บทที่ 17 หยิ่งผยอง
อะไรนะ!
กำจัดตระกูลเฉิงงั้นหรือ…
พอได้ยินดังนั้นฉางเฉียนเฉียนกับฉางห่าวก็ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ก่อนหันมองฉินจวินด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
พวกเขาไม่สงสัยว่าฉินจวินจะทำได้หรือไม่เมื่อมีต้าจี๋กับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนอยู่ข้างๆ แต่ที่พวกเขาโทษกลับเป็นเฉิงเจี๋ยที่บังอาจทำให้ฉินจวินขุ่นเคืองเอง
“คิคิ ดีเจ้าค่ะ ข้าก็ทนไม่ไหวที่มีคนบังอาจท้าทายนายน้อยของเรา” ต้าจี๋เลียริมฝีปากแดงอิ่มพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ ต้าจี๋ในนิยาย "เฟิงเซิน" ไม่ใช่หญิงที่จิตใจอ่อนโยน ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรและประชาชนทั้งปวง ไม่เพียงแต่หมายถึงความงามของนางเท่านั้น แต่ยังหมายถึงวิธีที่นางใช้จัดการอีกด้วย
เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนไม่เอ่ยคำอันใด นอกจากส่งเสียงคำรามเหมือนสุนัขขี้โมโหเช่นทุกครั้ง
ส่วนฉางเฉียนเฉียนกับฉางห่าวยังคงพูดไม่ออกกับความคิดบ้าเลือดนี้ อย่างที่คิดไว้ มีผู้ใต้บัญชามากพอๆ กับเจ้านาย พวกเขาทำได้เพียงไว้อาลัยให้กับเฉิงเจี๋ยและคนในตระกูลเฉิงเท่านั้น
จวนตระกูลเฉิงหาง่ายเพราะคนทั้งเมืองต่างรู้ดี
ฉินจวินเดินนำต้าจี๋กับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนตรงดิ่งไปสังหารคนตระกูลเฉิงด้วยความตั้งใจโดยปราศจากการเตรียมความพร้อมใดๆ เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีใครเก่งกาจเท่า(คนของ)เขาแล้ว
ไม่นานนัก คนทั้งสี่พร้อมเจ้าสุนัขหนึ่งตัวก็มาถึงยังหน้าจวนตระกูลเฉิง ด้านหน้าประตูเป็นถนนสายเล็กๆ ที่มีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ามากมายกำลังทำการค้าขายภายใต้ร่มธงของตระกูลเฉิง ขณะเดียวกันก็มีทหารยามสองกลุ่มคอยลาดตระเวนไปด้วย
“จวนตระกูลเฉิงนี่ช่างงดงามจริงๆ”
ฉินจวินอุทานด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่เขาเข้ามายังเมืองชิงถาน นี่เป็นจวนที่ใหญ่โตและงดงามตระการตาที่สุดเท่าที่เคยเห็น แค่กำแพงก็สูงถึงสี่เมตรคนธรรมดาแทบไม่มีทางปีนเข้าไปได้ บริเวณโดยรอบทั้งหมดของจวนครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ มีหุบเขาเล็กๆ รายล้อมอยู่ภายในปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก นกบินเข้าออก ให้ความรู้สึกดั่งได้มองหุบเขาบนสวรรค์
เห็นแค่จวน ก็รับรู้ได้ถึงฐานะของคนตระกูลเฉิงและทรัพยากรทางการเงินที่แสดงถึงอำนาจในเมืองชิงถานแล้วว่ายิ่งใหญ่สมคำเล่าลือขนาดไหน
“หยุด! ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า”
ทหารยามคนหนึ่งยกไม้ยาวในมือขึ้นขวางแล้วตะโกนสั่งห้ามอย่างขึงขังทำให้กลุ่มทหารยามที่คอยลาดตระเวนคนอื่นๆ แถวนั้นพากันวิ่งกรู่เข้ามารายล้อมคนทั้งห้าด้วยใบหน้าไร้ความกรุณา ราวกับพร้อมจู่โจมได้ทุกเมื่ออย่างไม่มีปราณี
ฉินจวินแสดงท่าทีเมินเฉยแล้วเดินตรงไปยังประตูอย่างสุขุม
“รนหาที่ตาย!”
ทหารยามหน้าประตูตวาดด้วยความโกรธก่อนยกไม้ในมือขึ้น พร้อมเล็งไปยังหัวของฉินจวินที่ยังคงเดินเข้าหาเขาอย่างไม่มีทีท่าหวาดกลัว ซึ่งหากเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา พวกเขาคงได้ร้องขอความเมตตาไปแล้ว
แต่ไม่ใช่กับฉินจวินที่อยู่ในระดับอาณาจักรก่อสร้างรากฐาน เขาหรือจะถูกโจมตีได้ง่ายๆ ไม้ยาวที่พุ่งเข้ามาถูกมือขวาของเขาจับสกัดไว้อย่างง่ายดายและทรงพลังจนทำให้ทหารยามไม่สามารถควบคุมไม้ในมือนั้นได้
“ฮึ่ม เจ้านั่นแหละกำลังรนหาที่ตาย”
ฉินจวินยกขาขวาขึ้นถีบออกไปเร็วราวกับสายฟ้า เขาเตะเข้าที่หน้าอกทหารยามด้วยความรุนแรงจนกระอักเลือดพร้อมตัวปลิวออกไปหลายเมตร
ปกติ ระดับการบ่มเพาะของทหารยามพวกนี้จะอยู่ไม่ต่ำระดับที่สองหรือสามของอาณาจักรกลั่นลมปราณเท่านั้น ซึ่งจะเอาอะไรมาสู้กับผู้บ่มเพาะระดับสี่ของอาณาจักรก่อสร้างรากฐานอย่างเขา ไม่ประมาณตน…
ตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับฝูงแกะที่พยายามสู้กับเสือ
ต้าจี๋กับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวใดๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะมดปลวกพวกนี้เทียบกับฉินจวินไม่ได้เลยสักนิด
ทันทีที่เข้าใกล้ประตู ฉินจวินก็เตะประตูที่แน่นหนาเปิดออกอย่างง่ายดาย พลังระดับก่อสร้างรากฐานนี่แข็งแกร่งกว่าระดับกลั่นลมปราณมากจริงๆ ตามการประมาณถึงความแข็งแกร่งตอนนี้ของเขาอย่างน้อยก็สักราวๆ ห้าตันได้
หากพลังระดับนี้ตกถูกคนธรรมดา คงได้ร่างแหลกแน่นอน…
หลังได้เห็นความแข็งแกร่งของฉินจวิน ทหารลาดตะเวนกลุ่มนั้นต่างไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขาเลยสักคน ทำได้แค่จ้องมองฉินจวินอย่างตกตะลึงและหวาดกลัว เพราะความแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาเคยเห็นจากเพียงผู้นำตระกูลนี้เท่านั้น
“ดูสิ มีคนบุกเข้าจวนตระกูลเฉิง!”
“โห… พวกเขาเป็นใครกัน กล้าหาญมาก”
“ท่าทางทรงพลังเสียจริง”
“จุ๊จุ๊ มีคนกําลังประสบปัญหา”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบประตูจวนต่างพากันพูดถึงข่าวร้ายนั้นแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วและกระจายไปทั่วทั้งเมืองราวกับโรคระบาด
แต่ละตระกูลได้รับข่าวสารนี้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ฉินจวินและพรรคพวกทั้งสี่ก็ก้าวผ่านประตูเข้ามาพร้อมคิดบัญชีคนตระกูลเฉิง ก่อนที่ในไม่ช้า เหล่าผู้บ่มเพาะที่คอยเฝ้าระวังประจำตระกูลจะกรู่กันเข้ามารายล้อมกลุ่มผู้บุกรุกอย่างพวกเขา
“เจ้าเองหรือ”
เฉิงเจี๋ยเดินออกจากสวนพร้อมกับชายวัยกลางคน พอเห็นว่าเป็นฉินจวินและคนอื่นๆ ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยเพราะคับแค้นทันที โดยเฉพาะกับฉางห่าว
ตอนนี้ ชายผู้นี้ไม่พอใจฉางห่าวมากกว่าฉินจวินเสียอีก ที่แขนขวาของเขาบาดเจ็บจนต้องพักฟื้นเป็นเดือนๆ ก็เพราะฉางห่าวคนนี้แหละ
“วันนี้ ตระกูลเฉิงต้องพินาศ!”
ฉินจวินประกาศกร้าวเสียงดัง ระบบบอกแค่ว่าต้องทำลายตระกูลเฉิง แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าทุกคนต้องถูกสังหาร…
บรรดาทาสและข้ารับใช้มากมายในตระกูลเฉิง พวกเขาล้วนบริสุทธิ์ซึ่งฉินจวินไม่ต้องการทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
“มารดาเจ้าสิ! ไหนว่าอีกทีสิ…”
เฉิงเจี๋ยเปล่งถ้อยคำออกมาด้วยความโกรธ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หลังเขาก็เริ่มมองฉินจวินกับคนอื่นๆด้วยดวงตาไม่พอใจเช่นกัน ชายวัยกลางคนผู้นี้รูปร่างหน้าตาธรรมดา หุ่นผอมเพรียว และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเทาซึ่งดูไม่ต่างจากข้ารับใช้ในจวนทั่วไป แม้แววตาจะดูน่าเกรงขามจนเกือบทำหัวใจแทบหยุดเต้น
ฉินจวินยังรับรู้ถึงระดับพลังยุทธของชายวัยกลางคนชุดเทาผู้นี้ว่าแข็งแกร่งในระดับอาณาจักรก่อสร้างรากฐานอีกด้วย
แม้พลังยุทธของฉินจวินจะอยู่ในระดับอาณาจักรก่อสร้างรากฐานเช่นเดียวกับเขา แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่มีเขายังน้อยมากนัก และมันยังเป็นการก้าวกระโดดที่เร็วไปจนทำให้ฐานการฝึกปรือของเขาไม่เสถียร แล้วในแง่ของความสามารถทางการต่อสู้ที่แท้จริง ไม่ว่าผู้บ่มเพาะคนใดที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่อาณาจักรก่อสร้างรากฐานก็สามารถเอาชนะเขาได้ง่ายๆ เพียงกระบวนท่าเดียว
“ตระกูลเฉิงของเจ้ามีปัญหาผิดคนแล้ว” ฉางห่าวเยาะเย้ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
คำเตือนจากชายผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่นั้นกลับทำให้เฉิงเจี๋ยยิ่งหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ฉินจวินไม่สนใจอากัปกิริยาฉุนเฉียวน่ารำคาญนั้น เพราะอย่างไรวันนี้ตระกูลเฉิงก็จะต้องถูกทำลายด้วยเงื้อมมือเขา
หลังคิดเรื่องนี้แล้ว ฉินจวินก็ล้วงมือขวาไปยังด้านหลัง ดึงปืนพกเดสเซิร์ทอีเกิลออกมาพร้อมฉีกยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า
“อารอง พวกมันนี่แหละ ช่วยข้าสังหารที!”
เฉิงเจี๋ยเดือดมากถึงกับรีบร้องขอให้ชายวัยกลางคนในชุดเทาด้านหลังช่วยจัดการกลุ่มของฉินจวินที่กล้าหาเรื่องถึงที่อย่างไร้ความเกรงกลัว
ปัง!
เสียงของเฉิงเจี๋ยยังไม่ทันสิ้นดี เสียงปืนก็ดังลั่นทำเอาคนทั้งตระกูลเฉิงเงียบสงัด
เฉิงเจี๋ยเห็นเพียงของเงาวาวบางอย่างในมือขวาของฉินจวิน แล้วเนื้อตัวก็แข็งทื่อไปพร้อมกับมีรูบนหน้าผาก ก่อนที่ไม่นานดวงตาจะเริ่มพร่ามัวจากเลือดที่ไหลลงมาบดบัง เป็นภาพที่ทำเอาสยดสยองยิ่ง
“ติ๊ง! ภารกิจเสริมสำเร็จ สังหารเฉิงเจี๋ยรับ ห้าร้อยสามสิบสี่คะแนนประสบการณ์”
สามสิบสี่คะแนนประสบการณ์จากเฉิงเจี๋ยบวกกับรางวัลการทำภารกิจสำเร็จ แม้คะแนนที่ได้จะยังอัปเกรดระดับการบำเพ็ญไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นที่น่าพอใจอยู่
บรรยาเงียบกริบ…
ฉางเฉียนเฉียนรวมทั้งคนอื่นๆ ต่างอ้าปากค้างกับภาพที่ได้เห็น สีหน้าเขร่งครึมของบรรดาผู้บ่มเพาะก่อนหน้านั้นตอนนี้กลับมองฉินจวินด้วยความว่างเปล่า
ใบหน้าของชายวัยกลางคนในชุดเทาเปลี่ยนเป็นดำมืดด้วยความคับแค้นทันที เฉิงเจี๋ยเป็นถึงบุตรชายคนโตตระกูลเฉิงผู้ทรงอิทธิพลในเมืองชิงถานแห่งนี้ ตอนนี้กลับถูกฉินจวินชายแปลกหน้าสังหารไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่มียำเกรงเลยแม้แต่น้อย
ไม่รอช้า ชายวัยกลางคนในชุดเทาก็ปรี่เข้าหาฉินจวินด้วยความโกรธ หมัดขวาที่กำลังพุ่งเข้าหาฉินจวินลุกโชนไปด้วยไฟแค้นห่างจากเขาไปเพียงสองก้าว เขาเร็วมากจนฉินจวินคงไม่ทันต้านทานต่อปฏิกิริยานั้นได้
ผั๊วะ—
ชายวัยกลางคนในชุดเทารู้สึกเพียงเงาสีขาวแวบผ่านดวงตาไปก่อนพลังมหาศาลจะปะทะเข้าที่ใบหน้าฝั่งขวาของเขา จนร่างปลิวออกไปไกลอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่
เมื่อได้เห็นภาพนั้น บรรดาผู้บ่มเพาะที่กำลังจะเคลื่อนไหวต่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เท้าของพวกเขาดูเหมือนจะหยั่งรากลึกไม่กล้าแม้แต่จะก้าวไปข้างหน้า
“จุ๊จุ๊ นั้นคือพลังวิญญาณงั้นหรือ”
ฉินจวินสงสัยว่าเปลวไฟที่ลุกบนหมัดของเขาช่างขัดต่อหลักการทางวิทยาศาสตร์สิ้นดี จะมีเพียงก็แต่เวทมนตร์เท่านั้นที่สามารถอธิบายได้
“ก็แค่พลังวิญญาณขั้นต่ำ” ต้าจี๋ยิ้มเยาะพร้อมสะบัดมือขณะพูด ราวกับว่าชายวัยกลางคนในชุดเทาผู้นี้ทำให้มือของนางสกปรก
ฉางเฉียนเฉียนรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นการต่อสู้นี้จากสตรีผู้แข็งแกร่งอย่างต้าจี๋ สำหรับนางมันคุ้มที่ได้ออกมาเผชิญกับโลกใบนี้
อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าต้าจี๋ไม่ใช่หญิงงามธรรมดาทั่วไป เพราะนางเป็นถึงปีศาจจิ้งจอกที่มีตั้งเก้าหาง
ฉางห่าวยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกแรกที่ได้เจอนาง เขาเต็มไปด้วยความหลงใหลและปรารถนา จนกระทั้งตอนนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดไม่เหมาะสมกับนางอีกต่อไปนอกจากความกลัวเพียงเท่านั้น
ขณะนั้นเอง ฉินจวินก็หันปากกระบอกปืนไปยังชายวัยกลางคนชุดเทาที่พยายามจะยันตัวลุกขึ้นจากพื้น ตอนนี้เขาสูญเสียความสามารถในการสู้และยืนหยัดถึงขีดจำกัดจนไม่อาจหลีกเลี่ยงลูกปืนที่กำลังพุ่งตรงมายังศีรษะเขาได้ทันแล้ว…