บทที่ 15 จุดเฉียวทั้งสิบสองของขอบเขตเริ่มต้น
บทที่ 15 จุดเฉียวทั้งสิบสองของขอบเขตเริ่มต้น
เมื่อเทียบกับสวรรค์และปฐพีอันกว้างใหญ่ ร่างกายของมนุษย์ช่างเล็กจ้อยนัก
แม้จะใช้เพียงเศษเสี้ยวแก่นแท้ ก็เพียงพอที่จะหยิ่งยโสโลกมนุษย์ได้
เนื้อหาในตอนต้นของ "ตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ" จริงๆแล้วก็คือการใช้แก่นแท้ของยาเพื่อชำระล้างร่างกาย ทำให้ร่างกายของมนุษย์ค่อยๆ คุ้นเคยกับพลังแก่นแท้จากสวรรค์และปฐพี จึงจะมีคุณสมบัติรองรับพลังแก่นแท้เหล่านั้นได้
แต่ตอนนี้เสินอี้ผ่านพ้นช่วงนั้นมาแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการฝึกฝนอย่างหนัก ใช้เวลาสะสมพลังเพื่อเติมเต็มจุดเฉียวทั้งสิบสอง
(窍 เฉียวคือจุดหรือรูทวาร ขออนุญาตทับศัพท์ไปเลยนะครับ)
หากปราศจากความช่วยเหลือจากยาอันล้ำค่า กระบวนการนี้จะช้ามาก
แต่สิ่งเดียวที่เสินอี้ไม่ขาดแคลนคือเวลา...
【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: เจ็ดสิบหกปี】
【ขอบเขตเริ่มต้น: ตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ (ยังไม่บรรลุ)】
【ห้าปีผ่านไป โฮสต์ใช้พลังแก่นแท้จากสวรรค์และปฐพีเพื่อฟื้นฟูร่างกายของโฮสต์ และกำจัดโรคร้ายที่ตกค้างมาหลายปี】
【ปีที่สิบห้า ด้วยความที่มีจิตใจสงบ โฮสต์จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ในการฝึกฝน และสามารถเติมเต็มจุดเฉียวแรกได้สำเร็จ】
【ปีที่สามสิบห้า สามจุดเฉียวถูกเติมเต็ม โฮสต์เริ่มเข้าใจตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจและถูกนำมาใช้ได้แล้ว】
【ปีที่สามสิบแปด ความคืบหน้าของโฮสต์ช้าลง หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด โฮสต์พบว่าเป็นเพราะพลังงานแก่นแท้ที่เก็บไว้ในจุดเฉียวนั้นปนเปื้อนด้วยกลิ่นอายของโฮสต์ ซึ่งจะขัดแย้งกับพลังแก่นแท้จากสวรรค์และปฐพีที่บริสุทธิ์】
【เรื่องนี้ไม่มีวิธีแก้ไข มีเพียงต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างใจเย็นเท่านั้น】
【ปีที่หกสิบห้า โฮสต์เติมเต็มจุดเฉียวได้ห้าจุด เหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะสำเร็จขั้นต้นของตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ】
【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: หนึ่งปี】
【อายุขัยของโฮสต์ที่เหลืออยู่: สี่สิบหกปี】
……
นี่เป็นครั้งแรกที่อายุขัยของเขาเองยาวนานกว่าอายุขัยของปีศาจ
เสินอี้นั่งอยู่บนบันไดหิน หลับตาสัมผัสกับโลกใหม่
ความสุขของเขาไม่ได้มาจากอายุขัยที่เพิ่มขึ้นอีกยี่สิบห้าปี แต่มาจากภายในร่างกายของเขา
พลังอันเปี่ยมล้นจากห้าจุดเฉียว ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างช้าๆ เปรียบเสมือนน้ำอมฤตจากสระบัว มันทั้งหอมหวานและมึนเมา
เสินอี้เงยหน้าขึ้น มองดูท้องฟ้าสีคราม
เขายกมือขึ้น งอนิ้วเล็กน้อย
หมอกสีขาวลอยขึ้นมาบนปลายนิ้ว มีสีแดงระเรื่ออยู่ภายใน
นี่เป็นผลมาจากตำราวายุอัสนีพิชิตปีศาจ เนื่องจากเป็นวิธีการที่บีบเค้นร่างกายเพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง ใช้ทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจแปลงพลังงานเลือดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังแก่นแท้จากสวรรค์และปฐพีที่บริสุทธิ์นั้นปนเปื้อนไปด้วยพลังงานเลือด
เสินอี้ในตอนนี้ เพียงเขาฟันดาบเพียงครั้งเดียว มันก็เหนือกว่าตอนที่ใช้ทักษะดาบสุริยันสังหารปีศาจเมื่อวานอย่างมาก
