอง

เสิ่นอี้เหยียบย่างเข้าสู่ลานแผนกมือปราบ เขาเห็นจางถูหูกำลังฝึกฝนลูกน้องตั้งแต่เช้าตรู่ จางต้าหูยืนขยับเอวอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเสินอี้ เขารีบคว้าดาบวิ่งหนีทันที  "ข้า ข้า ข้าน้อย... จะไปลาดตระเวน..."

จางถูหูไม่ได้ต่อว่าคนขี้เกียจผู้นี้ "เขามันแก่แล้ว คงไม่มีอนาคตอะไร พวกเจ้าสามคนอย่าเกียจคร้าน... อะไร? ยังกล้าจ้องหน้าข้าอีก!  ไอ้พวกไม่รู้จักบุญคุณ  ถ้าพวกเจ้าได้เข้าแผนกปราบปีศาจ  บรรพบุรุษพวกเจ้าคงต้องหิ้วเนื้อหมูมาขอบคุณข้า!"

พอกล่าวจบ เขาก็เตะเข้าที่เอวของพี่น้องตระกูลหนิวสองครั้งติดต่อกัน "ยกมือขึ้นหน่อย วิชาดาบปราบปีศาจที่ดีๆ พวกเจ้าเล่นซะเหมือนงิ้วเลย"

"ข้าเป็นมือปราบมันก็ดีอยู่แล้ว ข้าไม่อยากปีนขึ้นไป การต่อสู้กับปีศาจมีแต่ตายกับตายเท่านั้น" หนิวเอ้อบ่นออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"พวกเข้าสุขสบายมานานแล้วจริงๆ"  จางถูหูหัวเราะเยาะออกมา  "เมื่อเดือนห้าที่ผ่านมา เมืองซานสุ่ยถูกแผนกปราบปีศาจเข้าควบคุม พวกเขาส่งเสี่ยวเว่ยไปประจำการมากกว่าสิบคน ใช้เวลาสามวันบุกภูเขาปีศาจ ทหารตายไปกว่าสองร้อยคน ฆ่าปีศาจได้แปดสิบกว่าตัว เจ้าคิดว่ามันจะเหมือนที่นี่เหรอ ชาวบ้านตายต่อหน้าเจ้าหน้าที่?"

"เงินชดเชยสำหรับคนตายสำหรับเจ้าหน้าที่ธรรมดาแค่สี่สิบตำลึงเงิน แต่ถ้าเจ้าได้เข้าร่วมแผนกปราบปีศาจ แม้จะแค่เจ้าหน้าที่ทั่วไป เงินจำนวนนี้ก็แค่เงินเดือนสองเดือนของเจ้าเท่านั้น"

เมื่อได้ยินดังนั้น พี่น้องตระกูลหนิวก็คิดคำนวณในใจอย่างเงียบๆ  มือที่ถือดาบก็เริ่มมีแรงมากขึ้น

"พวกเขารับสมัครเจ้าหน้าที่ทั่วไปด้วยเหรอ?" เสิ่นอี้เดินเข้าไปถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ไม่งั้นข้าจะสอนวิชาดาบปราบปีศาจสามท่าให้ทำไมล่ะ"  จางถูหูเห็นหัวเราะ ออกมา "แค่ฝึกทั้งสามท่าจนเข้าขั้น หรือไม่ก็ฝึกท่าใดท่าหนึ่งจนเข้าขั้นสูง พวกเขาก็มีสิทธิ์ถูกเลือกเข้าไป อย่างมากก็แค่ยี่สิบปี พวกเขาสามารถใช้น้ำยาเพื่อทำให้คนกลุ่มนี้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเริ่มต้นได้"

"เจ้ารู้ไหมว่าปรมาจารย์ยุทธขอบเขตเริ่มต้นที่งอกเงยขึ้นมาเหมือนต้นข้าว มันน่ากลัวขนาดไหน?"

จาถูหูพูดไป ยิ่งพูดตาก็ยิ่งแดงก่ำ ดูเหมือนเขาจะโกรธแค้นกับความหรูหราของแผนกปราบปีศาจมาก

"ถ้ามีคนมากมายขนาดนั้น ทำไมถึงยังดูเหมือนขาดแคลนคนอยู่ล่ะ?"  เสิ่นอี้ขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ค่อยเชื่อนัก

"เจ้าไม่เคยเกี่ยวข้าวเหรอ? ข้าวมันขึ้นมาเป็นรุ่นๆ งอกขึ้นมาแล้วก็ล้มตายไป" จางถูหูกลอกตา ใช้ฝ่ามือทั้งสองทำท่าทางที่คอของเขา แล้วพูดต่อว่า....

"ถ้ามีพรสวรรค์มากกว่านั้น อย่างเช่นนักล่าปีศาจที่ถูกแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองชิงโจวของแผนกปราบปีศาจรับเป็นลูกศิษย์เมื่อสิบปีก่อน สิบปี! สิบปีที่แล้ว ข้ายังยืนฝึกชกมวยและหาบน้ำอยู่เลย แต่เขากลับกินยาบำรุงเป็นอาหาร! บรรลุขั้นสมบูรณ์ขอบเขตวารีหยก เขาสามารถใช้ออร่าปราณควบแน่นเป็นดาบ แล้วฆ่าปีศาจเหมือนฆ่าหมูฆ่าหมา!"

“เฮ้ย! เขาเป็นบุตรนอกสมรสหรือเปล่า?” แม้จะสุขุมเยือกเย็นอย่างเสินอี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง

“บุตนอกสมรสยังดีซะกว่า” จู่ๆ จางถูหูก็ดูหดหู่ลง เขาโบกมือไปมา “เจ้าไม่เข้าใจนักล่าปีศาจหรอก ที่ว่ากินอิ่มนอนหลับ สบายสุดๆ น่ะมันไม่จริง พวกเขาต้องมีพรสวรรค์สูงมาก จิตใจต้องมั่นคง อดทนต่อความเหงา และทนต่อความลำบากให้ได้”

“เขาต้องเดินทางคนเดียวเป็นพันๆ ลี้เพื่อตามล่าปีศาจ ค้นหาความลับ ทำหน้าที่เป็นสายลับให้กับแผนกปราบปีศาจ ใบประกาศจับปีศาจของราชวงศ์ต้าเฉียน เกือบครึ่งหนึ่งมาจากพวกเขาทั้งนั้น”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด