บทที่ 34 ผู้เชี่ยวขาญมาเข้าร่วม
บทที่ 34 ผู้เชี่ยวขาญมาเข้าร่วม
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับเสินอี้คือ... เขาไม่ได้ใช้ชื่อเสียงของใครบางคนเพื่อสังหารปีศาจให้มากขึ้น
แน่นอน เขาไม่สามารถพูดเรื่องนี้ตรงๆ ได้
เขาเก็บดาบเข้าฝัก กอดดาบไว้ใต้วงแขนอีกครั้ง แม้ว่ามันจะค่อนข้างอึดอัด แต่ก็ดีกว่าการสูญเสียศีรษะโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของเขา หลินไป๋เว่ยก็เม้มริมฝีปากสีแดงสวย
ถ้าตอนนั้นนางระวังมากขึ้น นางคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
นางเดินไปที่ตู้เก็บกระดาษและพู่กัน จากนั้นมาที่โต๊ะแล้วนั่งลง เติมน้ำมันตะเกียงอีกเล็กน้อย
ใต้แสงไฟที่สั่นไหว นางหลับตานึกย้อนคววามทรงจำ พร้อมกับฝนหมึกไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน หลินไป๋เว่ยก็เริ่มคัดลอกอย่างตั้งใจ ตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏบนกระดาษภายใต้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือเรียวยาวของนาง
"เจ้าทำอะไร ทำไมไม่หลับไม่นอน?" เสินอี้หันกลับมามอง
"ถ้าไม่ได้ของที่ต้องการ เจ้าจะนอนหลับได้ไหม?" หลินไป๋เว่ยเบ้ปาก
เจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เคาดเข็มขัดไว้ที่เอว จะแกล้งทำเป็นใจเย็นไปทำไม?
นางยังจำได้ว่าครั้งแรกที่นางถูกปีศาจรัดคอ เกือบหายใจไม่ออกตาม แม้ว่าสหายร่วมสำนักจะตัดศีรษะมันอย่างรวดเร็ว แต่นางก็ยังใจสั่นทั้งคืน
ถ้าตอนนั้นมีใครอยู่ข้างๆ นางคงไม่ต้องตื่นขึ้นมาร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวจากฝันร้ายตอนกลางดึก
“…”
เสินอี้เงียบไปนาน จากนั้นจึงหลับตาลง
เมื่อถึงเวลาไก่ขัน เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังหาวอยู่ที่โต๊ะ
อย่างที่คาดไว้ เขายังไม่ค่อยชิน... ถึงจะรู้ว่านางมาจากแผนกปราบปีศาจ แต่เสินอี้ก็ยังไม่คุ้นเคยกับการนอนหลับที่มีคนวุ่นวายอยู่ข้างๆ
"ฮ้าว... เอาล่ะ เขียนเสร็จครึ่งหนึ่งแล้ว"
หลินไป่เว่ยยืดเส้นยืดสาย ตรวจดูกระดาษอย่างละเอียด “อย่าบ่นว่าช้าล่ะ สิ่งนี้ถ้าผิดแม้แต่นิดเดียว มันอาจจะเกิดปัญหาร้ายแรงได้”
เสินอี้ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เขาพยักหน้ากล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
“ชิ” หลินไป่เว่ยแกล้งทำเป็นประหลาดใจ “ดูเหมือนเจ้าพูดจาดีๆ เป็นด้วย”
“ข้ายังหวังจะเอาเจ้าไปแลกเงินกับตระกูลหลินอยู่ เจ้าก็รู้อยู่ว่าข้าขาดแคลนเงินมากแค่ไหน” เสิ่นอี้จัดแจงแขนเสื้อ สะพายดาบแล้วเดินออกจากประตู
เมืองไป๋อวิ๋นไม่ใหญ่มาก หลายๆ เรื่องเพียงแค่หนึ่งคืนมันก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว
เช้ามืดยังไม่ทันสว่าง ผู้คนก็มารวมตัวกันแน่นขนัดอยู่หน้าแผนกมือปราบแล้ว พลางส่งเสียงโห่ร้องอยู่หน้าประตู
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นว่า “หัวหน้าเสินมาแล้ว!”
ทันใดนั้น จู่ๆ ทางโล่งก็เปิดกว้างปรากฏขึ้นตรงหน้าเสินอี้ เขาจ้องมองไปข้างหน้าด้วยความสงสัย เห็นเพียงเฉินจี้กับลูกน้องทั้งหมดหน้าแดงก่ำด้วยความวิตกกังวล
“ข้าพูดอีกครั้ง ที่นี่รับผิดชอบเรื่องปีศาจ ไม่รับผิดชอบเรื่องขโมย ยิ่งไม่รับผิดชอบตามหางานกระเป๋าเงินที่หายไป!”
“ไร้สาระน่า ภรรยาบ้านเฒ่าหยางพาผู้ชายเข้าบ้าน คนที่จับคือสองคนนั่น! ข้าเห็นมากับตา!”
ทันใดนั้น ฝูงชนก็ส่งเสียงอื้ออึง “บางทีกระเป๋าของข้าก็อาจจะถูกปีศาจขโมยไป ใต้เท้าเสิน ท่านต้องช่วยข้าด้วยนะ!”
“......”
เสิ่นอี้เงียบๆ เข้าไปในลาน แล้วโบกมือ “ปิดประตู”
ชายหลายคนพยายามดันประตูไม้ กว่าจะปิดประตูลงได้ก็เหนื่อยหอบ นั่งลงบนพื้นแล้วมองหน้ากัน
จางต้าหูพูดด้วยความหวาดกลัว "แม่งเอ๊ย! เมื่อก่อนพวกมันต้องหลบหน้าข้า แต่ตอนนี้พวกมันกล้ามาบุกถึงถิ่น!"
ทันทีที่พูดจบ เขาก็รู้สึกตัว ขึ้นมา รีบยิ้มเอ่ยกับเสินอี้ "ท่านคือบิดา ท่านคือบิดาแท้ๆ ของข้า ท่านยอดเยี่ยมที่สุด!"
เฉินจี้ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที พลางมองไปที่ประตูไม้ด้านหลัง
ในวินาทีถัดมา ประตูไม้ก็ถูกตีดังสนั่น
"ยังกล้ามาอาละวาดอีก"
พี่น้องตระกูลหนิวถกแขนเสื้อแล้วเปิดประตู ขณะที่ทั้งสองกำลังจะสาปแช่ง แต่กลับตัวสั่นและตะลึงค้างด้วยความตกใจ
พี่น้องสองคนนี้ถือว่าเป็นชายร่างใหญ่ แต่คนที่มาใหม่นั้นสูงกว่าพวกเขาอีกหนึ่งศีรษะ ร่างกายก็ใหญ่โต โดยเฉพาะพุงที่ป่องนั้น ช่างดูน่ากลัวมากยิ่งนัก
ด้วยรูปร่างเช่นนี้ ไม่ต้องฝึกวรยุทธ เขาก็สามารถคว่ำผู้คนได้อย่างง่ายดาย พี่น้องตระกูลหนิวไม่เคยเห็นคนที่ดูโหดเหี้ยมแบบนี้มาก่อน ทั้งสองถอยหลังด้วยความหวาดกลัว "ท่าน... ท่านหัวหน้า มีคน... มีคนมาหาเรื่อง"
เฉินจี้ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่กล้าออกตัวเคลื่อนไหวก่อน
เขาคิดไม่ออกว่า ทำไมผู้เชี่ยวชาญของสำนักวัชระถึงมาที่แผนกมือปราบเล็กๆ แห่งนี้ ถ้ามีเรื่องที่เขาจัดการไม่ได้ เกรงว่าในเมืองไป๋อวิ๋นนี้คงไม่มีใครจัดการได้
“กลางวันแสกๆ ประตูกลับปิด ข้ายังนึกว่ามาผิดที่ซะแล้ว”
จางถูหูคาบใบหญ้า ยิ้มให้กับฝั่งตรงข้าม “เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ”
เสินอี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของนักพรตโซ่วโถว เขารู้สึกกสงสัยว่าทำไมจางถูหูถึงมาที่นี่คนเดียว?
“ผู้อาวุโส ท่านมาทำไม?” เสินอี้กุมมือคารวะ
“เรียกผู้อาวุโสอะไรกัน! ไร้สาระน่า!”
จางถูหูเดินเข้ามาในลาน ตอบอย่างเย็นชาว่า “ข้ามาจากเมืองชิงโจวตามคำเชิญของคนๆ หนึ่ง แต่ตอนนี้ถูกคนผู้นั้นดูถูกว่าโง่เขลา ข้าเองก็ดูถูกความฉลาดของเขาเช่นกัน คิดไปคิดมา เจ้าก็โง่เหมือนข้า ข้าเลยมาขอเกาะเจ้ากินด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินจี้เกือบจะยืนไม่อยู่
ผุ้เชี่ยวชาญขอบเขตเริ่มต้นที่มีสำนัก ยังจะขาดแคลนเงินทองได้อย่างไร? มันช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ!
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องค่าจ้าง ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองไป๋อวิ๋น พ่อค้าเศรษฐีจำนวนมากยินดีจ่ายเงินเพื่อยกย่องเขาราวกลับเป็นเทพเจ้า
เงินเดือนของมือปราบกว่าร้อยคนในโรงพักรวมกัน ยังไม่เพียงพอที่จะจ้างเขาแม้แต่ครึ่งเดือนเลย!
“ข้าไม่ได้โง่” เสินอี้เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วแบบมือออก “และข้าก็จนมาก”
“ข้าก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน” จางถูหูหัวเราะร่า เดินตรงเข้าไป “ข้าก็จนเหมือนเจ้า ขอแค่มีอาหารหยาบๆ น้ำซุปใสๆ กินก็พอแล้ว”
เสินอี้กำลังจะอธิบายว่า เขาอาจจะไม่มีแม้แต่กับข้าวหยาบๆ น้ำซุปใสๆ ให้กิน ไม่ว่ายังไง ดูจากพุงของคนๆ นี้แล้ว มันคงไม่ใช่แค่กินเหมือนคนธรรมดา
เฉินจี้แทบจะกระแทกเท้าด้วยความร้อนรน
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ! คนหนึ่งไม่ยอมรับเงิน อีกคนเห็นผุ้เชี่ยวชาญเก่งๆ มาสมัคร ยังจะหาข้ออ้างปฏิเสธอีก!
เขาล้วงเงินแท่งออกมาจากเอว ยัดใส่มือเสินอี้อย่างแรง เสียดายจนแทบจะกลั้นใจตาย
เสินอี้เหลือบมองเฉินจี้ โยนเงินคืนไป “ไปเล่นที่อื่นไป”
ข้าดูขี้เหนียวขนาดนั้นเลยหรือไง?
“คนผู้นี้เป็นใคร?”
พี่น้องตระกูลหนิวอาจจะไม่เข้าใจ แต่จางต้าหูรู้ดีว่าเฉินจี้เป็นคนอย่างไร เงินเดือนทุกเดือนไม่ยอมใช้สักบาท เก็บไว้ให้น้องสาวทั้งหมด แล้วทำไมจู่ๆ ถึงใจป้ำขึ้นมา?
“ศิษย์น้องของปรมาจารย์ยุทธที่เจ้าเมืองเชิญมา”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบนี้ สมองของทุกคนก็ขาวโพลนไปชั่วขณะ
สำหรับพวกเขาแล้ว นักพรตโซ่วโถวเป็นเพียงตัวละครในตำนาน อย่างน้อยก็ต้องอยู่ตำแหน่งระดับเดียวกับเล่าเตี่ยนลี่ พวกเขาถึงจะมีโอกาสได้เห็นหน้า และก็แค่เห็นจากระยะไกลเท่านั้น
ชายผู้เก่งกาจในระดับเดียวกัน กลับปรากฏตัวขึ้นในแผนกมือปราบของพวกเขา แถมยังกำลังเล่นลูกตุ้มหินที่ไม่ได้แตะต้องมานานหลายปีด้วยความสนใจ
ลูกตุ้มหินที่ใช้สำหรับประดับ หนักอย่างน้อยสามสี่ร้อยจิน(200กิโลกรัม) แต่เขากลับใช้มือยกขึ้นมาเล่น...
“เจ้าใช้สิ่งนี้ฝึกฝนพลังอยู่เป็นประจำหรือเปล่า?”
จางถูหูถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่... ข้าฝึกฝนก่อนนอนเป็นประจำ”
เสินอี้ตอบอย่างหน้าตาเฉย
เขาพูดความจริง เพราะการฝึกฝนวิชาบนท้องถนน ผู้คนมักเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนบ้า
“การฝึกฝนวิชานั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือห้ามปิดกั้นตัวเอง ข้าอยู่ที่เมืองไป๋อวิ๋นจนรู้สึกเบื่อหน่ายางๆ ว่างๆ เราลองประลองกันหน่อยดีไหม?” จางถูหูวางลูกตุ้มหินลง
“ตกลง” เสินอี้พยักหน้า บังเอิญเขาเองก็ต้องการคนช่วยสอนความรู้ทั่วไปอยู่พอดี
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจางถูหู “ตอนนี้ข้าว่างพอดี”
เสินอี้ "..."
“แย่แล้ว ไอ้อ้วนพุงโตนี่มาหาเรื่องจริงๆ” พี่น้องตระกูลหนิวส่ายหน้าอย่างชาญฉลาด แย่มาก! เกือบจะถูกเขาหลอกเสียแล้ว...