บทที่ 16 ถอนรากถอนโคน
“ไม่พอใจงั้นหรือ”
เฉิงเจี๋ยเยาะเย้ยอย่างไม่เกรงกลัวแม้ระดับพลังยุทธของตนแทบจะไม่สามารถเทียบเคียงคนทั้งสี่ได้ เนื่องจากพรสวรรค์ในการกลั่นลมปราณที่อยู่ขั้นกลางและได้มาเพราะอาศัยยาเม็ดในการฝึกปรือเท่านั้น จึงทำให้การรับรู้ถึงพลังผู้อื่นด้อยกว่าผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกัน
“นายน้อย ดูเหมือนพวกมันจะไม่ธรรมดาเลย…” ผู้ติดตามกระซิบเตือนเขาอย่างระมัดระวัง เสียดายที่เขาไม่สามารถหยั่งเห็นถึงระดับการฝึกปรือของฉินจวินและคนอื่นๆ ได้ นอกจากรู้สึกว่าแรงกดดันของอีกฝ่ายแปลกกว่าผู้ใดที่เคยเจอเท่านั้น
“แตะต้องไม่ได้เลยงั้นหรือ ยังมีผู้ใดในเมืองชิงถานที่ข้าไม่สามารถยุ่งได้อีก” เฉิงเจี๋ยยิ้มอย่างลำพอง ไม่ใช่ว่าเขาไร้สมอง แต่สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งหมด
ปัจจุบันเมืองชิงถานอาจกล่าวได้ว่าถูกตระกูลเฉิงมีอิทธิพลเหนือกว่าเจ้าเมืองตระกูลเฉินเสียด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่เจ้าเมืองยังต้องอดทน นับประสาอะไรกับตระกูลเล็กอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวที่เขาทำในตอนนี้แสดงถึงทัศนคติของคนตระกูลเฉิงได้เป็นอย่างดี เพราะเฉิงจ้านหวังใช้ความโอหังจากลูกชายเสริมอำนาจบารมีให้แก่ตระกูลเฉิงในเมืองชิงถาน
ในอาณาจักรเฉียนเยว่ ความยุติธรรมไม่มีความสำคัญกับโลกนี้และผู้มีอำนาจก็ไม่ค่อยคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนจนเป็นเรื่องปกติ
“เสียงดังหนวกหูเสียจริง!”
ฉางห่าวหัวเราะเยาะพร้อมคำพูดถากถาง ถึงตอนนี้เขาจะตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ไม่ต่างจากขยะ แต่ที่นิกายเขาถือเป็นผู้เก่งกาจสุด ในสายตาของนิกายซวนหลิง เมืองชิงถานก็ไม่ต่างกับมดปลวกแล้วนับประสาอะไรกับตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเฉิง
เขาเดินตรงดิ่งเข้าหาเฉิงเจี๋ยทันทีอย่างตั้งใจจะระบายความรู้สึกถูกกดขี่จากฉินจวินที่มอบให้เขาจนทุกวันนี้
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อเฉิงเจี๋ยเห็นฉางห่าวยังคงเดินเข้าหาเขาด้วยท่าทีสงบไม่มีหวาดกลัว ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำพร้อมปะทะเช่นกัน ทันทีหลังจากนั้น หมัดขวาของเขาก็พุ่งตรงไปยังใบหน้าฉางห่าวด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี
แม้เป็นแค่หมัดธรรมดา แต่มันก็เร็วมากจนคนธรรมดาทั่วไปแทบไม่มีเวลาจะหลบเลี่ยง
บนใบหน้าฉางห่าวยังคงปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม ก่อนยกกำปั้นขึ้นสู้กับเขาโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลารอนาน
ผัวะ!
หมัดต่อหมัดพุ่งใส่กันไม่ยั้ง ได้ยินเพียงเสียงกระดูกกระทบใส่กันก่อนตามมาด้วยเสียงหักของซี่โครงบางชิ้น ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นถึงกับรู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อ๊า…!!!”
เฉิงเจี๋ยกรีดร้องขณะถูกต่อยจนล้มลงไปกองกับพื้นต่อหน้าผู้คนนับสิบ ทำให้เหล่าแขกและเสี่ยวเอ้อร์ทุกคนในโรงเตี๊ยมถอยหลบด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ขณะที่ฉางห่าวยังคงยืนอยู่ตรงนั่นกับสีหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
“อ่อนแอขนาดนี้ ยังกล้าทำตัวอวดดีอีก”
ฉางห่าวเอ่ยขึ้นพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งจากการได้ปลดปล่อย ทำให้บรรดาแขกคนอื่นๆ ในโถงอาหารต่างปรบมือกันสนั่นทั่วต่อฉากที่ไม่เคยปรากฏ ณ เมืองชิงถาน
“ทำได้ดีมาก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่พอใจคนตระกูลเฉิงมานานแล้ว”
“ชู่ หุบปากไว้ อย่าให้คนตระกูลนี้ได้ยินเชียว”
“ใช่แล้ว ตระกูลเฉิงทำได้ทุกอย่าง”
บทสนทนาของบรรดาแขกในโรงเตี๊ยมก็เหมือนมีดปักเข้ากลางใจเฉิงเจี๋ย ทำให้เขาได้รับความเจ็บแสบจากคำประณามพวกนั้นยิ่งขึ้นจนแทบกระอักเลือด
แม้แต่อีกมุมของโถง ชายหนุ่มชุดขาวที่ยังนั่งท่าเดิมเปลี่ยนมองฉางห่าวด้วยท่าทีประหลาดใจก่อนพึมพำเบาๆ “ระดับที่เก้าของอาณาจักรกลั่นลมปราณ น่าสนใจจริงๆ”
ส่วนฉินจวินคงนั่งเฉยตักมื้อเช้าตรงหน้าเข้าปากปกติ วางท่าทีไม่สนใจการต่อสู้ระหว่างฉางห่าวกับเฉิงเจี๋ยราวเหตุกาณ์ด้านหน้าเพียงหมาแมวทะเลาะกันเท่านั้น
“ยอดมากพี่ใหญ่”
ฉางเฉียนเฉียนส่งเสียงปรบมือให้กำลังใจ ตอนนี้ ภาพลักษณ์ศิษย์พี่ใหญ่ของนางกลับมาน่านับถืออีกครั้งแล้ว
ต้าจี๋ยกมือทั้งสองกุมแก้มเนียนตนพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ศิษย์น้องฉางห่าวก็มีด้านที่แข็งแกร่งเช่นกันนะเนี้ย”
(╬ಠ益ಠ)
ฉินจวินได้ยินอย่างนั้นถึงกับหันขวับมองนางด้วยนัยน์ตาร้อนผ่าว เพียงเพราะห่วงใยน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์ของนางที่เอ่ยขึ้นโดยไม่ระแวดระวังอาจทำให้ผู้บังเอิญได้ฟังกระทำการชั่วได้ง่ายๆ ก็เท่านั้น ไม่ได้คิดริษยาใครเลย
“ฆ่ามันซ่ะ!”
เฉิงเจี๋ยคำรามพร้อมหันไปสั่งผู้ติดตามด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ จากความคับแค้นร่วมกับแขนขวาที่หัก ความเจ็บปวดจึงส่งผลทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อร้อนพร้อมความเกลียดชังในดวงตาที่ช่างหนาวเหน็บ
ด้วยคำสั่ง ผู้ติดตามของเขาจึงปรี่เข้าหาฉางห่าวทันที
โดยทั่วไปแล้วระดับพลังยุทธ์ของผู้ติดตามพวกนี้ก็แค่ระดับสามของอาณาจักรกลั่นลมปราณเท่านั้น แต่เนื่องจากฉางห่าวได้รับบาดเจ็บ พลังการต่อสู้ของเขาจึงไปถึงได้เพียงระดับที่หกของอาณาจักรกลั่นลมปราณเท่านั้น แม้อย่างนั้นเขาก็ยังยืนหยัดและไม่หวั่นที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งสิบสองคนอย่างวิถีลูกผู้ชายที่พึงปฎิบัติกัน
“รีบกินเถอะ เราจะได้ออกเดินทางกันเสียที!”
