บทที่ 9 ขอบเขตเริ่มต้นคืออะไร?
บทที่ 9 ขอบเขตเริ่มต้นคืออะไร?
"นี่มันวิชาอะไรกัน?"
เสินอี้ลืมตา ราวกับว่าเขาได้ทำลายคอขวด พลังอันยิ่งใหญ่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย มันเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง
วิชาการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นทักษะดาบปราบปีศาจ หรือหมัดทะยานไล่เมฆา ล้วนเป็นวิธีฝึกฝนที่แผนกปราบปีศาจรวบรวมศาสตร์การต่อสู้จากทั่วโลก ถือว่าจัดอยู่ในระดับสูง
หลังจากฝึกฝนจนสำเร็จทั้งหมดแล้ว พลังของเขาก็แข็งแกร่งดั่งวัว วิ่งได้เร็วเหมือนสายลม เรื่องนี้ทำให้เสินอี้รู้สึกปรหลาดใจมากพออยู่แล้ว
แต่บทอักขระสั้นๆ เจ็ดสิบแปดตัวนี้ กลับทำให้เขารู้สึกถึงโลกใบใหม่ มีความรู้สึกหลุดพ้นอย่างประหลาด ราวกับว่าเขาจะก้าวขึ้นสู่การดำรงอยู่แบบใหม่
"นี่ไม่ใช่การขุดศักยภาพจากร่างกายอีกต่อไป แต่เป็นการพึ่งพาพลังภายนอกเพื่อขัดเกลา"
"พลังภายนอกไม่เพียงพอ ดังนั้นความคืบหน้าจึงช้า?"
เสินอี้เข้าใจหลักการแล้ว แต่เขาไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้
จากการใช้อายุขัยก่อนหน้า เขาพบว่ากระบวนการฝึกฝนศาสตร์การต่อสู้มีความเกี่ยวข้องกับสถานะปัจจุบันของตนเองอย่างมาก
หากเดาไม่ผิด ถ้าเขาสามารถกลืนยาที่มีพลังงานล้นเหลือล่วงหน้าก่อนฝึกฝน ก็จะสามารถใช้พลังของยาเพื่อเร่งความเร็วในการฝึกฝนได้
อย่างไรก็ตาม เขาจะเอายานั้นมาจากไหน?
แม้ว่าร่างเก่าของเขาจะดูมีอำนาจ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นนักพนัน เงินทองที่รีดไถมาได้ รวมถึงเงินเดือน ล้วนถูกนำไปทุ่มเทให้กับบ่อนพนันจนหมดสิ้น เงินที่เหลืออยู่ก็เพียงพอสำหรับการกินอยู่จนถึงสิ้นเดือนเท่านั้น
และอายุขัยของเขานั้นเหลืออีกแค่หนึ่งปี ยาธรรมดาจึงมีผลน้อยมาก จำเป็นต้องใช้สมบัติล้ำค่าจากฟ้าดินจริงๆ เท่านั้นถึงจะมีประโยชน์
"ไอ้ผีพนันนี่มันช่างน่าตายจริงๆ...ไว้มีโอกาสค่อยว่ากันอีกที"
เสินอี้มองดูอายุขัยของปีศาจที่ยังเหลืออยู่ เขารู้สึกมั่นใจและเริ่มใช้มันต่อ
【ในปีที่สิบหก โฮสต์ใช้พลังงานทั้งหมดหล่อเลี้ยงกระดูกทั่วร่างกาย】
【ปีที่ยี่สิบหก ยาไม่เพียงพอและความก้าวหน้าก็ช้าลง...】
【ปีที่สามสิบแปด โฮสต์หล่อเลี้ยงกระดูกทั่วร่างกายจนเสร็จสิ้นครึ่งหนึ่งแล้ว แต่การเก็บเกี่ยวพลังงานจากอาหารธรรมดานั้นให้ผลน้อยมาก】
สีหน้าของเสินอี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป แววตาเริ่มตึงเครียดขึ้น
【ปีที่ห้าสิบสอง ผ่านการสะสมมาหลายปี ขั้นกระดูกก็บรรลุผล ตำราวายุและอัสนีขั้นที่สองทะลวงผ่าน】
จนกระทั่งข้อความนี้ปรากฏขึ้น เสินอี้ถึงได้รู้ว่าเขานิ่งมาเป็นเวลานาน จนเขาลืมหายใจไปจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่ามาก
ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเท่านั้น กระดูกที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อหนังก็แข็งแกร่งดั่งเหล็ก ดั่งเพชร ยากที่จะทำลาย และความรู้สึกหลุดพ้นที่เกิดขึ้นในจิตใจก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เปรียบเสมือนน้ำผึ้งอันหอมหวาน ที่ดึงดูดให้คนเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว
ขอบเขตที่มหัศจรรย์นั้น ค่อยๆ เผยโฉมให้เสินอี้เห็นบ้างแล้ว
เขาเริ่มกัดฟัน และลงมือเดิมพันทั้งหมด
【ปีที่แปดสิบเก้า โฮสต์คุ้นเคยกับการสะสมพลังงานทีละน้อย ผ่านปีแล้วปีเล่า ผ่านวันแล้ววันเล่า ทักษะการหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยพลังงานนั้นชำนาญขึ้น】
【ปีที่หนึ่งร้อยหก เช้าวันหนึ่ง จู่ๆ โฮสต์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในผิวหนังของโฮสต์ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใจ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือเรื่องปกติ ขั้นผิวหนังบรรลุผล ตำราวายุและอัสนีขั้นที่สามทะลวงผ่าน】
ครั้งนี้เสินอี้ไม่ได้หยุดคิดเลยด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะถึงขอบเขตนั้นแล้ว
ร่างกายทั้งตัวเริ่มชา เขาเริ่มเทอายุขัยของปีศาจลงไป
ร่างกาย กระดูก ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ เหลือเพียงขั้นสุดท้ายเท่านั้น
【ในปีที่หนึ่งร้อยแปดสิบสอง โฮสต์ทำอาหารตามปกติ ชิมคำหนึ่ง แต่กลับรู้สึกจืดชืด ทันใดนั้น โฮสต์ก็รู้สึกว่ายังมีบางสิ่งที่อร่อยกว่าในโลกนี้อีก】
【ของแบบนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ยากจะเข้าใจ】
【โฮสต์ก้มมองตัวเอง ทันใดนั้น โฮสต์ก็เข้าใจในเรื่องสิ่งที่เรียกว่า "หลุดพ้นเหนือโลกีย์" อย่างแจ่มแจ้ง ขาเป็ดอ้วนๆ ในมือ กลับกลายเป็นสิ่งของทางโลกสำหรับโฮสต์】
【หลังจากฝึกฝนมานานกว่าร้อยปี ร่างกายของโฮสต์ได้กลายเป็นภาชนะที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่ยากจะเข้าใจ... ตำราล้ำค่า วายุและอัสนีส่วนต้น บรรลุทุกขั้นอย่างสมบูรณ์】
เสินอี้หลับตาลง เขารู้สึกเหมือนว่าขอบเขตนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงแค่ก้าวเท้าอีกหนึ่งก้าวเท่านั้น
ขอบเขตเริ่มต้น หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ ด้วยรูปแบบใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกใบนี้
แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นได้
เพราะบทอักขระเจ็ดสิบแปดตัว มันเขียนไว้เพียงเท่านี้
เสินอี้รู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างประหลาด ทำไมไม่เขียนให้มันจบวะ!? ค้างไว้แบบนี้เพื่อ? หลังจากร่างกายมนุษย์สมบูรณ์แล้ว ควรจะทำอย่างไรต่อไป?
เขาลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน กำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ตั้งแต่ตอนที่อ่อนแอไปจนถึงตอนที่ฝึกฝนทักษะดาบปราบปีศาจจนสำเร็จ ล้วนเทียบกับตอนนี้ไม่ได้!
เสินอี้เริ่มรู้สึกสับสน เขาแค่ยกมือขึ้นเบาๆ แต่รู้สึกเหมือนสามารถพลิกกระท่อมเก็บฟืนหลังนี้ได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้น เขาก็เหมือนผู้ป่วยติดเตียงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา เริ่มทำท่ากายภาพบำบัดอย่างช้าๆ
จนกระทั่งได้ยินเสียงเฉินจี้ตะโกนจากนอกประตูว่า "กินข้าวได้แล้ว"
กลิ่นข้าวหอมฟุ้งจากหม้อต้มข้าวในบ้านลอยมาแตะจมูก เสินอี้ขมวดคิ้ว อารมณ์สองอย่างวนเวียนอยู่ในสมอง อย่างแรกคือความหิวตามปกติ อีกอย่างคือความรู้สึกไม่อยากกิน
ในที่สุด อารมณ์แรกก็เอาชนะอารมณ์หลัง
เสินอี้รีบเดินออกจากกระท่อม
ที่พักแห่งนี้คับแคบมาก ปกติแล้วพี่น้องสองคนจะหุงข้าวเสร็จแล้วกลับไปกินในห้องใครห้องมัน
แต่วันนี้มีคนเพิ่มมา เฉินจี้ไม่รู้ไปหาโต๊ะตัวเล็กมาจากไหน เขาวางพวกมันลงบนพื้นที่ว่างเปล่า
เสินอี้มองดูเฉินจี้เข้าไปเอาอาหารในบ้าน ปิดประตูให้เฉินจินหยู เขารู้สึกพูดไม่ออก "ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นจริงๆ"
"ไม่ได้เกี่ยวกับท่าน นางชอบอยู่คนเดียว"
เฉินจี้ย่อตัวลงนั่งข้างโต๊ะอย่างเงียบๆ ตักข้าวให้เสินอี้และเช็ดตะเกียบ
ระหว่างทำ ประตูไม้ก็เปิดออกเงียบๆ เผยให้เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเฉินจินหยู นางมองออกมาอย่างเงียบๆ
"…" เสินอี้ม้วนริมฝีปาก
"…" ท่าทางตักข้าวของเฉินจี้ชะงักไปชั่วครู่ เขาอึ้งไปชั่วครู่ ถอนหายใจแล้วพูดว่า "ถ้าอยากออกมา ก็ออกมาเถอะ"
เฉินจินหยู่ผลักประตู ยกชามข้าว เดินมาที่โต๊ะไม้แล้วนั่งยองๆ ยกมุมปากขึ้นอย่างขี้อาย เงียบขรึมแต่แฝงไปด้วยความอ่อนหวาน
นางเชื่อฟังพี่ชายของนางมากที่สุด ไม่ต้องการเพิ่มปัญหาให้กับเขาที่ทำงานหนักและกังวลมากพออยู่แล้ว
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
ตัวอย่างเช่น ในวันนี้ สิ่งที่พี่ชายของนางทำนั้น ย่อมสร้างรอยร้าวให้กับหัวหน้าของเขา
เขาอ้างนางว่าชอบอยู่คนเดียวเนี้ยนะ? ทำเพื่อป้องกันโจรข่มขืนก็บอกไปสิ!
ในสายตาของเฉินจินหยู คนที่อยู่ในแปลงผักของร้านน้ำชา ผู้ที่มองเห็นพี่ชายเข้าช่วยเหลือนาง แล้วสังเกตเห็นความผิดหวังเล็กน้อยในแววตาของเด็กสาวคนอื่นๆ เลยทำหน้าที่เป็นพี่ชายของพวกนางชั่วคราว คนแบบนี้จะเลวร้ายไปได้ยังไงใช่ไหม?
พอนางคิดอย่างนั้น สายตาของนางก็เหลือบไปทางตรงกันข้าม บังเอิญสบตากับเสินอี้ที่มองมาพอดี
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
“อะแฮ่ม”
เฉินจี้กำตะเกียบแน่น มองเสินอี้ด้วยรอยยิ้มที่ไร้ความยินดี
ไอ้สารเลวจอมเจ้าเล่ห์! ฮึ! ไหนบอกเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น?
“กินข้าวกันเถอะ” เสินอี้ละสายตา เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ตอนนี้เขาเหลืออายุขัยแค่หนึ่งปี จะไปมีเวลาคิดเรื่องพรรคนั้นได้อย่างไร?
เพียงเพราะเขาเพิ่งสำเร็จวิชามาหรอก อารมณ์จึงค่อนข้างดี เขาแค่รู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้ดูมีแผนการมากมาย แต่นางกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร
อือ...นางดูน่าสนใจดี
มันต้องหลังจากนี้สิ รอจนกว่าเขาจะโชคดีมีอายุยืนยาวขึ้น เอาสักคน...ไม่ไม่ไม่ หาหลายๆ คนดีกว่า
จริงๆ แล้วเสินอี้ชอบผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอ้วน เขาชอบหญิงสาวมีอายุมากกว่าเด็กสาวไร้เดียงสา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสินอี้ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เดี๋ยวนะ...
การกลั่นพลังงานให้ร่างกาย ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด
มันไม่เพิ่มอายุขัยงั้นเหรอ? เมื่อก่อนข้าไปสวนสาธารณะเพื่อฝึกรำไท่เก๊ก ข้ายังรู้สึกเหมือนจะมีอายุยืนยาวขึ้นอีกปีสองปีเลย
จากนั้น ข้อมูลที่เขาละเลยไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกสำเร็จวิชาก็ปรากฏขึ้นมาทันที
[อายุขัยที่เหลืออยู่: ยี่สิบเอ็ดปี]
...