บทที่ 24 ศาลาว่าการลงมือ
บทที่ 24 ศาลาว่าการลงมือ
“อ่อ... มันเป็นอย่างนี้เอง”
เสินอี้ครุ่นคิดถึงวิชาดาบโลหิตสังหารที่เพิ่มเข้ามาในความคิดของเขา ทุกการเคลื่อนไหว มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
มันเห็นได้ชัดว่ามีการปนเปื้อนความโหดร้ายของปีศาจอยู่มาก มองไม่ออกเลยว่ามาจากวิชาดาบปราบปีศาจที่เรียบง่าย
พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้ความรุนแรงปราบปรามความรุนแรง!
นี่คือวิชาขอบเขตเริ่มต้นที่สมบูรณ์จริงๆ เมื่อเทียบกับวิชาดาบสุริยันสังหารปีศาจที่ใช้ทางลัดเพื่อเข้าสู่ขอบเขต ทั้งสองวิชาไม่ใช่อยู่ในระดับเดียวกันเลย
นอกจากนี้ เขาได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบขอบเขตเริ่มต้น หากต้องเผชิญหน้ากับไอ้สุนัขขนเหลืองอีกครั้ง เสินอี้มั่นใจว่าจะจัดการมันได้ภายในสามกระบวนท่า
เขามองไปที่แผงระบบอีกครั้ง
อายุขัยปีศาจเหลืออยู่เพียงหนึ่งร้อยสามสิบปี ส่วนเกินถูกใช้กับวิชาที่เหลืออีกสองชุด น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ไม่ดีนัก ได้มาเพียงพรสวรรค์ที่คล้ายกับความเชี่ยวชาญในหมัดและฝ่ามือเท่านั้น
[วิชาตัวเบาดั่งนางแอ่นเหิน: โฮสต์ฝึกฝนวิชาตัวเบามาหลายปี ทำให้โฮสต์ควบคุมร่างกายได้คล่องแคล่วมากขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของโฮสต์พลิ้วไหว]
พูดได้อย่างเดียวว่า ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย!
เสิ่นอี้ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง ตอนนี้เขาเข้าใจประโยชน์ของแผงระบบนี้แล้ว
ในการที่พัฒนาศาสตร์การต่อสู้ใหม่ สิ่งสำคัญกว่าเวลาคือการสะสม“วิชา”
การพึ่งพาอายุขัยเพียงอย่างเดียว มันเหมือนกับการเอาความหวังไปไว้กับแรงบันดาลใจที่เลือนราง
มีเพียงตัวเขาเองที่เรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้มากขึ้น เขาจึงจะสามารถผสมผสาน เรียนรู้จากสิ่งอื่น และสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สมองว่างเปล่า หรือการนั่งคิดอยู่เฉยๆ แล้วจะสำเร็จ
เช่นเดียวกับวิชาดาบโลหิตสังหาร มันรวมพลังจากวิชาโลหิตสังหารจากปีศาจ และวิชาวายุอัสนีพิชิตปีศาจ ผสมผสานกับวิชาดาบสุริยันสังหารปีศาจ มันจึงสามารถพัฒนาเส้นทางสู่ขอบเขตเริ่มต้นได้
“คนเราต้องรู้จักพอ”
การพัฒนาของเขาในคืนเดียว เมื่อเทียบกับคนทั่วไป ถ้าไม่มียาอันล้ำค่าหรือโชคช่วย พวกเขาอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง
เสินอี้ลุกขึ้นจากเตียง มองไปที่ตู้เสื้อผ้า ที่นั่นมีเสื้อผ้าที่หลินไป๋เว่ยซักตากให้เขา
เขาเอื้อมมือไปหยิบมันมา ถอดชั้นในออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบ ข้อบกพร่องเดียวคือ เนื่องจากความเกียจคร้าน เขาไม่ยอมเดินตรวจตราถนนด้วยตัวเอง ทำให้ผิวของเขาซีดขาวดูไม่แข็งแรง
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่ตากแดดให้มากขึ้นก็พอ
เสินอี้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาหันไปเห็นหญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่ประตูหลัง
"มีธุระอะไร?"
"เดินเล่นเฉยๆ"
หลินไป๋เว่ยถอนสายตาอย่างเสียดาย ลูบหน้าท้องอย่างคาดหวัง "เช้านี้มีอะไรกินไหม?"
"รอข้าสักครู่"
เสินอี้หันหลังกลับ ออกไปซื้อเจียนปิ่งสองชิ้นจากแผงลอย เมื่อนึกถึงศาสตร์การต่อสู้สองวิชาที่เขายังไม่ได้รับ เขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เพิ่มไข่… เท่าไหร่?”
(เจียนปิ่ง 煎饼 คือ เครปจีน รสชาติเค็มมัน ลูกผสมระหว่างขนมเบื้องญวนกับพิซซ่า เจียนปิ่งคือการเอาแป้งคล้ายๆ แป้งแพนเค้กไปทอดในกระทะ ใส่ไข่ ใส่ผัก ใส่แป้งทอดกรอบ)
ตามหลักแล้ว เขาเป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบที่เขามีนิสัยเสีย เขาไม่น่าจะขาดเงิน
วิธีหาเงินของร่างเก่านั้นมีมากมาย ถ้าเขาโหดร้ายสักหน่อยละก็...
“ใต้เท้าเสิน เจียนปิ่งสองชิ้นนี้ข้าน้อยไม่คิดเงิน ถ้าท่านชื่นชอบก็มาอุดหนุนข้าได้อีกขอรับ” พ่อค้าก้มหน้าตำนับพร้อมกับยื่นห่อเจียนปิ่งให้
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ไม่จำเป็น” เสินอี้ส่ายหน้า หยิบเหรียญทองแดงสิบเหรียญวางบนโต๊ะขายของ แลัวนำอาหารเช้ากลับบ้าน...
นำอาหารเช้าให้หลิวไป๋เว่ยเรียบร้อย เสินอี้เดินกินเจียนปิ่งขณะไปที่ศาลาว่าการจวนเจ้าเมือง แต่เมื่อเดินไปครึ่งทาง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขาเห็นทุกคนบนถนน ทั้งคนขายซาลาเปา คนขายผัก ทั้งหมดต่างก็มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อเขาหันกลับไปมอง พวกเขาก็รีบก้มหน้า แกล้งทำเป็นยุ่งกับงานของตัวเอง
“หลังจากนี้ เรื่องปีศาจร้ายใดๆ ในเขตเมืองไป๋อวิ๋น ต้องไปหาเขาคนเดียว”
“เขา? ใต้เท้าเสิน?”
“พูดอะไรเพ้อเจ้อแต่เช้าถ้ากลัวว่าลูกเมียเจ้าสวยเกินไป หรือเงินในกระเป๋าเยอะมากจนใช้ไม่หมด เขาก็พอจะช่วยเจ้าได้ แต่เรื่องปีศาจเนี้ยนะ... เฮอะ?”
“ชู่... เบาๆ หน่อย เจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้ ชานเมืองทางตะวันตกไม่มีปีศาจแล้ว ชาวนาสองคนจากหมู่บ้านพูดเอง ปีศาจเต็มภูเขาถูกตัดหัวส่งมาที่ศาลาว่าการ คนที่นำพวกมันมาคือใต้เท้าเสิน”
เสิ่นอี้ผู้อยู่ขอบเขตเริ่มต้นขั้นสมบูรณ์ เขาได้ยินเสียงนินทาที่ดังเหมือนเสียงยุงดังรอบตัวเขา
เขาเร่งฝีเท้า เดินเข้าไปในห้องทำงานของศาลาว่าการจวนเจ้าเมือง
สภาพภายในไม่ต่างจากเดิม เพียงแต่ดูโล่งกว่าปกติเล็กน้อย
ในลานกว้าง มีเจ้าหน้าที่เพียงสี่คน เฉินจี้กวาดพื้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ พี่น้องตระกูลหนิวยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองหน้ากันด้วยความงุนงง
เมื่อเห็นเสินอี้เข้ามา
จางต้าหูลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว เขาตะโกนว่า "ใต้เท้าเสิน ท่านมาสักที! ท่านต้องช่วยเรา!"
เขาวิ่งเข้ามา พลางร้องไห้ฟูมฟาย
“พวกเขาไม่ให้พวกเราเดินตรวจถนน แต่ให้ไปจัดการกับปีศาจอะไรก็ไม่รู้ ถนนสายสามทิศตะวันตกในเมืองมีแหล่งรายได้มากมาย นั่นคือสมบัติที่พวกเราสะสมมาอย่างยากลำบาก แต่หัวหน้าซ่งพูดคำเดียว ทำลายพวกเราทั้งหมดเลย!”
“ใต้เท้าเสิน ท่านคือคนโปรดท่านหลิวเตียนลี่ ไอ้เวรซ่งฉางเฟิงมันกล้าทำตัวกร่าง มันไม่ได้แค่ตบหน้าพวกเราอย่างเดียว มันเห็นได้ชัดๆ เลยว่า…”
เฉินจี้พลักจางต้าหูออกไปอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปหาเสินอี้ กระซิบเบาๆ ว่า "นี่เป็นความคิดของหลิวเตียนลี่"
ทั้งสี่คนที่อยู่ในห้อง 'บังเอิญ' เป็นคนที่ไปที่เกิดเหตุฆาตกรรมตระกูลหลิวเมื่อวานนี้
ความหมายของหลิวเตียนลี่ชัดเจนมาก
เขาไม่เพียงต้องการทำให้คนเหล่านี้ถูกกีดกัน แต่ยังต้องการให้พวกเขาตาย!
ให้คนอื่นเห็นจุดจบของการติดตามเสินอี้!
เจ้าไม่ใช่เก่งในเรื่องฆ่าปีศาจงั้นเหรอ?
งั้นก็ให้เจ้าฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมด!
ประกาศให้โลกรู้ซะเลย ยกย่องเจ้าให้สูงที่สุด แล้วคอยดูว่าเจ้าจะตกลงมาอย่างไร!
ถ้าเจ้าไม่กล้า เจ้าก็อยู่อย่างสงบๆ อย่ามาสร้างเรื่องสร้างราวอีก...
“เขารู้ว่าท่านเป็นคนฆ่าราชาปีศาจสุนัขขนเหลือง เขาเลยมาตอนช่วงดึก โวยวายอยู่พักใหญ่ แล้วก็ออกเดินทางก่อนฟ้าสาง เขาคงกลัวว่าจะเจอท่าน”
เฉินจี้ยิ้มอย่างขมขื่น
มันเห็นได้ชัดว่าความสามารถที่เสินอี้แสดงออกมานั้น ทำให้ท่านหลิวหวาดกลัวอย่างรุนแรง
แต่ความแข็งแกร่งเท่านี้ มันก็ยังไม่เพียงพอ…
แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่เชิญมาจากชิงโจว ผู้ที่มีพลังต่อสู้กับปีศาจสุนัขเหลืองได้ เขาก็ยังได้รับเงินเดือนเพียงหกร้อยเหรียญต่อเดือนเท่านั้น
เงินหกร้อยตำลึงสามารถฆ่าคนธรรมดาได้ แต่ถ้าโยนลงในน้ำขุ่นของเมืองไป่อวิ๋น มันไม่แม้แต่จะสร้างคลื่น
เพราะนอกจากปีศาจสุนัขแล้ว ยังมีปีศาจกินคนที่น่ากลัวยิ่งกว่าอยู่ชานเมือง
หากเกิดปัญหาขึ้นมา แม้จะส่งแผนกปราบปีศาจมา พวกเขาก็ต้องทำการยึดครองเมืองทั้งเมือง อพยพผู้คน แล้วค่อยๆ จัดการ มันอาจใช้เวลาสามถึงห้าปีในการกำจัดภัยคุกคามจากปีศาจเหล่านั้น
อย่าคิดว่าสามถึงห้าปีมันไม่นาน
สำหรับเจ้าเมืองและขุนนางคนอื่นๆ เท่ากับสิบปีที่ทำงานหนักสูญเปล่า อนาคตมืดมน และยากที่จะก้าวหน้า
ถึงแม้ว่าราชสำนักจะกำจัดภัยคุกคามจากปีศาจได้ และให้เขากลับมาดำรงตำแหน่งเดิม แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคืนก็คือเมืองที่ยากจน ประชากรลดน้อยลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับมันได้
หากไม่ใช่เพราะการขัดขวางการกำจัดปีศาจนั้นเป็นอาชญากรรมร้ายแรง และเสินอี้เองก็มีวิชาดาบที่เหนือชั้นละก็...
เกรงว่าเบื้องบนคงไม่อยากใช้แผนสกปรกแบบนี้ คงถอดตำแหน่ง หรือหาคนมาตัดหัวเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว
“ใต้เท้าเสิน” เฉินจี้มีสีหน้าซับซ้อน เขายังมีน้องสาวที่ต้องดูแล แต่กลับถูกเบื้องบนตีตราว่าเป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” กับเสินอี้ เรื่องนี้ทำให้จิตใจของเขาหนักอึ้ง
ตัวเขาเองยังรู้สึกแบบนี้ แล้วอีกฝ่ายที่เป็นเป้าหมายหลักที่ถูกโจมตีล่ะ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ:
“หลิวเดี่ยนลี่ฝากคำพูดไว้ให้ข้าก่อนเขาจากไป เขาบอกว่า ถ้าท่านคิดจะเปลี่ยนใจ ให้ถือสุราไปหาเขาที่นั่น… เขาบอกว่าท่านเจ้าเมืองสามารถให้คนอื่นหกร้อยเหรียญได้ แล้วของท่านเขาจะไม่ให้ได้อย่างไร……”