ตอนที่แล้วบทที่ 16 สถานการณ์ปัจจุบันเมืองไป๋อวิ๋น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18 มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านวัดหลิวลี้

บทที่ 17 โศกนาฏกรรมของตระกูลหลิว


บทที่ 17 โศกนาฏกรรมของตระกูลหลิว

เมื่อออกจากจวนเจ้าเมือง

เสินอี้เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม สั่งสุราเหลืองหนึ่งกา และโหรวเจียหมัว(แฮมเบอร์เกอร์จีน) มาหกชิ้น

(สุราเหลืองคือเหล้าที่หมักจากข้าวไม่ผ่านการกลั่น)

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งเนื้อหมูเค็มเพิ่มอีกจาน

เมื่อเข้าสู่ขอบเขตเริ่มต้น ผู้ฝึกตนมักชอบอาหารที่มีพลังงานมากกว่าธัญพืชและถั่ว แต่ด้วยเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ของเสินอี้ มันไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้

แต่ยังไงก็ต้องกิน เขาทำได้เพียงพยายามควบคุมปากของตัวเองไว้ให้ได้

เสินอี้หาที่นั่ง เขาจิบเหล้าเหลืองและเนื้อหนึ่งชิ้น

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง โรงเตี๊ยมควรจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้กลับเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด

ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ใบหน้าของพวกเขาไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่มีความโกรธแค้น  ล้วนเป็นใบหน้าที่เฉยเมย

เสิ่นอี้ก้มหน้ากัดโหรวเจียหมัว

เขาเป็นแค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ ไม่สามารถช่วยบรรเทาทุกข์ของผู้คนได้ เขาทำได้แค่พยายามปีนออกจากโคลนตมนี้เท่านั้น

ลูกค้าสองสามโต๊ะกำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร ต่างพูดคุยกันน้อยมาก

ดังนั้น  ทั้งสองคนที่กำลังสนทนากัน แม้จะพยายามกดเสียงลงต่ำ แต่คำพูดของพวกเขาก็ยังคงลอยเข้าหูของเสินอี้อยู่ดี

"มีคนตายที่ถนนหลิวเย่"

"ข้ารู้ ข้าเพิ่งมาจากที่นั่น เจ้าอย่าพูดถึงมันเลย พูดแล้วข้ากินข้าวไม่ลง"

เสินอี้ยกกาสุราขึ้นดื่ม กลืนน้ำขมอมเปรี้ยวลงคอ ทำให้โหรวเจียหมัวที่ติดคอไหลลงกระเพาะ

ถนนหลิวเย่เป็นพื้นที่ที่เขาควบคุม พูดให้ชัดเจนก็คือ...เขาตื่นขึ้นมาที่นั่นเป็นครั้งแรก

แต่เสินอี้กลับไม่ได้รับข่าวอะไรเลย แม้แต่คนเดินผ่านไปผ่านมายังรู้มากกว่าเขาด้วยซ้ำ

เขาคิดถึงคำเตือนของซ่งฉางเฟิงก่อนเขาออกไป

เบื้องบนทำงานได้รวดเร็วมาก ในเวลาสั้นๆ พวกเขาสามารถปิดหูปิดตาเขาได้

"ได้ยินว่าถูกกัดตายใช่ไหม?"

"ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าพูด เจ้าจะกินข้าวไหม?...ข้าเป็นคนแรกที่ไปดูและเห็นมันด้วยตาตัวเอง แค่คิดแล้วข้าก็ยังรู้สึกขยะแขยง"

ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน

เสิ่นอีขมวดคิ้วนั่งมองโหรวเจียหมัวในมือ เขาไม่มีอารมณ์กินมันอีกต่อไป

เขาขอใบบัวมาห่อโหรวเจียหมัวและเนื้อหมูเค็มที่เหลือ ยื่นมือไปหยิบดาบประจำตัว "เสี่ยวเอ่อ คิดเงิน"

...

เมืองไป๋อวิ๋น ถนนหลิวเย่

เจ้าหน้าที่หลายคนเดินออกมาจากบ้านหลังเล็ก พวกเขาบีบจมูก "น่าขยะแขยงจริงๆ รู้งี้ข้าไม่มาจะดีกว่า"

"มันก็ไม่ใช่พื้นที่ของพวกเรา ทำไมต้องมายุ่งกับเรื่องนี้ก็ไม่รู้?"

"ท่านจาง ท่านต้องร้องขอต่อหัวหน้า ดูแลสองถนนเพิ่มไม่มีปัญหา ทว่าเงินเดือนควรขึ้นอีกหน่อย"

จางเผิงเทียนจ้องกลับไป "จะพูดมากไปทำไม? ถ้าเจ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ยังมีคนอื่นต้องการทำแทนเยอะแยะ"

เมื่อเขาหันกลับมา เขาก็ตกตะลึง

เขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา มีดาบอยู่ที่เอว มองไปที่บ้านหลังเล็กอย่างเงียบ ๆ

 

"ไอ้! ท่านเสิน!"

จางเผิงเทียนรีบกุมมือคำนับ "ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่?"

เสิ่นอีพยักหน้าตอบรับ เขาก้าวเข้าไปในลานทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายแซ่จางรีบยื่นมือไปขวาง ยิ้มอย่างประจบสอพลอ "ถ้าอยู่หน้าหอนางโลม ข้าจะอุ้มท่านเสินเข้าไปเอง แถมค่าใช้จ่ายทั้งหมดข้าจะรับผิดชอบ... แต่ตรงนี้คืองานราชการที่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ท่านไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ใช่หรือ?"

เสินอี้หันไปมอง

เมื่อสองวันก่อน เขาเองก็ยืนอยู่ตรงนี้ ทำท่าทางเหมือนกับอีกฝ่าย

"ท่านเสิน แม้ท่านจะไม่ให้เกียรติข้า แต่ท่านก็ควรให้เกียรติใต้เท้าเบื้องบน"

เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะถอย จางเผิงเทียนก็เก็บรอยยิ้ม "ข้าแซ่จางผู้นี้ขอพูดตรงนี้ ใครในเมืองไป๋อวิ๋นก็สามารถเข้าไปในลานนี้ได้ ยกเว้นท่านเสินคนเดียว"

ในอดีต พวกเขาเกรงกลัวเสินอี้ กลัวว่าจวนเจ้าเมืองจะให้ความสำคัญกับเขา

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้มีอำนาจกำลังเล่นงานคนแซ่เสิน หากไม่มี เบื้องหลังของจวนเจ้าเมือง อีกฝ่ายก็เป็นแค่เสือกระดาษ

"พี่น้อง ชักอาวุธให้ท่านเสินดู ให้เขาตื่นจากภวังค์"

จางเผิงเทียนโบกมือ ตามคำสั่งของเขา ลูกน้องหลายคนชักดาบออกมาจากฝักสามฉื่อ จ้องมาด้วยใบหน้าตึงเครียด

ในเสี้ยววินาที รองเท้าบูทของเจ้าหน้าที่ก็เตะเข้าที่ท้องน้อยของจางเผิงเทียนอย่างรุนแรง

ในชั่วพริบตา ขณะที่คนแซ่จางยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ลอยคว้างไปเหมือนกระสอบทราย

เสิ่นอี้ตบเสื้อผ้าเล็กน้อย แล้วเดินตรงเข้าไป

"เจ้า... เจ้าคิดจะกบฏ?!"

เจ้าหน้าที่ที่เหลือไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือ ชั่วครู่พวกเขาจับด้ามดาบ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ทันใดนั้น ที่ปลายถนน เฉินจี้พาพี่น้องตระกูลหนิวและจางต้าหูรีบวิ่งมาทันที

เมื่อมาถึงประตูบ้าน เฉินจี้ใช้ฝักดาบเคาะศีรษะจางต้าหู "เจ้าตาบอดหรือไง จำไม่ได้ว่านี่ถนนอะไร?  มัดพวกมันไว้!"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางต้าหูก็อึ้งไป

โดยทั่วไป ประโยคนี้เป็นสิ่งที่เขาชอบพูด เขามักใช้กับคนธรรมดา ไม่เคยใช้กับเพื่อนร่วมงาน

เฉินจี้ผู้นี้เคยดูถูกวิธีการพึ่งพาอำนาจข่มเหง แต่ทำไมวันนี้ เขาพูดจาโผงผางมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก

แม้จะมีความสงสัย แต่จางต้าหูและพี่น้องตระกูลหนิวก็ยังรีบพุ่งเข้าไป มัดเจ้าหน้าที่หลายคนไว้เหมือนกับะจ่าง

ไม่ว่าเสินอี้จะคิดอย่างไร แต่ต่อหน้าคนนอก พวกเขาที่เป็นลูกน้องไม่สามารถเสียหน้าได้!