และเขาไม่ต้องสูญเสียพลังงานจากตัวเขาเองอีกต่อไป แต่ดึงพลังจากจุดเฉียวแทน
เขาอยู่ในขอบเขตเริ่มต้นแล้ว ต่อจากนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะดาบหยาบๆ ที่บรรลุขอบเขต ซึ่งทำได้แค่หลุดพ้นจากกรอบของมนุษย์ชั่วคราว
เสินอี้ลุกขึ้นจากพื้น เดินออกจากตรอก รู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขาเบาสบาย ราวกับว่าเขาสามารถเหินบินขึ้นฟ้าได้
“รู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่บนฟ้า…”
เขาสงบสติอารมณ์ การได้รับความแข็งแกร่งอันทรงพลังเช่นนี้ในทันใด ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน
ตอนนี้เขาเกี่ยวข้องกับปีศาจทั้งสามฝ่าย พูดได้ว่าเต็มปากว่ามันโคตรอันตราย
โชคดีที่ได้อายุขัยเพิ่มอีกสี่สิบกว่าปี เขาไม่ต้องการเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์
แน่นอนว่าหากพวกมันกล้าปรากฏตัวต่อหน้า เสินอี้ก็ไม่รังเกียจที่จะลองความแข็งแกร่งของพลังในร่างกายนี้
เหลืออายุขัยของปีศาจเพียงหนึ่งปีเท่านั้น จริงๆแล้วมันทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเลย...
……
ห้องแผนกมือปราบจวนเจ้าเมือง
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว
เจ้าหน้าที่หกคนยืนนิ่งอยู่ภายในลาน มองไปที่ประตูห้องที่ถูกทำลายด้วยความตกตะลึง
หัวหน้าแผนกซ่งนั่งอยู่ข้างในตั้งแต่เช้า หน้าผากของเขาพันด้วยผ้าพันแผล สีหน้าดูเคร่งเครียด เขาไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เฉินจี้แอบมองไปที่พื้น
มีสองร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว พวกเขาคือคนที่มาหาเสินอี้เมื่อวานนี้ ตอนนี้กลิ่นเหม็นเริ่มคลุ้งไปทั่ว แสดงให้เห็นว่าพวกเขาตายแล้ว
ปกติแล้ว เหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเสินอี้ไม่ได้กลัวหัวหน้าซ่ง แค่ทำตามหน้าที่ให้ครบถ้วนเท่านั้น
แต่ตอนนี้มีคนตาย
อีกด้านหนึ่ง เหล่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นยืนกอดอก มองด้วยท่าทางหยิ่งยโส
พวกนี้มากับหัวหน้าซ่ง ชัดเจนว่าไม่ใช่มาดี
โดยปกติแล้ว ไม่มีเหตุผลที่หน่วยอื่นจะเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุได้เร็วกว่าพวกเขา แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินจี้รู้สึกไม่สบายใจที่สุดคือ เสินอี้ยังไม่ปรากฏตัว
“......”
ทันใดนั้น ร่างสูงโปร่งก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาในลาน
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เขา
หลังจากเห็นหน้าของผู้มาเยือน เหล่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นก็เก็บสีหน้าท่าทางไว้ทันที มือทั้งสองข้างก็แตะไปที่ดาบที่เอว
หัวหน้าซ่งเปลี่ยนจากนิสัยเดิม? เขาเรียกเหล่าเจ้าหน้าที่ชั้นยอดจากทุกหน่วยมาตั้งแต่เช้าตรู่
นี่แสดงให้เห็นว่าท่าทีของห้วหน้าแผนกมือปราบเปลี่ยนไป คนแซ่เสินคงไม่มีโอกาสได้กร่างอีกแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขา ลูกน้องของเสินอี้ต่างก็เปลี่ยนสีหน้า มีเพียงเฉินจี้ที่ขมวดคิ้ว จับด้ามดาบแน่นโดยไม่พูดอะไร
ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด
ซ่งฉางเฟิงลากร่างที่บาดเจ็บลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินทีละก้าว เดินออกจากประตูห้อง
เขายืนพิงหน้าประตู ยิ้มอย่างยากลำบากถามว่า "มาแล้วหรือ?"
เสินอี้พยักหน้า "อืม"
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมชายชราผู้น่าสงสารคนนี้ไม่พักอยู่บ้าน แต่เขารู้วิธีจัดการกับลูกน้องที่ตาย มันช่วยประหยัดคำพูดของเขามากจริงๆ
"ข้าคิดว่าเจ้าจะมาตอนบ่าย" ซ่งฉางเฟิงยื่นมือไป 'เชิญ'
"ที่บ้านมีหนูรบกวน เลยนอนไม่หลับ ข้าเลยตื่นเช้าหน่อย" เสินอี้เดินเข้าไปในห้องตามคำเชิญ เขานั่งลงบนที่ของเขา และเงยหน้าขึ้นถามว่า "มีธุระอะไร?"
เมื่อได้เห็นฉากนี้ กลุ่มคนข้างนอกมองหน้ากันเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นท่าที 'เชิญ' ของหัวหน้าซ่ง
เมื่อมองไปที่ห้อง ใต้เท้าเสินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ซ่งฉางเฟิงยืนอยู่ข้างๆ ค้อมเอว มือที่จับดาบของพวกเขาเลยคลายลงโดยไม่รู้ตัว
ซ่งฉางเฟิงกลัวเสินอี้ นี่ไม่ใช่ข่าวลับอันใด
แต่หัวหน้าซ่งไม่เพียงทำตัวเอง แต่เขายังพาเหล่าเจ้าหน้าที่ชั้นยอดมาอับอายด้วยกัน นี่มันเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ
"ชิ..."
เจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นรู้สึกอับอาย พวกเขาอยากรีบหนีออกจากที่นี่
ไม่คาดคิดว่าซ่งฉางเฟิงจะพาพวกเขามาเสียหน้า!
"เจ้าเอาพวกเขาเติมเต็มกองกำลังเถอะ คนพวกนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี"
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของคนกลุ่มนี้ก็เปลี่ยนไปทันที
เมืองไป๋อวิ๋นไม่ใหญ่นัก ข่าวลือก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
การอยู่กับเสินอี้ย่อมกินอิ่มนอนหลับ แต่การทำงานของเขานั้นสกปรกมาก เพียงแค่ครึ่งวัน ชื่อเสียงของพวกเขาคงจะเน่าเฟะเหมือนเสินอี้แน่นอน
หากเป็นพวกที่ไร้จิตสำนึกก็ไม่เป็นไร แต่ใครก็ตามที่ยังรักศักดิ์ศรี พวกเขาย่อมไม่ต้องการเป็นหมาเฝ้าประตูตอนเสินอี้ข่มเหงผู้หญิงหรอกใช่ไหม?
"ใช้ได้แน่นะ?"
เสิ่นอี้เลิกคิ้วมองไปที่คนกลุ่มนี้
พูดตามตรง เรื่องนี้เขาคิดมาอยู่บ้าง
ตอนนี้ร่างเก่าตายไปแล้ว เขาอยากเข้าร่วมแผนกปราบปีศาจ การใช้ลูกน้องของร่างเก่าอีกก็ไม่ค่อยเหมาะสม
แต่เขาก็ไม่ได้ไร้ข้อเรียกร้อง
อย่างน้อยก็ต้องสามารถกลับมารายงานได้ทั้งที่มีชีวิตอยู่ เมื่อเจอเรื่องคล้ายๆ กับเหตุการณ์หมู่บ้านวัดหลิวลี้
เมื่อได้ยินคำถามของเสินอี้ ทำให้กลุ่มคนข้างนอกรู้สึกไม่พอใจ
ผีสุราเหลาะแหละ กล้าตั้งคำถามกับความสามารถของพวกเขา
ยังไงก็คงดีกว่าทักษะทะลวงกระดูกที่อีกฝ่ายไม่ได้ใช้มาหลายปีอยู่แล้วใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าทุกคน ซ่งฉางเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวว่า "นั่นต้องดูว่าเจ้าเปรียบเทียบกับใคร คงไม่ถึงกับเปรียบเทียบกับเจ้าหรอกนะ?"
คำพูดประโยคนี้ดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่ทำไมมันฟังดูแปลกๆ?
ทุกคนยังคงพึมพำเพื่อลิ้มรสความหมายที่ลึกซึ้ง
มีเพียงเฉินจี้ที่กลอกตา ราวกับเห็นด้วยกับสิ่งที่หัวหน้าซ่งพูด
ด้วยพรสวรรค์ที่เหลือเชื่อของเขา และยังเอาตำราอักขระเจ็ดสิบแปดตัวของเขาไปอีก คงใช้เวลาไม่กี่ปี เขาจะสามารถผ่านขั้นทั้งหมดและเข้าสู่ระดับสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน