บทที่ 37 เจ้าสมควรตาย
บทที่ 37 เจ้าสมควรตาย
ภายในห้องอันเงียบสงัด
เสินอี้จับพู่กันอย่างเก้ๆกังๆ แม้จะไม่เก่งเรื่องการเขียน แต่เขาก็พยายามทำให้ตัวอักษรแต่ละตัวดูชัดเจนที่สุด
ในอดีตตอนที่ยังเป็นอันธพาล เพื่อที่จะได้สวมชุดขุนนาง เขาก็เคยเป็นคนขยันหมั่นเพียร เรียนรู้ทั้งศาสตร์การต่อสู้ มารยาททางสังคม รวมไปถึงการอ่านและเขียน
ด้วยความทรงจำของกล้ามเนื้อ ตัวอักษรจึงอาจจะดูไม่สวย แต่ก็พออ่านได้
วิชาดาบโลหิตสังหารได้มาจากแผงระบบ รายละเอียดทั้งหมดจึงวิ่งเข้าความคิดของเขาโดยตรง ดังนั้นการคัดลอกจึงไม่ใช่เรื่องยาก
จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน
เสินอี้วางพู่กัน รอให้หมึกแห้ง จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิบอาหารที่เฉินจี้ซื้อมาให้
มันคือ "หวงเมี่ยนหมัวหมัว" จากร้านหวงจี่บนถนนฝั่งตะวันตก กินคู่กับ "ปลาเค็ม" ที่พ่อค้าเร่ขายบนถนน ถึงแม้จะไม่อร่อยเลิศ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
(黄面馍馍 หวงเมี่ยนหมัวหมัวคือ... ขนมปังนึ่งแบบดั้งเดิมจากมณฑลส่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ทำจากแป้งข้าวโพดหรือข้าวฟ่าง ผสมกับแป้งสาลี ยีสต์ และน้ำตาล นวดจนเข้ากัน ปั้นเป็นก้อน นำไปนึ่งจนสุก ขนมปังชนิดนี้มีสีเหลืองนวล รสชาติหวานมัน นิยมทานคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น แกง หรือซุป)
เขาใช้เวลาไม่นานก็จัดการกับอาหารจนหมด ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายแล้วเปิดประตูออกไป
ในลานด้านนอก จางต้าหูเหงื่อท่วมตัว เขากำลังฝึกซ้อมออกหมัดร้อนอย่างทรมาน สองพี่น้องตระกูลหนิวและเฉินจี้กำลังฝึกซ้อมการฟันดาบอยู่ ส่วนจางถูหูยืนคิ้วขมวด มองท่าทางของพวกเขาอย่างจดจ่อ เมื่อเห็นท่าทางที่ผิดพลาด เขาก็เตะอย่างแรงใส่ผู้ที่ทำผิด
“ทั้งเมืองไป๋อวิ๋นมีแต่พวกเจ้าเท่านั้น ทำได้แค่นี้ แล้วเจ้าจะไปปราบปีศาจได้บังไง?”
จางถูหูได้ยินเสียงเปิดประตู เขาจึงหันกลับมาถามด้วยความสงสัย “พวกนี้มันแย่เกินไปแล้ว นอกจากไอ้หนุ่มแซ่เฉินที่พอจะดูได้ ที่เหลือมันคืออะไรกัน?”
คนอื่นยังไม่ทันพูด จางต้าหู่ก็ตะโกนขึ้นก่อน “ใครมันอยากไปปราบปีศาจกัน? ไอ้ขุนนางแก่บ้านั่นมันจงเกลียดจงชังใต้เท้า หวังจะบีบให้พวกเราให้ตายกันหมด!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางถูหูก็อึ้งไปชั่วครู่ ราวกับจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาจึงถุยน้ำลายลงบนพื้น “ไอ้พวกสารเลว!”
เรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจในเมืองไป๋อวิ๋น เขาเพิ่งจะรู้จากศิษย์พี่หลังจากมาถึงที่นี่
การปกปิดเรื่องปีศาจนั้นเกิดขึ้นทั่วทุกแห่ง มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ปีที่แล้วมีเจ้าเมืองถูกตัดหัวเพราะเรื่องนี้มากกว่าสิบคน
แต่การใช้ปีศาจเป็นข้ออ้างเพื่อกำจัดศัตรู นี่มันหน้าด้านเกินไปแล้ว!
“เอ้า... เอาไป.”
เสินอี้ไม่พูดอะไรมาก ยื่นกระดาษที่คัดลอกวิชาดาบให้
เขาจำเป็นต้องฆ่าปีศาจเพื่อรับ "อายุขัยปีศาจ" เพิ่มเติม ซึ่งมันขัดต่อแผนของเบื้องบนโดยสิ้นเชิง
ไม่ต้องพูดถึงการใช้กฎระเบียบกดดันผู้อื่น แม้พวกเขาจะใช้วิธีการสกปรกก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
จางถูหูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยื่นมือรับกระดาษ “สิ่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมานั้น พูดง่ายๆ ก็คือศาสตร์การฝึกฝนร่างกาย ในบรรดาสำนักต่างๆ ในชิงโจว ถือว่าเป็นประเภทที่มีเกณฑ์ต่ำที่สุด เพียงแค่มีเวลาเพียงพอ มันแทบจะไม่มีคอขวดเลย”
เขาเก็บวิชาดาบไว้ในอก “เจ้าอย่าใจร้อนล่ะ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้”
“ขอบคุณ” เสินอี้พยักหน้าพร้อมลาอีกฝ่าย
เขาถือเนื้อสดและเครื่องเทศที่สั่งให้เฉินจี้ซื้อ แล้วออกจากแผนกมือปราบทันที
“เขาทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?” จางถูหูลูบหัวตัวเองด้วยความสงสัย
“ถ้าท่านเคยเห็นใต้เท้าเสินเมื่อครึ่งเดือนก่อน” เฉินจี้สูดหายใจเข้าลึกๆ ยืนนิ่งต่อไป พูดด้วยความรู้สึก “ท่านจะรู้ว่าคนแบบเขา ทำอะไรก็ไม่น่าแปลก”
“จริงเหรอ?” จางถูหูไม่ได้โต้แย้ง เพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ พวกเขาไม่เคยไปชิงโจว พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอัจฉริยะที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร?
ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเป็นด้านนิสัยหรือความสามารถ เสินอี้ก็ถือว่าดีมากและเก่งกว่าเขา แต่มันแค่นั้น ถ้าเทียบกับอัจฉริยะที่แท้จริงแล้ว เสินอี้ยังห่างไกล!
……
ท้องฟ้าเหมือนถูกไฟเผา แผดเผาอากาศจนร้อนระอุ
เสินอี้เคาะประตูห้องแล้วผลักออก
หญิงสาวนั่งอยู่บนโต๊ะ เส้นผมดำขลับดั่งน้ำตก ใบหน้าขาวเนียนสง่างามน่าหลงใหล มีเพียงคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย และขนตางอนหนาที่สั่นระริก แสดงให้เห็นถึงความไม่สบายใจ
เสินอี้เดินช้าๆ ไปข้างหน้า มองไปที่กองกระดาษสีเหลืองหนาๆ ที่วางทับบนแขนของนาง หมึกเปื้อนขอบกระดาษ และยังเปื้อนที่ริมฝีปากของนางด้วย
เขาเอื้อมมือไปหยิบพู่กันด้วยความรู้สึกพูดไม่ออก ดึงปลายพู่กันออกจากปากหลินไป๋เว่ย
“ของข้า……อย่าแย่งไปนะ……”
นางใช้ฟันกัดก้านพู่กันแน่น พึมพำลืมตาขึ้น “เพ้ย!” จากนั้นก็มองกระดาษอย่างตั้งใจ รีบยื่นมือไปรวบรวมพวกมัน “ข้าเขียนไปครึ่งทางแล้ว……”
ก่อนที่นางจะพูดจบ หลินไป๋เว่ยสังเกตเห็นสิ่งของในมือของเสินอี้ ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความยินดี
“เก็บของให้ข้าด้วย!”
นางรับเนื้อสด แล้วเดินกลับไปที่สวนหลังบ้าน
“…”
เสินอี้มองดูแผ่นกระดาษที่กระจัดกระจายบนโต๊ะ เขาจัดเก็บพวกมันอย่างระมัดระวัง
จสกนั้นเดินเข้าไปในครัวหลังบ้าน
เขาเห็นหลินไป๋เว่ยกำลังผูกเส้นผม นางหยิบผักออกมาล้างน้ำอย่างคล่องแคล่ว โดยไม่ต้องหันมามอง นางโบกมือไปมา “ออกไป ออกไป”
เสินอี้รู้สึกว่าช่วยอะไรไม่ได้ เขาจึงมาที่สนาม หยิบขวานขึ้นมาและเริ่มสับฟืน
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง พื้นดินก็เต็มไปด้วยกองฟืนที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
กลิ่นหอมของข้าวและเนื้อสัตว์ผสมผสานกันลอยเข้าจมูก
เสินอี้หันกลับมา มองเห็นหญิงสาวยืนอยู่ด้านหลัง คีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งที่มันแทรกอย่างระมัดระวังด้วยตะเกียบ นางเป่าลมเพื่อคลายความร้อน แก้มที่ประณีตประดับด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ “เอ้า! อ้าปากเร็วเข้า ชิมรสมันหน่อย”
ด้วยความที่เขาเป็นหมาป่าเดียวดายมาสองชาติ
เขาจึงตกใจจนเอนตัวไปด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเพิ่งคิดจะพูดอะไรบางอย่าง อีกฝ่ายก็ใช้ตะเกียบป้อนเนื้อเข้าปากของเขาอย่างว่องไว “......”
“เป็นไงบ้าง?” หลินไป๋เว่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
รสชาติไม่ได้อร่อยมาก แต่ก็อร่อยกว่าที่คิด รสชาติคล้ายกับอาหารหม้อใหญ่ในอดีตชาติ(คล้ายๆ ร้านขายข้าวแกงเป็นหม้อบ้านเรา) รสเข้มนิดหน่อย แต่กินกับข้าวน่าจะพอดี
“พอใช้ได้”
เสินอี้โยนขวานในมือทิ้ง แล้วลุกขึ้นเตรียมไปตักน้ำซุป
“พอใช้ได้?” หลินไป๋เว่ยพึมพำเสียงเบา นางยืนไข้วมือไว้ด้านหลังเหมือนพ่อครัวใหญ่
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ กระทืบประตูก็ดังขึ้น
“ไอ้คนแซ่เสิน รีบออกมาให้ข้า!”
เสินอี้หยุดชะงัก เขาขมวดคิ้ว หันหลังกลับและเดินไปเปิดประตู
หลินไป๋เว่ยรู้สึกสงสัย แต่นางไม่ได้ถามอะไรออกมา รีบกลับเข้าไปในครัว
ในพริบตา เจ้าหน้าที่ห้าหกคนก็พังประตูเข้ามา
สองร่างปรากฏตัวที่ประตูห้อง
คนแรกเป็นชายชราผมสีขาว ใส่เสื้อสีเขียว สีหน้าเต็มไปด้วยความมืดมน เขาคือหลิวเตียนลี่
คนหลังคือชายผอมแห้ง ก้มหน้าก้มตา ยืนมองดูเหมือนเป็นคนนอก
ด้านนอกประตู เฉินจี้กับลูกน้องทั้งสี่คนถูกเจ้าหน้าที่กดดาบไว้ที่ไหล่ กดพวกเขาลงบนพื้น จางถูหูยืนอยู่ไกลๆ บนถนน หน้าตึงเครียด หมัดใหญ่กำแน่นจนเหมือนลูกโป่งที่พองลม
“จวนเจ้าเมืองเชื่อใจเจ้า จึงมอบหมายงานสำคัญให้เจ้าดูแลเรื่องปีศาจ”
หลิวเตียนลี่โกรธจัดจนตัวสั่น นิ้วมือสั่นเทา “สองคืนก่อน เมืองไป๋อวิ๋นของเรา รวมทั้งหมู่บ้านสามแห่ง ชานเมืองหกแห่ง มีเด็กถูกจับไปกว่าสิบคน แต่เจ้ากลับนอนสบายอยู่ในบ้าน ขังตัวอยู่ในห้องเหมือนรังหนู แสดงว่าเจ้ารู้เห็นเป็นใจใช่ไหม? ข้าผู้ฒ่าดูแลเจ้าเหมือนลูกหลาน แต่เจ้ากลับ!”
ชายชราตะโกนเสียงแหลม “เจ้าควรตาย!”
“ข้าน้อยเปิดแผนกมือปราบทุกวัน ข้าน้อยไม่ได้รับข่าวอะไรเลย!” เฉินจี้หอบหายใจ หายใจแรง เขาพยายามแก้ตัว
บ้านไหนที่เด็กหายไปย่อมต้องร้อนใจ แถมตอนนี้ใต้เท้าเสินมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นไปได้อย่างไรที่พวกนั้นจะไม่ไปหาเขา แต่กลับไปหาหลิวเตียนลี่แทน?
สิ่งที่ตอบกลับเขาคือเสียงตบดังฉาด
หลิวเตียนลี่ชักมือกลับ “ยังจะกล้าเถียงอีก”
ในขณะที่เขาพูด ชายหนุ่มร่างกำยำยี่สิบกว่าคนเดินมาจากถนน ทุกคนถือธนูและหน้าไม้ เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่แตกต่างจากเจ้าหน้าที่ พวกเขาเป็นทหารรักษาเมือง
หลิวเตียนลี่หันไปหาเสินอี้ “ถ้าวันนี้กำจัดปีศาจไม่ได้ ข้าจะเอาหัวเจ้า!”