บทที่ 171 ชีวิตประจำวัน
สุดท้ายฉินชิงก็ตรวจชีพจรให้ฮองเฮา เมื่อแน่ใจแล้วว่าฮองเฮาจะค่อยๆ ดีขึ้นจึงกลับวัง
หลังจากกลับตำหนักจงชุ่ยแล้วก็เห็นเสวี่ยถวนนอนอาบแดดอยู่นอกประตู จึงอุ้มเสวี่ยถวนขึ้นมาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้โยกด้านนอก ลูบแมวไปด้วยพลางคิดถึงเรื่องของฮองเฮาและสนมเยว่ไปด้วย
"เจ้าว่าในวังหลังแห่งนี้สิ่งใดถึงจะเป็นเรื่องจริง? ได้รับความโปรดปราน? อำนาจ? ตำแหน่ง?"
เสวี่ยถวนหรี่ตามองแล้วส่งเสียงร้องเหมียวอย่างเกียจคร้านออกมา
เห็นเสวี่ยถวนไม่ต้องคิดอะไร ในแต่ละวันแค่ทำตัวน่ารักก็มีคนเลี้ยง ส่งข้าวส่งน้ำให้ สิ่งที่ต้องทำทุกวันก็มีแค่กินข้าว นอน อาบแดด สามอย่างนี้เท่านั้น
บางครั้งฉินชิงจึงคิดว่าถ้าได้เป็นแมวคงจะโชคดีมาก ไม่ต้องมีเรื่องเหล่านี้มากวนใจ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าหากได้มีชีวิตเช่นแมวจริงๆ คงจะน่าเบื่อมาก
เสวี่ยถวนเป็นแมว นี่คือชีวิตของมัน มันไม่มีทางหาประสบการณ์มากกว่านี้ได้แล้ว แต่ฉินชิงคิดว่าตนไม่ใช่เช่นนี้แน่นอน
การไม่รับรู้อะไรเลยคือความสุขอย่างหนึ่ง ส่วนการรู้ทุกเรื่องก็ไม่ได้เป็นความสุขอีกแบบหนึ่งเช่นกันหรือ
ในฐานะที่เป็นมนุษย์ผู้ครองทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ ฉินชิงยังคงดีใจที่ตนเกิดมาเป็นคน ได้มีโอกาสรู้และเห็นสิ่งสวยงามมากมาย
ได้สัมผัสความรู้สึกที่แตกต่างมากขึ้น ได้รู้เรื่องราวมากขึ้น ได้รู้จักโลกมากขึ้น
บางครั้งฉินชิงก็รู้สึกว่าชีวิตของนางคล้ายกับเสวี่ยถวน โลกของเสวี่ยถวนคืออยู่ในตำหนักจงชุ่ย ส่วนโลกของฉินชิงก็คือวังหลวงในกำแพงสี่เหลี่ยมแห่งนี้
แต่ถ้าอยากได้อะไรตอบแทนก็ต้องยอมจ่ายก่อน ฉินชิงต้องการให้ตระกูลฉินสงบสุข อยากให้คนในครอบครัวของตัวเองมีชีวิตที่ดีในต้าเหลียงต่อไป ดังนั้นฉินชิงจึงยอมทิ้งโลกภายนอกเข้ามาในวัง
แม้ว่าในสายตาของคนบางคนจะคิดว่าการเข้าวังนั้นเท่ากับการสูญเสียอิสระ แต่ถ้าเทียบกับอิสระ ฉินชิงยอมเลือกครอบครัว เลือกมิตรภาพดีกว่า
ชาติก่อนอิสระของนางถูกจำกัด ส่วนชาตินี้นางก็ยอมแลกอิสระที่มีอยู่อย่างจำกัดกับครอบครัวและมิตรภาพที่นางคิดว่าสำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น ชาติก่อนนางไม่เคยได้รับความรัก จนชาตินี้นางคิดว่านางอาจจะได้สัมผัสกับความรักแล้ว
เหลียงอี้เป็นฮ่องเต้ ในรัชสมัยนี้เขาถูกกำหนดให้มีสตรีมากกว่าหนึ่งคน แต่ฉินชิงรู้สึกว่าความรู้สึกที่เหลียงอี้มีให้นางนั้นมันคือของจริง
และตอนนี้ฉินชิงก็คิดว่ามันเพียงพอแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะฉินชิงขี้ขลาด ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะต่อต้านโลกใบนี้
แต่ฉินชิงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองดี แม้ว่าจะทะลุมิติมาในกองทัพใหญ่ นางก็ไม่ใช่คนที่มีรัศมีของตัวเอกโดยกำเนิดแบบนั้น ไม่ใช่เด็กสาวที่จะหว่านเสน่ห์ให้ชายหนุ่มมากมายได้ นางไม่มีความสามารถมากพอที่จะแต่งงานกับคนทั้งโลก
ดังนั้นจะบอกว่าฉินชิงขี้ขลาดก็ไม่เป็นไร และสถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ฉินชิงไม่ได้คิดแค่ว่าฮองเฮาเข้าวังมาได้อย่างไร? สนมเยว่เข้าวังมาได้อย่างไร? และสนมโหลวเข้าวังมาได้อย่างไร?
ในโลกนี้มีคนและเรื่องราวมากมาย ตอนนี้ฉินชิงรู้สึกสนใจมากว่าสตรีที่ถูกผูกมัดอยู่ในวังหลวงภายในกำแพงสี่เหลี่ยมแห่งนี้มีเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
เหตุใดพวกนางถึงต้องต่อสู้แย่งชิงกันในวังหลังแห่งนี้?
อำนาจ? ตำแหน่ง? ความโปรดปราน? บ้านสกุลเดิม?
ไม่รู้ว่าวันนี้ฉินชิงเป็นอะไรจึงคิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แต่ดูจากท่าทางของเสวี่ยถวน มันเหมือนไม่รู้อะไร ยังคงนอนอยู่ในอ้อมกอดของนาง
ฉินชิงลุกขึ้นแล้ววางเสวี่ยถวนลงบนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม
จะคิดอะไรให้มากมาย? กลับเข้าตำหนักไปคิดว่าเที่ยงนี้จะกินอะไรดีกว่า
เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักด้านใน ฉินชิงจึงถามหยินผิงว่า
"หยินผิง อาหารเที่ยงวันนี้ห้องครัวเตรียมอะไร? ข้าหิวแล้ว ตื่นตั้งแต่เช้า ตอนเช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย"
"เหนียงเหนียง ห้องครัวกำลังทำอยู่เพคะ ไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ถ้าเหนียงเหนียงหิว เสวยขนมไปก่อนดีหรือไม่? ขนมโก๋มันเทศไส้พุทรากวนทำเสร็จใหม่ๆ เหนียงเหนียงอยากจะเสวยรองท้องหน่อยไหมเพคะ?"
"ก็ได้ เอามาเถอะ ไปบอกห้องครัวเล็กด้วยว่าวันนี้ขออาหารเผ็ดๆ"
"เพคะเหนียงเหนียง บ่าวจะไปสั่งเดี๋ยวนี้"
หยินผิงหมุนตัวออกไป ไม่นานก็ยกถาดขนมสีขาวออกมาจากห้องน้ำชาด้านข้าง
ฉินชิงมองขนมในถาดนี้ เป็นขนมรูปทรงต่างๆ มีทั้งทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม ทรงดอกเหมย ลวดลายบนขนมยังเป็นลวดลายดอกไม้ที่ถูกประทับด้วยแม่พิมพ์
ดูสวยงามมาก ไม่รู้ว่ากินแล้วจะเป็นอย่างไร นี่คือครั้งแรกที่ฉินชิงกินขนมโก๋มันเทศไส้พุทรากวน ไม่รู้ว่าไส้พุทรากวนจะอร่อยขนาดไหน
หลังกัดไปหนึ่งคำ ผิวนอกของขนมคงจะเป็นมันเทศ และไส้ข้างในก็เป็นพุทรากวน สัมผัสที่ได้คือนุ่มละมุนลิ้น เหนียวกำลังพอดี รสชาติหอมอร่อย กินแล้วก็ได้รสชาติหวานเล็กน้อย
อร่อยมาก ขนมชิ้นนี้ฉินชิงรู้สึกว่ามันหวานน้อยไปนิดหน่อย แต่เพราะความหวานน้อยนี้แหละจึงเป็นเอกลักษณ์ของขนมชิ้นนี้
เพราะต้องการให้คนได้หวนนึกถึงรสชาติที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้น การดึงดูดต่อมรับรสของคนคือหน้าที่ของอาหารอร่อย
ฉินชิงกินขนมและจิบน้ำชาที่หยินผิงชงให้ สบายใจยิ่งนัก
เมื่อฉินชิงกินขนมไปได้พอประมาณแล้ว หยินผิงก็มารายงานว่า
"เหนียงเหนียง คนของห้องครัวมารายงานว่าอาหารเที่ยงเตรียมเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงจะเสวยเลยหรือไม่เพคะ?"
"กินตอนนี้เลยแล้วกัน ข้าหิวแล้ว จัดขึ้นโต๊ะเลยเถอะ"
"เพคะเหนียงเหนียง"
มองพระอาทิตย์ที่อยู่ด้านนอก ฉินชิงคิดว่าวันนี้ตนกินข้าวเร็วกว่าปกติ การใช้สมองทำให้เสียพลังไปเยอะมาก
อาหารบนโต๊ะส่วนใหญ่เป็นอาหารรสเผ็ด อย่างเช่นไก่ผัดพริก ต้มปลาใส่ผักดอง ต้มยำกุ้ง หมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริก และไก่ผัดพิทักษ์วัง ส่วนอาหารที่มีรสเผ็ดไม่พอนั้นไม่มีคุณสมบัติมาแข่งขันในวันนี้ จึงไม่ได้ถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร
ฉินชิงรู้สึกว่ากินอาหารรสเผ็ดก็ต้องกินให้ถึงใจ วันนี้อยากกินเผ็ดก็ต้องเป็นอาหารรสเผ็ดชั้นยอด เหลืออาหารที่ไม่ใช่รสเผ็ดไว้สักจานสองจาน เวลาเผ็ดจนทนไม่ไหวก็สามารถเอามาแก้เผ็ดได้
ถึงอย่างไรฉินชิงก็ไม่ใช่คนทางตะวันออกเฉียงใต้ ไม่สามารถกินอาหารรสเผ็ดจัดๆ ได้ ดังนั้นจึงไม่อยากจะทรมานตัวเอง กินเพื่อความอร่อย ไม่ใช่กินเพื่อทรมานตัวเอง
ส่วนหยินผิงที่มองอาหารในวันนี้ของฉินชิงก็เตรียมผ้าเช็ดหน้าและชานมเอาไว้ข้างๆ เพื่อจะได้มอบให้ฉินชิงได้ทันที
ฉินชิงมองไปยังอาหารบนโต๊ะ จานแรกที่กินก็คือไก่ผัดพริก อาหารจานนี้เหมาะสมกับชื่อ ก็คือพริกและไก่ แต่ฉินชิงรู้สึกว่ามันควรจะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นพริกผัดไก่ ไก่คือเครื่องเคียง และพริกก็คืออาหารหลัก
อาหารจานนี้เป็นสีส้มมันวาว ดูจากสีแล้วก็รู้ว่าไม่ควรไปล่วงเกิน อีกอย่างบนเนื้อไก่ทุกชิ้นก็เต็มไปด้วยพริก
ไม่ใช่อาหารประเภทที่เห็นเป็นพริกแต่จริงๆ แล้วไม่เผ็ดเลยอะไรพวกนั้น แต่มันคือพริกที่เผ็ดจริงๆ
ทันทีที่เอาเข้าปาก ฉินชิงก็ถูกไก่ผัดพริกจานนี้แย่งต่อมรับรสไป น้ำลายไหลออกมาในปากอย่างบ้าคลั่ง