ฉินจวินจ้องมองฉางเฉียนเฉียนพร้อมกัดฟันเรียกด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน แต่นางกลับกลอกตาใส่เขาแทนคำพูดและสื่อถึงอารมณ์ที่มีต่อเขาตอนนี้ที่สุด
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจฉางห่าวก็ล้มผู้ติดตามของเฉิงเจี๋ยทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาทำให้บรรดาแขกในโรงเตี๊ยมต่างชื่นชมเขาเป็นเสียงเดียว
“เจ้าหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งมาก ต้องเป็นศิษย์อัฉริยะนิกายไหนสักที่แน่”
“ตอนนี้ เขาจัดการตระกูลเฉิงได้ราบคาบ”
“ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่คนเมืองชิงถานนะ”
“น่าทึ่งจริงๆ คนของเฉิงเจี๋ยล้วนเป็นผู้บ่มเพาะระดับสามของอาณาจักรกลั่นลมปราณ แต่กลับเทียบไม่ได้กับเจ้าหนุ่มคนนี้เลย”
พอได้ยินผู้คนรอบตัวเรียกตนว่าอัจฉริยะหนุ่ม ฉางห่าวก็หัวเราะออกมาอย่างเริงร่าด้วยสีหน้าภูมิใจเป็นที่สุด เหล่าบรรดาแขกผู้หญิงหลายคนต่างมองข้ามฉินจวินพุ่งความสนใจไปที่เขาคนเดียวจนทำให้อารมณ์ที่เคยสงบและมั่นคงของฉินจวินขุ่นลง
(╬゚◥益◤゚)
“กินข้าวเถอะ!” ฉินจวินกระแทกเสียงดังขึ้นทำให้ฉางห่าวที่ได้ยินเสียงแทรกนั้นถึงกับชะงักนิ่ง หน้าที่กำลังชื่นมื่นกลับเป็นอึดอัดอีกครั้งก่อนเขาตัดสินใจเดินกลับโต๊ะและนั่งลงอย่างจำทน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เฉิงเจี๋ยกัดฟันพร้อมก่นด่า ก่อนจำใจหันหลังกลับแล้วจากไปโดยไม่สนใจผู้ติดตามที่นอนกองอยู่กับพื้น
“ติ๊ง! ปลดล็อคภารกิจเสริม - ถอนรากถอนโคน!”
“รายละเอียดภารกิจ: สังหารเฉิงเจี๋ยรางวัลห้าร้อยคะแนนประสบการณ์ สังหารเฉิงจ้านรางวัลแปดร้อยคะแนนประสบการณ์ ทำลายตระกูลเฉิงรางวัลสองพันคะแนนประสบการณ์และโอกาสในการสืบทอดทักษะ”
เสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นกะทันหัน ทำฉินจวินถึงกับตะลึงที่ได้ยินเช่นนั้น เรื่องวิวาทกันแค่นี้สามารถกระตุ้นภารกิจเสริมได้ด้วยหรือ
ในความคิดของเขา แม้เฉิงเจี๋ยจะหยิ่งยโสและมักทำตัวรนหาที่ตาย แต่เขาก็ไม่สมควรถูกตัดสินประหารชีวิตไม่ใช่หรือ
แล้วไหนจะคนทั้งตระกูลเฉิงอีก
เมื่อคิดถึงสิ่งอยุติธรรมนี้ ฉินจวินก็รู้สึกไม่สบายใจทันที เขาไม่ต้องการคำแนะนำจากระบบตำนานที่กำลังจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนบ้าคลั่งสังหารคนไปทั่วหรอกนะ
“ภารกิจทั้งหมดจากระบบล้วนถูกกำหนดให้มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของโฮสต์ ภารกิจหลักประการแรกคือการทำให้โฮสต์เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฉียนเยว่ ดังนั้น ระบบจึงถูกตั้งค่าให้เมืองชิงถานเป็นขอบเขตอิทธิพลของโฮสต์เพื่อเริ่มต้นการทดสอบ ตระกูลเฉิงล้วนกระทำเรื่องเลวร้ายได้ทุกอย่างจนผู้คนที่นี่ให้ความเกลียดชังและหวาดกลัว”
“และตอนนี้เฉิงเจี๋ยก็มีความแค้นต่อโฮสต์ไปแล้ว ไม่นานเขาจะกลับมากับผู้ที่แข็งแกร่งพร้อมจัดการโฮสต์อย่างแน่นอน ซึ่งนั้นอาจถึงขั้นเป็นผู้นำของตระกูลเฉิงเอง”
“ยังไงเสีย…โฮสต์ก็จะต้องกำจัดพวกเขา ไม่ว่าจะเพื่อประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ตาม”
แม้น้ำเสียงของระบบจะเย็นชาจนดูไร้จิตใจ แต่มันก็ทำให้ฉินจวินรู้สึกดีขึ้นก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มพร้อมความคิดอันชั่วร้าย “ตระกูลเฉิงนะตระกูลเฉิง ทำสิ่งใดไว้ฟ้าดินย่อมเห็นอยู่เสมอ อย่าคิดว่ามีอำนาจในเมืองชิงถานแล้วข้าจะไม่สามารถกระทำการอะไรได้ ประมาทเลินเล่อ...”
หลังระบบได้อธิบายทุกอย่างให้ฉินจวินเข้าใจแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกคับข้องใจใดๆ อีกต่อไป แค่เรื่องราวจากบทสนทนาของบรรดาแขกที่อยู่รอบๆ ขณะที่ฉางห่าวกับเฉิงเจี๋ยต่อสู้กันในตอนนั้นมันก็พอจะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว ช่างมีชื่อเสียงที่ไม่ดีเสียจริง…
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็กำจัดมันซะ!
พอเห็นฉินจวินหัวเราะขึ้นกะทันหัน ฉางเฉียนเฉียนก็เบะปากทั้งที่ยังงงก่อนเอ่ยถาม “เจ้าไปทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองงั้นหรือ”
ต้าจี๋กับฉางห่าวหันมองเพราะต่างก็อยากรู้โดยไม่สนใจคำขู่ของเฉิงเจี๋ยที่เอ่ยก่อนหน้านั้น
ฉินจวินเล่าสั้นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทั้งสามฟังจนเข้าใจถึงเหตุผลที่เขามาให้วันนี้ พอฉางเฉียนเฉียนได้รู้ก็ถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “พวกที่ชอบข่มเหงคนดีแล้วหวาดกลัวความชั่ว ควรถูกทุบตีจริงๆ”
“หากข้ารู้แต่แรก คงได้หักแขนเขาพิการไปแล้ว” ฉางห่าวกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะอย่างครึ้มอกครึ้มใจอีกครั้ง
จะเสแสร้งไปไหน… ╏ , ͡° ╭ ͟ʖ╮ ͡° , ╏
ฉินจวินบ่นในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา
ไม่นาน พวกเขาก็กินมื้อเช้าเสร็จ หลังฉางห่าวจ่ายเงินแล้วกลุ่มคนทั้งห้าก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมเตรียมเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
พอพ้นจากประตูโรงเตี๊ยม สิ่งที่ทำให้ฉินจวินรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง คือชายหนุ่มในชุดขาวที่เลือกเดินตามพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมเช่นกัน แม้จะเดินไปอีกคนละฝั่งทางแต่ฉินจวินก็ยังรู้สึกอยู่เสมอว่าเขากำลังพุ่งเป้ามายังกลุ่มของเขาชัดเจน
“ประตูเมืองไปทางนั้น”
ฉางเฉียนเฉียนดึงแขนเสื้อของฉินจวินแล้วเตือนเขาที่กำลังเดินไปผิดทาง เขาส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มที่นางเองก็เดาไม่ถูกว่าจะสื่ออะไร “จะรีบออกจากเมืองตอนนี้ไปไย ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ”
“อะไรงั้นหรือ”
ต้าจี๋กับฉางห่าวมองไปที่ฉินจวินด้วยความสับสนสงสัย
“สังหารเฉิงเจี๋ย และกำจัดคนตระกูลเฉิงให้สิ้นซาก!”
ฉินจวินยิ้มเยาะไม่ต่างอะไรกับตัวร้ายสุดหล่อในละคร เวลาเดียวกัน เขาก็คิดแผนการรบด้วยต้าจี๋กับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ แน่นอนว่าเขาสามารถกระทำการโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดก็ได้ แต่เป้าหมายของเขาคือบัลลังก์ โดยใช้ตระกูลเฉิงเป็นบันไดก้าวสู่อำนาจ