บทที่ 21 สังหารปีศาจแล้วกลับเมือง
บทที่ 21 สังหารปีศาจแล้วกลับเมือง
ตามการวิเคราะห์ของเสินอี้ "ตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ" ที่เขาฝึกฝนแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอน
ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตเริ่มต้นของการบ่มเพาะ
สามจุดเฉียวนับเป็นขั้นแรก ส่วนห้าจุดเฉียวของเขาคือขั้นกลางขอบเขตเริ่มต้น ซึ่งมันเกือบสองเท่าของราชาปีศาจสุนัขขนเหลือง
ทั้งๆ ที่เขาแข็งแกร่งกว่า แต่กลับต่อสู้ได้อย่างยากลำบาก
สาเหตุหลักก็คือ เขาไม่มีวิชาปีศาจแบบนั้นให้ใช้ เมื่อเผชิญกับการป้องกันที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย ชั่วขณะหนึ่งเขาถึงกับหมดปัญญา ทำได้เพียงใช้ความแข็งแกร่งและขอบเขตบ่มเพาะเข้ากดดันเท่านั้น
เสินอี้ถอนหายใจ แน่นอนว่าขอบเขตบ่มเพาะนั้นสำคัญ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือมีกลยุทธ์สองสามอย่างซ่อนอยู่
ศาสตร์การต่อสู้สามรูปแบบที่สืบทอดมาจากแผนกปราบปีศาจนั้น เริ่มจะเอาชนะปีศาจร้ายตัวจริงได้ยากขึ้นทุกที
เขาหันไปมอง ชาวบ้านเตรียมเกวียนสองคันไว้เรียบร้อยแล้ว ศพมีจำนวนมากและหนักเกินไป พวกเขาจึงตัดสินใจเอาเฉพาะศีรษะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสูงท่วมหัวเข่า
"แล้วเราจะทำอะไรกันต่อ?" เฉินจี้ถามด้วยความงุนงง
"กลับเมือง" เสินอี้เดินไปที่ลาแก่ที่วิ่งมาช้าๆ ตรงหัวมุมถนน แล้วขึ้นหลังลา
หลังจากเหตุการณ์นี้ เขาเริ่มคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน
การจะได้ชื่อเสียงและเข้าร่วมแผนกปราบปีศาจ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด
จวนเจ้าเมืองย่อมไม่นิ่งเฉย และปล่อยให้เขาทำลายแผนของพวกมันได้
ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นก็ต้องแยกทางกัน
.....
ยามเย็น เมืองไป๋อวิ๋น
พ่อค้าเร่ริมถนนเก็บของอย่างวุ่นวาย ทหารกลุ่มหนึ่งยืนเฝ้าประตูเมืองด้วยอาการง่วงเหงาหาวนอน
กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา ทหารหลายคนรีบปิดปากและจมูก พ่อค้าเร่ยืนตั้งตัวตรง มองไปที่ประตูเมืองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทันใดนั้น หัวสุนัขที่น่ากลัวมากมายก็ปรากฏต่อสายตา ทุกหัวมีหน้าตาที่น่ากลัว รอยยิ้มที่น่าสยดสยองเผยให้เห็นฟันซี่ใหญ่ ตาของพวกมันยังคงมีแววหวาดกลัว
"ปีศาจ...ปีศาจเข้าเมืองมาแล้ว!"
พ่อค้าเร่ทำช้อนหล่น รีบถอยหลังด้วยความตกใจ ล้มกลิ้งไปบนพื้น
ทหารรู้สึกตึงเครียดขึ้นทันที พวกเขารีบจับด้ามหอก
ชาวบ้านสองคนที่รับผิดชอบลากรถ เดิมทีเดินก้มหน้า หน้าตาเต็มไปด้วยความสงสัยและเขินอายที่ไม่ได้เข้าเมืองมานาน แต่เมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดของกลุ่มคนเหล่านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะยืดตัวขึ้น
"มองอะไรของพวกเจ้า ถึงพวกข้าจะกลัวปีศาจจนขาสั่น แต่กับศพพวกมัน ข้าไม่กลัวหรอ แถมรสชาติอร่อยจะตาย!"
เฉินจี้เดินเข้าเมืองอย่างช้าๆ สีหน้าสลับซับซ้อน
ด้านหลังเขา ลาแก่เคี้ยวหญ้าอย่างช้าๆ ชายหนุ่มรูปงามขี่ลา ดวงตาสงบนิ่ง แต่กลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาจากตัวเขาทำให้ทุกคนตัวสั่น
"เสิน...เสินอี้งั้นเหรอ?"
ทหารยืนถือหอก ตะลึงจนลืมกะพริบตา
พวกเขารู้จักใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ ยกเว้นใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสีหน้าและอารมณ์ของอีกฝ่ายนั้นแตกต่างจากอันธพาลคนเดิมอย่างสิ้นเชิง
"ไอ้ปีศาจบัดซบ ตายห่าไปแล้วยังมาหลอกหลอนข้าอีก!"
พ่อค้ารีบลุกขึ้นจากพื้นด้วยความอับอาย ตบเสื้อผ้าของเขา แอบบมองชายหนุ่มบนหลังลา แม้จะมองด้วยหางตา เขาก็อดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
ต้องฆ่าปีศาจมากแค่ไหน เสื้อผ้าถึงจะเปื้อนเลือดมากขนาดนี้
"ใต้เท้าผู้พิพากษาเสิน เชิญทางนี้!"
เขารีบหลีกทางให้ แต่ในใจกลับรู้สึกดีที่ได้เรื่องใหม่มาสนทนากันหลังกินข้าว
เมืองไป๋อวิ๋นแห่งนี้ ไม่เคยมีใครออกจากเมืองไปปราบปีศาจมานานแค่ไหนกันแล้ว?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการปราบแบบอลังการงานสร้างขนาดนี้!
"ตอนนี้ท่านทำให้จวนเจ้าเมืองโกรธแค้นกันหมดแล้ว"
เฉินจี้เห็นสีหน้าของทุกคนแล้ว อดไม่ได้ที่จะขมขื่น
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าใต้เท้าเสินที่ขึ้นชื่อเรื่อง "การประนีประนอม" ทำไมถึงได้ทำอะไรที่คึกคะนองแบบนี้
เสินอี้ก้มหน้าลงอย่างเย็นชา เขสพูดเสียงเรียบว่า "แล้วมีทางเลือกอื่นงั้นหรือ?"
"ท่านมีพลังที่สามารถสังหารปีศาจได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนทั้งเมืองรู้ ด้วยความสามารถของท่าน ยังมีอนาคตที่ดีรอ..."
พูดมาได้ถึงครึ่งประโยค เฉินจี้ก็นิ่งไป
เขาจำได้ว่า การตรวจตราของแผนกปราบปีศาจใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าเบื้องบนสามารถแสดงให้เห็นว่าเมืองไป๋อวิ๋นนั้นสงบสุข อนาคตของพวกเขาคงจะสดใส
แต่ตอนนี้พวกเขากลับสร้างความไม่พอใจให้กับพวกปีศาจ ถ้าถึงเวลาจำเป็นขึ้นมา ใครจะกล้ารับประกันว่าจวนเจ้าเมืองจะไม่ผลักเสินอี้ออกไปรับคมดาบ
หากรอให้ปีศาจวานรและปีศาจสุนัขขนเหลืองมาทวงคน เท่ากับเอาชีวิตและอนาคตเสินอี้ไปวางไว้บนมือขุนนางพวกนั้น
แทนที่จะรอคนพวกนั้นจัดการ มันดีกว่าที่จะสร้างชื่อเสียงให้คนทั้งเมืองรู้ว่าเสินอี้เป็นคนแบบไหน
ภายใต้การสืบสวนของแผนกปราบปีศาจ ใครจะกล้าพูดว่าตัวเองสามารถปิดปากเสียงเล่าลือของชาวเมืองกว่าหนึ่งแสนคนได้
นี่ไม่ใช่ความวู่วาม แต่มันคือผลลัพธ์ที่ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบ
"แค่ติดตามท่านสองวัน ข้าก็เกือบจะมีสมองขึ้นมาบ้างแล้ว"
เฉินจี้ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ยืดอก แสดงท่าทางหยิ่งยโส
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เมาสุราเซซวนออกมาจากโรงเตี๊ยมตรงหน้า เขาจงใจพาชาวบ้านสองคนไปทางนั้น ยกมือขึ้นฟาดด้วยฝักดาบ
“หลีกไป! อยากโดนแส้งั้นเหรอ!”
จางเผิงเทียนไม่เคยถูกใครทำถึงขนาดนี้ เขาเมาจนเซซวนและหันกลับมาเพื่อจะต่อยสวน “ไอ้เวรเอ๊ย! ไอ้หน้าไหนไม่มีตา...”
สายตาของเขามองไปที่เฉินจี้ ขณะกำลังจะชักดาบ แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นสายตาเย็นชาที่จ้องมองมาจากด้านบน
“เสิน... เสิน...”
ความกล้าที่จะรักษาหน้าตาต่อหน้าพี่น้องของเขา หายวับไปในพริบตาหลังจากเห็นหัวปีศาจสุนัขสองเกวียน โดยเฉพาะหัวสีเหลืองที่วางซ้อนกันอยู่บนยอด
จางเผิงเทียนลูบหน้าที่ถูกตี ถอยกลับไปด้วยความหวาดกลัว
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไอ้เวรนี่มันกลับมามีชีวิตได้ยังไง...ต้องรีบไปรายงานแก่หลิวเตียนลี่โดยเร็ว!
...
“เอาล่ะ พาพวกเขาสองคนไปที่ศาลาว่าการ จัดการเรื่องที่พักให้พวกเขา และหาอาหารอร่อยๆ ให้พวกเขากิน”
เมื่อออกจากถนน เสินอี้ล้วงหาเงินในกระเป๋า หยิบเหรียญเงินออกมาหนึ่งเหรียญแล้วโยนให้พวกเขา "ขอบคุณสำหรับความทุ่มเท มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง"
"ท่านมือปราบ อย่าสุภาพนักเลย!" ชาวบ้านสองคนเห็นความโหดเหี้ยมของเขาตอนสังหารปีศาจร้ายด้วยตาตัวเอง แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะอ่อนโยนในยามปกติ ทั้งสองรีบก้มหัวขอบคุณ
เฉินจี้คนเดียวที่จ้องมองเหรียญเงินด้วยความสงสัย ทำไมเขารู้สึกคุ้นเคย?
หลังจากบอกลาทุกคน
เสินอี้ลงจากลา ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ปิดบังความอ่อนเพลียในดวงตา เดินกลับบ้านอย่างช้าๆ
ต้องยอมรับว่านี่เป็นการต่อสู้ที่เขาใช้พลังมากที่สุด
ไม่ใช่แค่พลังทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงพลังแก่นแท้สวรรค์และปฐพีในจุดเฉียวที่แห้งเหือด ความรู้สึกนี้ราวกับตกจากสวรรค์ลงสู่โลกมนุษย์ ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้ ทำให้จิตใจของเขาหดหู่ลง
เขายืนนิ่งอยู่ใต้ชายคาของกระท่อม
เพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เสินอี้จึงยื่นมือเคาะประตู
ก่อนที่คนจะมาถึง เสียงของนางก็มาถึงก่อน
"กลับมาช้าจัง ท้องข้าร้องจนแทบตายแล้ว" แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนแรง แต่ก็ยังใสกังวานและไพเราะ
เมื่อได้ยินคำตอบ เสินอี้ก็เปิดประตูเข้าไป คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
เมื่อวานนี้ กระท่อมหลังนี้ยังสกปรกมาก แต่วันนี้กลับดูใหม่เอี่ยม สะอาดจนแทบจะไม่กล้าเหยียบ
หญิงสาวผู้นี้ปล่อยให้ผมเปียกหมาดๆ ไว้ด้านหลัง ใบหน้าที่ล้างสะอาดดูสวยงาม คิ้วและดวงตาของนางมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
นางสวมชุดสีดำ แม้ว่ามันจะหลวมไปสักหน่อย แต่ก็ทำให้นางดูสูงจริงๆ กางเกงหนาๆ ของนางเปียกไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเรียวขาและเท้าสีขาวที่อ่อนโยนคู่หนึ่งเหยียบลงบนพื้นโดยตรง
"ข้าซักเสื้อผ้าหมดแล้ว รวมถึงชุดสีดำของเจ้าด้วย ตอนนี้ข้าเอาเสื้อผ้าเก่าของเจ้ามาใส่ก่อนนะ"
หลินไป๋เว่ยพูดไป พลันเงยหน้าขึ้นมอง "เจ้าไปทำงาน หรือไปแช่อ่างเลือดมากันแน่?"
นางสูดจมูกเบาๆ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย "เลือดปีศาจ?"
เสินอี้ไม่ตอบ เพียงแค่ละสายตา หยิบห่อใบบัวออกมาจากอกเสื้อ โยนลงบนโต๊ะ "กินแก้หิวไปก่อน"
เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดต่อ หลินไป๋เวย์ก็หยุดถามอย่างชาญฉลาด นางนั่งลงที่โต๊ะอาหาร และเปิดใบบัวที่เปื้อนเลือดปีศาจด้วยความคาดหวัง
"อ๊ะ! มีเนื้อด้วย"
นางหยิบหมูเค็มชิ้นหนึ่งที่เปื้อนเลือด เช็ดมันเล็กน้อยแล้วกัดกิน "อร่อยจัง"
"ข้าบอกให้กินแก้หิวไปก่อน เจ้าเลือกที่มันสะอาดๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?" แม้แต่เสินอี้เองก็อดไม่ได้ที่จะเคาะศีรษะของนาง
"คนอย่างเจ้าที่ไม่เคยลำบากจะรู้อะไร ถ้าอยู่กลางป่า ไม่มีใครสนหรอกว่าเจ้าจะอดตายหรือเปล่า"
หลินไป๋เว่ยเคี้ยวโหรวเจียหมัว(แฮมเบอร์เกอร์จีน) อย่างเอร็ดอร่อย และยังไม่ลืมวิจารณ์ว่า "รสชาติดีจริงๆ"
"....."
เสินอี้พูดไม่ออก คำพูดนี้ฟังดูเหมือนว่าเขาเป็นลูกเศรษฐี แต่นางกลับเป็นคนที่โตมาจากข้างถนน