"เป็นไปตามคาด..."

ขณะที่เฉินจี้กำลังลาดตระเวน เมื่อเขาได้ยินข่าวลือ เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง  จึงรีบพาคนมา

 

"เป็นไปตามคาดอะไรกัน? เจ้าทำเป็นอวดฉลาด ด้วยนิสัยของใต้เท้าเสิน เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะยอมให้คนอื่นมายุ่มย่ามในเขตของเขา" จางต้าหูถุยน้ำลาย

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินจี้เหลือบมองอีกฝ่าย รู้สึกว่าคำอธิบายนี้ฟังดูสมเหตุสมผล เดี๋ยวต้องให้จางต้าหูนำประโยคข้างต้นไปขอโทษเบื้องบนเองละกัน

สำหรับเหตุผลที่แท้จริง

เฉินจี้แม้จะไม่ค่อยเชื่อตัวเอง แต่เขายังรู้สึกว่า...อาจเป็นเพราะครอบครัวนี้ถูกปีศาจกัดตาย

จากการแสดงของเสินอี้ในหมู่บ้านวันนั้น ถ้าไม่ใช่การเสแสร้ง เขาจะต้องมาดูเองอย่างแน่นอน

...

ภายในลานบ้าน

เสินอี้ย่อตัวลง มองไปที่ศพเละเทะสองศพบนเสื่อที่รวบรวมมาอย่างยากลำบาก

เขาสูดลมหายใจลึกๆ  จัดเรียงนิ้วมือทั้งห้าของเด็กหญิงผอมแห้งอย่างระมัดระวัง

ก่อนหน้านี้ มือคู่นี้เองที่ล้างเท้าให้เขา แม้จะดูงุ่มง่าม แต่มันก็รู้สึกดีไม่ใช่น้อย

ตามธรรมเนียม หากถูกปีศาจทำร้าย สิ่งที่เหลืออยู่มักจะเป็นเศษซากบนพื้น แต่ปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้น แม้ว่าซากศพพ่อลูกตระกูลหลิวจะกระจัดกระจาย แต่ไม่มีร่องรอยของการถูกกัดกิน

นี่ไม่ใช่การล่าเหยื่อ แต่เป็นการสังหารอย่างโหดเหี้ยมเพื่อล้างแค้น!

เหมือนกับปีศาจสุนัขขนเหลืองที่ชื่อหวงลิ่ว  ปีศาจเองก็มีญาติมิตร หากมีใครรู้ว่าปีศาจสุนัขขนดำไปที่ไหนในคืนนั้น พวกมันอาจเดาไม่ได้ว่าใครเป็นคนลงมือ... แต่พวกมันไม่ต้องการหลักฐานในการแก้แค้น เพียงแค่ต้องการระบายความโกรธเท่านั้น

"ทำไม? นี่คือญาติของเจ้าเหรอไง?"

จางเผิงเทียนที่ถูกเตะจนตัวสั่นพยายามเงยหน้าขึ้น "เจ้ากล้าตีข้า...ไอ้สารเลว... เจ้าดูแล้วเจ้าจะทำอะไรได้?  ถ้าเจ้ามีปัญญา เจ้าก็ไปหาท่านเจ้าเมือง ไปหาปีศาจที่อยู่นอกเมืองสิ?"

"ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปีศาจสุนัข ปัญหาคือเจ้าหาได้ไหมว่าตัวไหนเป็นคนทำ? ต่อให้เจ้าหาเจอ เจ้าจะทำอะไรกับมันได้?"

เสียงดังก้องอยู่ในหู ทำให้เสินอี้รู้สึกหงุดหงิดใจ

เขาดึงผ้าขาวปิดศพสองศพไว้

เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ  ไม่สามารถเรียกแผนกปราบปีศาจมาได้ สั่งทหารรักษาเมืองไม่ได้ สุดท้ายก็เรียกใช้ได้แค่ลูกน้องของเขาเท่านั้น

สิ่งเดียวที่เสินอี้พึ่งพาได้ คือดาบในมือ

หาตัวคนร้ายไม่เจอ งั้นก็ไม่ต้องหามัน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด