บทที่ 10 การยืดอายุขัย
บทที่ 10 การยืดอายุขัย
อายุขัยยี่สิบปี จะพูดว่ายาวมันก็ไม่ยาว
สำหรับเสินอี้แล้ว ถือว่าเป็นความประหลาดใจอย่างมาก
ตอนที่ข้ามมิติมา ร่างเก่ามีอายุขัยเพียงสามสิบกว่าปี คิดคร่าวๆ ก็คือห้าสิบกว่าก็ตายแล้ว เป็นคนอายุสั้นจริงๆ
ที่เรียกว่าใกล้สิ้นอายุขัย แล้วจริงๆ
ด้วยความช่วยเหลือตำราวายุและอัสนีส่วนต้น เขาพยายามทำให้ร่างกายสมบูรณ์แบบ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังจำกัดอยู่แค่ในขอบเขตของมนุษย์
การยืดอายุขัยเป็นเรื่องที่ยากมาก
เสินอี้รวบรวมกำลังใจ รอคอยการมาถึงของแผนกปราบปีศาจในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
แน่นอน ก่อนหน้านั้นเขาต้องเตรียมพร้อมสองอย่าง
อย่างแรกคือความแข็งแกร่ง
ราชวงศ์ต้าเฉียนก่อตั้งแผนกปราบปีศาจ แยกออกจากราชสำนัก
ผู้ที่มีตำแหน่งต่ำสุด แม้ว่าจะไม่มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชา ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเสี่ยวเว่ย ซึ่งเป็นขุนนางขั้นเจ็ดโดยเฉพาะ ซึ่งเทียบเท่ากับเจ้าเมืองไป๋อวิ๋น
ผุ้บัญชาการที่มอบตำราวายุและอัสนีก็เป็นแค่เสี่ยวเว่ยผู้หนึ่ง เขากลับสามารถมอบวิชาอันล้ำค่าให้กับเฉินจี้ แค่เพราะเขามีพรสวรรค์ที่ดี
หากต้องการเข้าร่วมกลุ่มคนเหล่านี้ จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความพิเศษ
เช่นบรรลุขอบเขตเริ่มต้น... หรือไม่ก็สูงกว่านั้น?
เสินอี้ไม่แน่ใจ แต่การมีระดับที่สูงย่อมไม่มีข้อเสีย
แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีทั้งวิชาและยา แต่ก่อนหน้านี้เขาสามารถเข้าใจศาสตร์การต่อสู้อย่างทักษะดาบปราบปีศาจได้แล้ว แถมตอนนี้ยังมีตำราวายุและอัสนีขั้นต้น ตราบใดที่ใช้อายุขัย เขาย่อมสามารถคาดเดาอะไรบางอย่างได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสินอี้มองกลับไปที่แผงข้อมูล แล้วรู้สึกใจหาย
เมื่อกี้ยังรู้สึกว่าตัวเองรวยอยู่เลย แต่แค้แป๊บเดียว เขากลับกลายเป็นคนจนเสียแล้ว
【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: สิบเจ็ดปี】
การฆ่าปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เสินอี้อาศัยเส้นสายเจ้าของร่างเก่า จึงมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับปีศาจ แต่เมื่อปีศาจทยอยหายไป ความไว้วางใจที่สร้างขึ้นมาตลอดหลายปี มันก็จะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ปีศาจจะรู้ตัวว่าถูกหักหลัง เสินอี้จำเป็นต้องสะสมพลังให้เพียงพอ เพื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีกลับอย่างบ้าคลั่งของพวกมัน!
นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว
อีกอย่างคือชื่อเสียง เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจวนเจ้าเมืองปกปิดความผิดของเขาไว้ไม่ได้
เมื่อเสี่ยวเว่ยแผนกปราบปีศาจมาถึงเมืองไป๋อวิ๋น สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก่อนการฆ่าปีศาจ อาจจะเป็นการจับ "ใต้เท้าเสิน" ผู้โด่งดัง ไปประหารชีวิตที่ไช่ซือโข่วก่อนก็เป็นได้
(ไช่ซือโข่ว คือลานประหารในสมัยราชวงศ์ชิง)
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เขาต้องไม่รีบร้อน
เพียงแค่ฆ่าปีศาจให้มากพอ ชื่อเสียงที่ดีก็จะตามมาเอง
"ฮึบบบ..."
เสินอี้ยืนอยู่หน้าประตู ยืดเส้นยืดสาย ไม่ต้องกังวลว่าจะตายในปีหน้า เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่สองคนวิ่งมาจากปลายถนน หายใจหอบ "ใต้เท้าเสิน โชคดีที่ได้พบท่าน! หัวหน้าซ่งขอให้ท่านรีบกลับไปรายงานตัว"
"รายงานตัว?"
เฉินจี้ที่กำลังเก็บชามข้าวเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง
หัวหน้าซ่งที่พวกเขาพูดถึงคือหัวหน้าแผนกมือปราบ...ซ่งฉางเฟิง
โดยปกติแล้ว ลูกน้องรายงานตัวต่อหัวหน้าเป็นเรื่องปกติ
แต่ไม่ใช่ในจวนเจ้าเมืองไป๋อวิ๋น
ซ่งฉางเฟิงอายุสี่สิบกว่าปี เดิมทีเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน แต่เพราะเขายืนหยัดผิดฝ่ายในเรื่องปีศาจ เขาจึงถูกจวนเจ้าเมืองกดดันอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถควบคุมเสินอี้ที่เป็นลูกน้องของเขาได้
แม้ว่าเขาจะประพฤติตัวดี แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยแข็งกร้าว เขามองดูน้ำในเมืองไป๋อวิ๋นขุ่นมัวลง ถึงในใจจะรู้สึกโกรธแค้น แต่เขาก็ไม่กล้าออกมาตําหนิอะไร
หลังจากถูกกดดันมากๆ เขาก็เริ่มหมดกำลังใจ
เขากลายเป็นคนเฉื่อยชา ใช้ชีวิตไปวันๆ กับการจิบชา พยายามหลีกเลี่ยงเสินอี้เพื่อไม่ให้เสียหน้า
แล้วทำไมวันนี้ถึงมาหาเขาโดยเฉพาะ?
"ข้าจะไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน รีบนอนเร็วๆ ล่ะ ไม่ต้องรอข้า" เฉินจี้บอกพร้อมกับหันไปหยิบดาบ
เฉินจินหยูพยักหน้าเชื่อฟัง เมื่อก่อนนางมักรู้สึกกังวลอยู่เสมอ เพราะพี่ชายของนางมีนิสัยดื้อรั้น และเถรตรง เมื่อทำงานก็กลัวว่าจะถูกเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะพบหัวหน้าที่ไว้ใจได้แล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็แอบมองไปที่ชายรูปร่างสูงโปร่งที่ประตูอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเขาทำอีท่าไหน ถึงทำให้พี่ชายที่หยิ่งยโสของนางเชื่อฟังได้ขนาดนี้
เสินอี้หันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "เจ้าจะทำอะไร? วางดาบลงแล้วไปล้างจาน"
"..." เฉินจี้วางดาบลงอย่างเงียบ ๆ
เสินอี้มองไปที่เจ้าหน้าที่สองคนที่อยู่ตรงหน้า พวกนี้ล้วนเป็นลูกน้องของเขา
แต่ตอนนี้ สายตาของทั้งคู่หลบๆ ซ่อนๆ เห็นได้ชัดว่ามีอะไรในใจ
คนที่สามารถทำให้พวกเขาตกใจได้มากขนาดนี้ แสดงว่าบุคคลที่เรียกเขาไป คงไม่ใช่หัวหน้าซ่ง
"ไปกันเถอะ"
เสินอี้ไม่ถามอะไรมาก เดินออกไปบนถนนทันที
เจ้าหน้าที่ทั้งสองไม่กล้าหายใจ เดินนำทางไปข้างหน้า แล้วกลับไปที่จวนเจ้าเมือง
ในที่สุดคนอ้วนคนหนึ่งก็หันกลับมา พูดเสียงเบาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล "ใต้เท้า ระวังตัวด้วย..."
ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันกลับไปทันที
เมื่อพวกเขาทั้งสามมาถึง เจ้าหน้าที่ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท "ท่านหัวหน้าซ่ง ใต้เท้าเสินมาแล้ว!"
เมื่อได้ยินดังนั้น เสินอี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อย จริงๆ แล้วเป็นซ่งชางเฟิงงั้นเหรอ?
เพียงแค่ช่วงเวลาที่ตกตะลึง เสียงตอบกลับก็ดังออกมาจากประตู แต่ไม่ใช่คำพูดของหัวหน้าซ่ง...
ปัง! ปัง!
รูสองรูถูกเจาะบนประตูไม้ มีเงาดำยาวๆ โผล่ออกมา แทงทะลุหน้าอกของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน
เสินอี้จ้องมองเงาดำทั้งสองที่โผล่ออกมาจากหลังของเจ้าหน้าที่ มันคือฝ่ามือที่เหี่ยวย่นปกคลุมด้วยขนสีดำ
ฝ่ามือทั้งสองจับหัวใจที่ยังเต้นอยู่คนละข้าง ยื่นมาตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ เล็บแหลมคมจิ้มลงไปทันที!
"น้องชายเสิน หยุดอยู่ตรงนั้นทำไม? เข้ามาสิ..."
"..."
เสินอี้หลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ทันใดนั้น เขาก็ใช้เท้าเตะประตูอย่างแรง!
ประตูไม้แตกออก เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นจากด้านใน ร่างเงาดำนั้นเคลื่อนที่อย่างว่องไวไปทางด้านหลัง
เสินอี้ก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ สายตาเย็นชาจ้องมองไปรอบๆ
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ...ซ่งฉางเฟิง ชายวัยกลางคนคุกเข่าอยู่หน้าเก้าอี้หวาย ใบหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทา ไม่ได้มาจากความกลัวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะสิ่งที่อยู่บนบ่าของเขา
มันเป็นขาใหญ่ที่มีขนดกหนา
เพียงแค่มันกดลงบนบ่าของซ่งชางเฟิงอย่างเบาๆ ก็ทำให้กระดูกของเขาแตกเกือบทั้งตัว เหงื่อของเขาไหลออกมาเพราะความเจ็บปวด
เจ้าของขาใหญ่ขนหนาปุกปุย นอนอยู่บนเก้าอี้หวาย สวมชุดขงจื๊อตัวใหญ่ เผยให้เห็นหน้าอกที่เปิดกว้าง มันค่อยๆ ยันตัวขึ้นด้วยข้อศอก เผยให้เห็นใบหน้าลิงที่น่าเกลียด ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟัน "น้องชาย มาเถอะ นั่งลง"
นอกจากมันแล้ว ยังมีปีศาจวานรอีกสองตัวในห้อง
ตัวหนึ่งหลังค่อม แขนทั้งสองข้างแตะพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
ปลายนิ้วของมันยังมีเลือดไหลอยู่ เห็นได้ชัดว่า "การต้อนรับ" เมื่อกี้มาจากมือของมัน
"เจ้ามาที่นี่ทำไม? ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป?"
ใบหน้าของซ่งชางเฟิงสั่นกระตุก อารมณ์ของเขาเกือบจะพังทลาย "บัดซบ! นี่คือวิธีที่เจ้าจัดการกับปีศาจงั้นเหรอ? เจ้าพาพวกมันมาที่จวนเจ้าเมืองทั้งหมด..."
เสินอี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ผู้ชายคนหนึ่ง ร้องคร่ำครวญเหมือนเด็กผู้หญิง
เสินอี้มองไปที่โต๊ะ หัวสุนัขสามหัวที่เปื้อนเลือดถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
เขาหันกลับไปมองศพเจ้าหน้าที่ทั้งสอง ศพที่ประตูยังอุ่นๆ อยู่
ลิงแก่ในชุดขงจื๊อจ๊วบปาก ยื่นอุ้งเท้าไปลูบหัวของซ่งชางเฟิง มันหัวเราะและพูดว่า "ยังเหลืออีกหนึ่ง อยู่ตรงนี้..."
ในขณะที่พูด ปีศาจวานรอีกสองตัวก็ปิดกั้นประตูอย่างเงียบๆ