ตอนที่แล้วบทที่ 30 ข้ามได้ครับคนแต่งแจ้งเปลี่ยนชื่อเรื่อง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 ตัวตนของหลินไป๋เว่ย

บทที่ 31 เจ้าบ้านหลินผู้ร่ำรวย


บทที่ 31 เจ้าบ้านหลินผู้ร่ำรวย

เมื่อเสินอี้ถามจบ เขายังคงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

คำถามนี้มาอย่างกะทันหัน กระทั่งนักพรตโซ่วโถวไม่ทันตั้งตัว จนเขาเกือบคิดว่าอีกฝ่ายต้องการ "คำตอบ" จริงๆ

ชั่วครู่ต่อมา ความโกรธเกรี้ยวก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจ

เขาจ้องมองด้วยสายตาโหดเหี้ยม หายใจหอบ ตั้งแต่เขามาถึงเมืองไป๋อวิ๋น ยังไม่เคยมีใครกล้าท้าทายเขาแบบนี้มาก่อน!

นักพรตโซ่วโถวกำมือแน่น เล็บจิกเข้าที่เนื้อฝ่ามือ

เขาอยากจะตบหัวอีกฝ่ายจนกะโหลกแตก

แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ภายใต้สายตาที่นิ่งเฉยของอีกฝ่าย เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด แม้แต่มือก็ยกขึ้นไม่ไหว หรือว่าเขาใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์นานเกินไป จนสูญเสียหัวใจนักสู้ไปแล้ว?

ไม่จริง!  มันก็แค่ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรกับคนตายเท่านั้น มันไม่ฉลาดเลย!

การที่อีกฝ่ายไปยั่วยุปีศาจจิ้งจอกเป้ยหยาทางทิศเหนือ ยังไงเขาก็ไม่มีทางรอด ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง...

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นักพรตโซ่วโถวก็ยิ้มเยาะออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไร้ซึ่งความมั่นใจ "สมแล้วที่เป็นคนขอศาลาว่าการ ใต้เท้า่สินผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าช่างดูน่าเกรงขามกว่าท่านเจ้าเมืองเสียอีก ข้าต้องขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสินอี้พยักหน้า หันหลังเตรียมจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นก็หันหน้ากลับมา เขาเอ่ยด้วยท่าทางเป็นห่วงเล็กน้อย

"อายุมากแล้ว เจ้าอย่าทำปากเบี้ยวบ่อยๆ  เดี๋ยวใบหน้าจะเป็นอัมพาต"

"อึก..."

นักพรตโซ่วโถวปรับมุมปากโดยไม่ได้ตั้งใจ เปลือกตาของเขาสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้ง

มองดูเงาหลังที่เดินจากไปอย่างเชื่องช้า หัวใจของเขาก็หดหู่ขึ้นมาทันใด ในปากรู้สึกถึงรสคาวหวาน

จางถูหูดินไปหาศิษย์พี่ เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความสงสาร จากนั้นก็ก้าวออกจากบ้านตระกูลหลิน

"ไม่คิดว่าในบ้านจะมีปีศาจพยัคฆ์ที่ดุร้ายขนาดนี้!"

เจ้าบ้านตระกูลหลินที่มาช้าไปหน่อย เบิกตากว้างมองดูเฉินจี้กำลังมัดศพเสือขนาดใหญ่บนรถลาก

เขามองดูนักพรตโซ่วโถวที่ยืนอยู่ตรงนั้น พลางก้มหน้านิ่งคิดชั่วครู่ จากนั้นเผยยิ้มอย่างประจบสอพลอ แล้วรีบวิ่งตามเสิ่นอี้ไป

"ใต้เท้าเสิน กรุณารอสักครู่!"

ร่างกายที่อ่อนแอของเขา ประกอบกับเสื้อผ้าที่หรูหราและยุ่งยาก ทำให้วิ่งไม่สะดวก ทำได้เพียงตะโกนเรียกซ้ำๆ

เสินอี้หยุดฝีเท้าด้วยความสงสัย

"ข้ามาขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้"

เจ้าบ้านตระกูลหลินก้มตัวลงด้วยความอับอาย เขาพิงเข่าและพูดเสียงอ้อแอ้ว่า "ท่านช่วยบุตรสาวข้า แต่ข้ากลับสงสัยว่าท่านร่วมมือกับปีศาจทำร้ายบุตรสาวข้า ทำให้นางสูญเสียความทรงจำ และที่ปล่อยให้นางกลับมาบ้าน ก็เพื่อโกหกเอาเงินไปเล่นพนัน..."

