บทที่ 170 แม่นม
ฮองเฮามองฉินชิงแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
“หรือว่าชูเจาอี้คิดว่ายังสามารถเอาชนะแม่นมคนนี้ได้หรือ? เรื่องนี้ยังมีโอกาสหรือ?”
“เรื่องนี้ก็อยู่ที่ความพยายามเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าเรื่องยังไม่ถึงตอนจบก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพูดสิ่งที่เจ้าคิดออกมาได้หรือไม่? เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาก็น่าจะมีความคิดในใจแล้ว พูดมาเถอะ” ฮองเฮามองฉินชิงด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็นมาก
“ตราบใดที่เป็นคนและยังอยู่ในโลกนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่นนั้นก็ต้องมีจุดอ่อน แม้ว่าคำพูดของแม่นมจะปกป้องสนมโหลว แต่ตราบใดที่โจมตีจุดอ่อนได้ หม่อมฉันเชื่อว่าทุกคนจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง”
หากความรู้สึกไม่ได้รับการดูแล มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แล้วก็จะหายไปอย่างช้าๆ ความรู้สึกที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้ก็จะหายไปจนหมดสิ้น
วันนั้นแม่นมอาจจะยังรู้สึกซาบซึ้งที่สนมโหลวปล่อยนางในตอนนั้น แต่ถ้าต้องเลือกสิ่งที่สำคัญในชีวิต นางก็อาจจะไม่เลือกสนมโหลว
หม่อมฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้กว่าแปดส่วนที่นางจะเลือกสิ่งที่นางคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าแม้ว่าตอนนี้นางจะยังคงเป็นแม่นมข้างกายสนมโหลว นางอาจจะเลือกเรื่องที่สำคัญในหัวใจของนางมากกว่ามิตรภาพระหว่างนายบ่าวของนางกับสนมโหลว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางไม่ใช่คนของสนมโหลวแล้ว นางอยู่ที่สำนักซักล้าง และนั่นไม่ใช่ที่ของสนมโหลว
ถ้านางเห็นเงินสำคัญ เช่นนั้นก็เริ่มจากเงินทอง ถ้านางให้ความสำคัญกับคน เช่นนั้นก็เริ่มต้นจากคน หากนางให้ความสำคัญกับความรู้สึก เช่นนั้นพวกเราก็สามารถเริ่มต้นจากความรู้สึก
วิธีการย่อมไม่ได้มีแค่วิธีเดียว ตราบใดที่ค่อยๆ โจมตีแนวป้องกันทางจิตใจของแม่นมคนนั้นได้ เรื่องนี้ก็ไม่ยากแล้ว
พวกเรายังไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องให้บรรลุผลภายในวันสองวันนี้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป อย่างที่ว่าไว้ ตราบใดที่น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน เชือกเลื่อยไม้ทุกวันไม้ยังขาด"
หลังจากฮองเฮาได้ยินคำพูดของฉินชิง ก็มองพิจารณาฉินชิงราวกับได้รู้จักฉินชิงในมุมมองใหม่ๆ
เช่นเดียวกับสนมเยว่ สายตาของนางจับจ้องฉินชิงตลอด ดวงตาก็เบิกกว้าง ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่านางตาโตแค่ไหน
"ชูเจาอี้ ข้าไม่เคยเห็นด้านนี้ของเจ้าเลย วันนี้เหมือนได้รู้จักเจ้าเพิ่มขึ้น"
เมื่อฮองเฮาเห็นวิธีการพูดของฉินชิงและได้ยินสิ่งที่ฉินชิงพูดในวันนี้ ก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับที่แม่ของนางได้สอนไว้ว่าให้นางทำร้ายคนอื่นก่อนออกเรือน และวิธีที่ใช้ก็ค่อนข้างน่าตกใจ
สิ่งเหล่านี้เดิมทีฮองเฮาคิดว่ามันเป็นวิธีทำร้ายคน แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสามารถใช้เช่นนี้ได้ ไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะสามารถช่วยเหลือนางได้
"หม่อมฉันยังมีอีกหลายด้าน ฮองเฮาเพิ่งจะได้เห็นเพียงสองด้านก็ตกใจถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าได้เห็นด้านอื่นๆ ของหม่อมฉันในภายหน้าจะไม่ตกใจจนกรามค้างเลยหรือเพคะ" ฉินชิงพูดหยอกล้อฮองเฮา
หลังจากฮองเฮาเห็นฉินชิงทำหน้าทะเล้น ก็รู้สึกว่าฉินชิงมีหลายด้านจริงๆ
ส่วนสนมเยว่ที่เห็นฮองเฮาและฉินชิงสนิทสนมกันเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าจะมีข่าวลือมาตลอดว่าฉินชิงอยู่ข้างฮองเฮา แต่ตนก็ยังไม่เคยเห็นตอนที่ฮองเฮากับฉินชิงอยู่กันตามลำพัง จริงๆ แล้วก็ฟังมาเป็นหลัก
แต่ส่วนใหญ่แล้วยิ่งข่าวลือแพร่ออกไปมากเท่าไร ความน่าเชื่อถือก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีคนใส่สีเติมแต่งไปมากแค่ไหน ข้อเท็จจริงอาจถูกบิดเบือนจนไม่ใช่เรื่องจริง
แต่เมื่อได้เห็นวันนี้ก็รู้สึกว่าฮองเฮาและฉินชิงเป็นเช่นนี้จริงๆ
เห็นสนมเยว่เงียบอยู่นานฉินชิงจึงโบกมือตรงหน้าสนมเยว่แล้วพูดว่า
"กำลังคิดอะไรอยู่? หรือคิดว่าข้าพูดไม่ถูกหรือ?"
"ไม่ๆๆ ไม่ใช่เช่นนั้น ชูเจาอี้ หม่อมฉันคิดว่าที่ท่านพูดมาถูกต้องแล้วเพคะ" สนมเยว่เหมือนได้สติมาจากการครุ่นคิดเมื่อครู่ ปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก
"หรือคิดว่าวิธีการนี้มันสกปรกหรือ?" ฉินชิงเดินเข้าไปหาสนมเยว่ สนมเยว่ทำได้เพียงถอยห่างออกไปสามก้าว
"ไม่ๆๆ ไม่ใช่ ชูเจาอี้อย่าพูดอะไรเหลวไหล หม่อมฉันไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเพคะ"
"เช่นนั้นก็ดี ข้าก็จะถือว่าเจ้าเห็นด้วยแล้ว ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าวิธีนี้ไม่เลว เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้"
ฉินชิงเห็นว่าสนมเยว่ได้สติกลับมา เสียงพูดก็ติดๆ ขัดๆ จึงรู้สึกว่าน่าขำ ตนคงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นกระมัง
แต่ฉินชิงไม่ได้รู้จักสนมเยว่มากขนาดนั้น และรู้สึกว่าไม่ควรล้อเล่นกับนาง ดังนั้นจึงหยุดความคิดนั้นแล้วพูดต่อ
"เช่นนั้นรบกวนฮองเฮาและสนมเยว่ตรวจสอบสถานการณ์แม่นมคนนั้นด้วยนะเพคะ"
"ต้องการรายละเอียดด้านใดบ้าง?"
"อย่างเช่นแม่นมคนนี้มีครอบครัวกี่คน ในครอบครัวสู่ขอลูกสะใภ้จากตระกูลใดบ้าง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครัวหรือไม่ และต้องดูว่าแม่นมคนนี้มีลูกหรือไม่"
"แม่นมคนนี้อยู่ในวังมาเกินครึ่งชีวิตแล้วไม่ใช่หรือเพคะ? จะมีลูกได้อย่างไร?" สนมเยว่ได้ยินประโยคนี้ก็ถามอย่างไม่เข้าใจ
"สนมเยว่เจ้าไม่รู้อะไร แม้ว่าแม่นมในวังหลวงจะทำงานในวัง ไม่สามารถออกเรือนได้เกินครึ่งชีวิต แต่ก็เลือกที่จะรับเลี้ยงลูกชายลูกสาวจากพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง"
ถึงอย่างไรเวลานี้ก็ไม่มีใครอยากเห็นตัวเองไร้คนสืบทอด ถึงอย่างไรหลังจากตายไปแล้วก็ยังต้องมีลูกหลานไว้ทุกข์ให้ ต้องมีคนเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ตัวเอง
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่แม่นมในวังจะมีลูกเลี้ยงอยู่นอกวัง แต่ไม่รู้ว่าแม่นมที่เจ้าพูดถึงคนนั้นมีลูกเลี้ยงหรือไม่"
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะเพคะ" สนมเยว่มองฉินชิง ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
"แล้วยังมีสิ่งใดที่ต้องสืบอีกบ้าง? นอกจากเรื่องเมื่อครู่ที่ว่ามาแล้ว?"
"ยังจำเป็นต้องตรวจสอบความสัมพันธ์อื่นๆ ในวังหลวงของแม่นมคนนี้ สนมเยว่ก็รู้แล้วว่าตอนนั้นสนมโหลวทำอะไรในตำหนักบ้าง ขั้นตอนต่อไปก็ต้องสืบว่าแม่นมคนนี้สนิทกับใครในตำหนักของสนมโหลวเมื่อตอนนั้นบ้าง
รวมถึงหลังจากถูกไล่ออกจากตำหนักของสนมโหลวแล้ว ในสำนักซักล้างหรือวังหลังทั้งหมด แม่นมคนนี้ยังรู้จักใครอีก
และทุกคนที่รู้จักแม่นมคนนี้ ก็ต้องหาคนที่ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดออกมา"
"เรื่องนอกวังเกรงว่าพวกเจ้าสองคนคงไม่สะดวก ให้ข้าเป็นคนสืบเถอะ" ฮองเฮานึกถึงอำนาจของบ้านแม่ตัวเองที่อยู่นอกวัง ไม่นานก็น่าจะสืบได้
"ถ้าเป็นในวัง สนมเยว่สืบต่อไปได้หรือไม่?"
"ในเมื่อฮองเฮากล่าวเช่นนี้แล้ว หม่อมฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรเพคะ?" สนมเยว่ตอบรับอย่างสบายๆ
หลังจากทั้งสองคนตกลงหน้าที่กันแล้วก็มองไปที่ฉินชิง
"แล้วชูเจาอี้ทำอะไร? หรือว่าเจ้าไม่มีงานแล้ว?" ฮองเฮามองไปยังฉินชิงที่อยู่ด้านล่างแล้วกล่าว
ฉินชิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "หม่อมฉันก็ดูแลพระวรกายของฮองเฮาไม่ใช่หรือเพคะ?"
ฮองเฮามองฉินชิง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากหาข้อมูลเหล่านี้มาแล้วก็ยังต้องพึ่งฉินชิงให้พูดคุยกับแม่นมคนนั้น