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสินอี้ก็แข็งทื่อเล็กน้อย

"ข้าเป็นพ่อค้าที่ตาบอด ข้ามองคนผิดไป" เจ้าบ้านตระกูลหลินถอนหายใจด้วยความเสียใจ ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเสินอี้เงยหน้ามองไปทางอื่น

"ท่านเป็นคนดี ไป๋เว่ยถูกปีศาจลวงตา ถ้าไม่ใช่ใต้เท้า เกรงว่าวันหนึ่งตระกูลหลินของข้าคงถูกปีศาจเสือนั่นกินจนหมด"

"..."

เมื่อได้ยินชื่อนี้ เสินอี้ก็ตกอยู่ในความเงียบ

ในบรรดาปัญหาหลายอย่างที่ร่างก่อนทิ้งไว้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ร้ายแรงที่สุด

ทางเลือกมีเพียงสองทาง

หนึ่งคือฆ่าปีศาจจิ้งจอก เพื่อปิดปากมันซะ!

หรือไม่ก็กำจัดหลินไป๋เว่ยตัวจริง แล้วไปเข้าร่วมกับปีศาจจิ้งจอกแห่งเป้ยหยาซะ...

นอกจากสองทางนี้ แทบไม่มีทางเลือกอื่นเลย!

ที่สำคัญ ดาบเดียวที่เฉียบขาดเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่ตัดหัวปีศาจพยัคฆ์เท่านั้น แต่มันยังตัดเส้นทางหนีของตัวเองด้วย

เสินอี้คิดว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา ย่อมมีช่วงเวลาที่ลังเล

เอาล่ะ... ตัดสินใจแล้ว! ทำตามหัวใจตัวเองดีกว่า ไม่ต้องลังเลอีกต่อไป!

"ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้น ข้ากินเงินเดือนจากราชสำนัก การทำหน้าที่ของตัวเอง  เป็นเรื่องที่สมควรทำ"

เสินอี้รีบตั้งสติ มองดูเฉินจี้นำรถลากมา พยักหน้าเบาๆ แล้วบอกลาเจ้าบ้านตระกูลหลิน

"เป็นเรื่องที่สมควรทำ..." เจ้าบ้านตระกูลหลินทวนประโยคพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย แต่ที่มุมปากกลับมีรอยยิ้มเจื่อนๆ

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เงินจำนวนมหาศาลที่เขาให้กับท่านเจ้าเมือง ทำไมไม่เห็นนักพรตโซ่วโถว "ทำเรื่องที่สมควรทำ" บ้าง?

"ใต้เท้าเสิน ถ้าไป๋เว่ยกลับมาแล้ว ข้าขอเชิญท่านมาที่บ้านเพื่อดื่มชานะ นางเองก็เคยฝึกฝนวิชามาก่อน นางพอจะรู้เรื่องยุทธภพอยู่บ้าง แถมพวกท่านยังอายุไล่เลี่ยกัน น่าจะมีเรื่องมากมายที่พูดคุยกันได้"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินจี้ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

ใครในเมืองไป๋อวิ๋นไม่รู้จักบุตรสาวคนเดียวของตระกูลหลินบ้าง นางมีรูปโฉมงดงามดั่งเทพธิดา ชายหนุ่มมากมายต่างหมายปอง เมื่อเทียบกับนาง แม้ว่าน้องสาวของเขาจะดูอ่อนหวานน่ารัก แต่ทั้งฐานะและความรู้ก็ต่างกันมาก

 

...เดี๋ยว...ทำไมข้าต้องเปรียบเทียบน้องสาวกับคุณหนูหลินด้วย?

เฉินจี้เขกหัวตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของใต้เท้าเสินในปัจจุบัน เขาอาจจะดูถูกผู้หญิงที่เคยพัวพันปีศาจก็เป็นได้

"ท่านคิดอย่างไร?" เจ้าบ้านตระกูลหลินมองอย่างระมัดระวัง

เสินอี้ก้มมองดาบที่เอว เขาพูดช้าๆ ว่า "ได้"

เมื่อได้รับคำตอบเชิงบวก เจ้าบ้านตระกูลหลินก็รู้สึกดีใจมาก แม้ว่าท่าทางของอีกฝ่ายจะดูแปลกๆ แต่ทั้งคู่ก็ยังเป็นคนหนุ่มสาว ยิ่งได้พบปะกันมากเท่าไหร่ โอกาสก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!

เฉินจี้กลอกตา แม้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจที่ชื่นชอบสาวงามของใต้เท้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ในตอนนั้นเอง พ่อบ้านที่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว เขาได้ยกถุงผ้าไหมขนาดใหญ่ขึ้นรถลากอย่างยากลำบาก

เฉินจี้ฟังเสียงก็รู้ว่าข้างในคืออะไร

จากรอยยุบของล้อรถลาก คาดว่าน่าจะมีอย่างน้อยแปดร้อยตำลึง คิดเป็นเงินเดือนของมือปราบ คงประมาณสามสิบปี!

"ขอใต้เท้าอย่าปฏิเสธเลย ถ้าท่านไม่รับ ข้าจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ แม้แต่ราชสำนัก พวกเขาก็ยอมรับเงินจากการสังหารปีศาจนี้"

เจ้าบ้านตระกุลหลินก้มตัวคำนับ

"ข้ารู้ว่าท่านชอบเล่นสนุก เหรียญทองแดงไม่สะดวก ธนบัตรก็ดูไม่น่าสนใจ เลยเตรียมเงินสดมาให้" พ่อบ้านอ้วนยิ้มจนตาหยี

เสิ่นอี้เดินไปที่รถลาก เปิดดูด้านในถุงผ้า มองดูเงินสีขาววาววับ แววตาตาที่สงบนิ่งของเขาแวบผ่านความอิจฉาที่สังเกตเห็นได้ยาก

มารดามัน! สมควรเอาพวกเขาไปแขวนบนเสาไฟจริงๆ

แค่เจียนปิ่งใส่ไข่สองอันก็แค่สิบทองแดง เงินพวกนี้มากพอที่จะห่อครอบครัวพ่อค้าเร่ด้วยเจียนปิ่งได้

เฉินจี้ถอนหายใจ คนอื่นแค่โยนเงินเล่นๆ ก็ออกมาเจ็ดแปดร้อยตำลึงเงิน เขาเองทำงานเก็บเงินทั้งชีวิต ยังไม่พอที่จะแต่งงานให้กับน้องสาวเลย

เสินอี้พลิกดูเล่นๆ เขาหยิบแท่งเงินหนักสิบตำลึงออกมาสองแท่ง แล้วโยนให้เฉินจี้หนึ่งแท่ง  "แค่นี้ก็พอ"

(ในเรื่องใช้ค่าเงินคือ 两 เหลี่ยงนะครับ มันเป็นเหมือนค่าน้ำหนักแท่งเงิน ไม่ใช่สกุลเงิน แต่เพื่อให้เข้ากับนิยายแนวจีนโบราณ ผู้แปลขอใช้ตำลึงแล้วกันครับ)

ข้าไม่ได้ช่วยเลี้ยงบุตรสาวตระกูลเจ้าฟรีๆ นะ ค่าอาหารยังไงเจ้าก็ต้องจ่าย

เขาเอาเงินที่เหลือลงจากรถลาก

โดยไม่ให้โอกาสคนอื่นพูด เขาทิ้งเจ้าบ้านตระกูลหลินที่ยืนงง เสินอี้ก็ก้าวออกจากคฤหาสน์หลินไปแล้ว

เฉินจี้จับแท่งเงินด้วยความประหลาดใจ แล้วรีบลากรถลากตามไป

"ใต้เท้า..."

บนถนน เฉินจี้เองก็อยากถามเรื่องเมื่อกี้

เขาไม่คิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะฉะกับนักพรตโซ่วโถวเพราะเรื่องของเขาจริงๆ

“คิดก่อนทำหน่อย ชีวิตของเจ้าไม่ได้เก็บมาจากกองขยะนะ”

เสินอี๋ยืดเส้นยืดสาย เดินไปที่โรงเตี๊ยมริมถนน มองไปที่ป้ายไม้บนผนัง “เอาสุราฮวาเตียว ขาห่านย่าง เอาขาซ้ายนะ  แล้วก็ปลานึ่งอีกตัว…”

เฉินจี้เอามือลูบพุง มองดูเสินอี๋สั่งอาหาร

ใต้เท้าเสินพูดเหมือนว่าชีวิตของอีกฝ่ายเป็นของเก็บมา… ถึงแม้จะเป็นของเก็บมา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนที่ไม่เกี่ยวข้องสิ

แถมยังเลี้ยงข้าวอีก

จนกระทั่งเสินอี๋ถือหม้อดิน ไหสุรา และใบบัวห่อออกไป เฉินจี้ก็อ้าปาก ถามด้วยความสงสัยว่า “เราไม่กินที่นี่เหรอ?”

“เรา?”

เสินอี้หันกลับมา มองด้วยท่าทางแปลกๆ “อยากกินก็ซื้อเองสิ”

เข้าใจไหมว่าอะไรคือเรื่องงาน อะไรคือเรื่องส่วนตัว!

เงินเดือนแค่สองตำลึงสี่ทองแดงต่อเดือน ยังจะให้ข้าเลี้ยงข้าวอีกเหรอ?

“…”

เฉินจี้ควักเงินสิบตำลึงออกมา มองดูเงิน มองดูอีกฝ่าย ใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

“ช่างเป็นคนแปลกประหลาดจริงๆ”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด