บทที่ 2 พ่อและลูกในสายฝน
วันที่สิบสองเดือนสอง
กลางฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมา ทุกสรรพสิ่งตื่นจากการหลับไหล
ในฤดูใบไม้ผลิที่ยังหนาวเย็นยะเยือก ลมหนาวพัดกระหน่ำเหนือผิวน้ำราวกับมีดบาด แนวเขาทั้งหมื่นแสนดูเงียบเหงาเหมือนสุสาน
บนฝั่งแม่น้ำหยินอี้มีเมืองหนึ่ง ชื่อเมืองฉาง
ในป่าลึกทึบแห่งหนึ่งของเทือกเขาหมื่นแสน เสียงฟ้าร้องกึกก้องใกล้เข้ามาทุกที ลมพายุพัดกระหน่ำป่าเขาลึกจนสั่นสะเทือน ดูเหมือนฝนกำลังจะตกหนักในไม่ช้า
เปรี๊ยง!
บนท้องฟ้ามืดครึม มีฟ้าแลบวาบสว่างจ้าฉีกผ่านท้องฟ้าอันน่ากลัว ทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินสว่างวาบเป็นสีขาวซีดในชั่วพริบตา
ฟ้าแลบวาบนั้นยังส่องสว่างไปยังวัดร้างเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา
รอบๆ วัดรกครึ้มไปด้วยพุ่มไม้
ไม้พุ่มเหล่านั้นบิดเบี้ยวดูน่าเกลียด รากไม้เก่าแก่โผล่พ้นดินขึ้นมาปกคลุมไปด้วยมอส ดูรกชัฏและลึกลับ
ที่แห่งนี้เป็นแอ่งหุบเขาล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน และวัดร้างเก่าแก่ก็ตั้งอยู่กลางแอ่งหุบเขานั้น
วัดร้างหลังนี้สร้างขึ้นจากหินสีดำทั้งหมด แต่ดูแปลกประหลาดและไม่เข้าท่าอย่างบอกไม่ถูก เพราะโครงสร้างหลังคาของมันแปลกประหลาด คือตรงกลางต่ำ ส่วนสองข้างสูง
และมีแต่ประตูเท่านั้น
ไม่มีหน้าต่างสำหรับระบายอากาศ
ครืนน
ครืนน
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ป่ามืดมิดจนแทบมองไม่เห็นทางไปและทางกลับ มีแต่พุ่มไม้หนามแหลมขีดข่วนไปหมด
จินอันเปื้อนโคลนเลอะเทอะหลงทางอยู่ในป่ามาทั้งวัน พยายามหาทางออกจากป่าลึกแห่งนี้เท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สุดท้ายก็โชคดีที่หาที่หลบฝนได้ทันก่อนฝนจะตกหนัก
จินอันได้ข้ามมิติมา เขาอยู่ในโลกใบใหม่นี้มาหนึ่งวันแล้ว
ใครจะไปคิดว่าเขาจะขับรถเที่ยวคนเดียวไปยังภูเขาคุนลุนซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นดินแดนแห่งเซียนในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน แล้วดันมาโผล่ในป่าลึกที่หนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิแห่งนี้
แปะ
แปะ
ฝนตกลงมาบนใบไม้ วันนี้ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฝนตกกระหน่ำ
“พ่อๆ พ่อ มาเร็วๆ ด้านหน้ามีวัดให้เราหลบฝนได้”
“ลูกน้อย อย่าวิ่งเร็วนักสิ ในป่าเวลาฝนตกพื้นลื่น เดี๋ยวจะหกล้ม”
พ่อลูกคู่หนึ่งวิ่งเข้าไปหลบฝนในวัดร้าง
“อ้า! พ่อ ที่นี่มีคนอยู่ด้วยหรือ!”
เด็กชายวัยสิบสามสิบสี่ปีวิ่งเข้าไปในวัดก่อน แล้วก็ตกใจจนเผลอตัวร้องออกมาเมื่อเห็นจินอัน เพราะเขาไม่คิดว่าจะเจอคนอื่นอยู่ในวัดร้างกลางป่าลึก
“ลูกน้อย อย่าวิ่งไปไหนมาไหนสิ มาอยู่ข้างพ่อนี่... คุณชาย ท่านก็มาหลบฝนที่นี่เหมือนกันเหรอขอรับ?”
พ่อหนุ่มผิวคล้ำแข็งแรง ดูเป็นคนซื่อๆ บริสุทธิ์ แม้จะพูดสำเนียงท้องถิ่นแข็ง แต่จินอันก็พอจะฟังออกบ้างเพราะคล้ายสำเนียงแถบก้วยโจว แต่ก็ไม่แน่ใจนัก
พ่อลูกคู่นี้ดูเหมือนชาวบ้านที่เข้าป่ามาตัดฟืน พวกเขาทั้งคู่แบกพืนผู้เป็นกอง เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่เป็นชุดจีนโบราณ มีเสื้อชั้นในทำจากผ้าลินินหยาบๆ และเสื้อคลุมทำจากขนสัตว์เพื่อกันหนาว
ภาพตรงหน้าเหมือนกับฉากในละครย้อนยุค จินอันถึงกับอึ้งไป
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงดังครืนน!
ฟ้าแลบวาบอีกครั้ง ส่องสว่างวัดร้างให้เป็นสีขาวซีด
แสงฟ้าแลบส่องไปยังรูปปั้นหญิงสาวที่ตั้งอยู่ภายในวัด เนื่องจากถูกทิ้งร้างมานาน หัวของรูปปั้นจึงหายไป
ไม่รู้ว่าวัดร้างที่ไม่มีหัวรูปปั้นนี้ เคยสักการะบูชาใครมาก่อน
พ่อลูกเห็นว่าจินอันไม่ตอบอะไร ก็เข้าใจว่าจินอันเป็นคนพูดน้อย จึงรักษาระยะห่างแล้วทำกิจวัตรของตัวเองต่อไป
พวกเขาหาหญ้าแห้งในวัดมาเป็นเชื้อไฟ แล้วเลือกฟืนที่แห้งมาจุดไฟ พ่อหนุ่มจุดไฟด้วยกระบอกจุดไฟอย่างชำนาญ
ไม่นานก็มีกองไฟที่อบอุ่นในวัด แล้วพวกเขาก็หยิบอาหารติดตัวออกมา เป็นแป้งที่แข็งเพราะความเย็น
พ่อลูกนำแป้งไปอบไฟ แล้วกินกับน้ำฝนที่ตักใส่กระบอกไม้ไผ่
โคร่กกกกก~
จินอันได้กลิ่นหอมของแป้งที่อบกับผักกาดดอง ทำให้ปากน้ำลายไหล ท้องร้องโครกครากขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จินอันหน้าแดงขึ้นมาทันที
เขาหลงทางอยู่ในป่ามาทั้งวันยังไม่ได้กินข้าวเลย ตอนนี้ทั้งหิวและหนาว “คุณชายคงจะหิวนะ ลองกินแป้งแผ่นนี้ไปก่อนไหม เหลืออยู่อีกครึ่งแผ่น ถ้าไม่รังเกียจนะ”
พ่อหนุ่มผิวคล้ำกร้านจากแดดลม ดูเป็นคนใจดี ไม่ได้รังเกียจคนแปลกหน้าเลย เขายื่นแป้งแผ่นนั้นให้จินอัน
จินอันหิวมากจริงๆ หลังจากขอบคุณไปแล้วก็กินแป้งแผ่นนั้นหมดเกลี้ยง
หลังจากเหตุการณ์นี้ ทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้น จินอันก็ได้รู้จักพ่อลูกคู่นี้มากขึ้น
ผู้เป็นพ่อชื่อหวังเทียนเกิ่น ลูกชายชื่อหวังเสี่ยวเป่า
ภูเขาตรงหน้าไม่มีชื่อเรียกในท้องถิ่น มีภูเขาแบบนี้อยู่เยอะแถวนี้ พ่อลูกคู่นี้เป็นชาวบ้านอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทำมาหากินด้วยการตัดฟืนและล่าสัตว์ ปกติพ่อลูกคู่นี้ไม่เคยเข้ามาในป่าลึกขนาดนี้ แต่พอดีวันนี้เข้ามาตัดฟืนแล้วเจอกับฝูงหมูป่ากำลังอพยพ
คนล่าสัตว์ในป่ารู้กันดีว่า สัตว์ที่อันตรายที่สุดคือ หมูป่าเป็นอันดับหนึ่ง หมีเป็นอันดับสอง และเสือเป็นอันดับสาม
หมูป่านั้นดุร้ายมาก หมูป่าโตเต็มวัยนั้นแม้แต่หมีและเสือยังไม่กล้าเข้าใกล้
พ่อลูกคู่หนึ่งตกใจกลัวหนีเอาตัวรอด จนเผลอหลงเข้ามาในป่าลึก จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
....
คุยไปคุยมา ก็เริ่มมืดลง พวกเขาทั้งสามเริ่มง่วงนอน และหลับไปเอนตัวพิงกำแพง
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน
จินอันก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
ปรากฏว่าเป็นหวังเสี่ยวเป่าที่คลานออกมาจากกองหญ้าแห้ง
เด็กชายลูบตาพลางเดินออกจากวัดไปพร้อมกับปลดกระดุมกางเกง
“เสี่ยวเป่า ไปไหนลูก?”
“ลูกไปไหน?”
“พ่อ ข้าไปถ่ายเบา”
“งั้นไปแถวๆ ประตูนะ อย่าไปไกลล่ะ”
"ขอรับ"
จินอันไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงง่วงนอนมาก ตาหนักราวกับมีตะกั่วมาห้อยอยู่
ก็เลยหลับไปอีก
ในป่าไม่มีอะไรบอกเวลา จินอันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลับไปนานแค่ไหน
..แล้วจินอันก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกของหวังเทียนเกิ่นที่ดูร้อนรน
"เสี่ยวเป่า"
"เสี่ยวเป่า"
"ลูกอยู่ไหนกันแน่ ลูกอย่าทำให้พ่อตกใจนะลูก!"
จินอันสะดุ้งตื่นแล้วถามขึ้นมาว่า "ลุงหวังเป็นอะไรไปครับ ผมจำได้ว่าน้องเสี่ยวเป่าออกไปถ่ายเบาไม่ใช่เหรอ?"
"แล้วทำไมถึงยังไม่กลับมาล่ะ?"
ลุงหวังร้องไห้ด้วยความเสียใจแล้วพูดว่า "เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง! ไม่รู้ทำไมวันนี้ข้าถึงหลับลึกมากจนปล่อยให้เสี่ยวเป่าไปได้"
"เมื่อกี้ข้าฝันเห็นเสี่ยวเป่าร้องไห้ตลอดเวลา พร้อมกับร้องออกมาว่าเจ็บ แล้วก็ร้องเรียกให้ข้าหนี เพราะบอกว่าในวัดมีผี รูปปั้นกำลังจะกินเขา และเขากำลังจะถูกกินหมดแล้ว!"
"พอตื่นขึ้นมาข้าก็รีบวิ่งไปตามหาเสี่ยวเป่าทั่ววัด แต่ก็หาไม่เจอสักที"
การที่ลูกหายตัวไปทำให้ลุงหวังตกใจและสับสนเป็นอย่างมาก
จินอันรู้สึกตกใจ
สายตาของเขาหันไปมองรูปปั้นที่ไม่มีหัวในวัดโดยไม่รู้ตัว
ครั้งนี้เมื่อเขามองไปที่รูปปั้นที่ไม่มีหัวอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเขาก็รู้สึกขนลุกซู่ราวกับมีใครสักคนกำลังจ้องมองเขาอยู่
จินอันที่อยู่ในยุคสมัยที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล้า ๆ กลัว ๆ หยิบมีดพร้าฟันฟืนที่ลุงหวังวางไว้บนพื้น แล้วเดินไปยังรูปปั้นที่ไม่มีหัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฟันลงไปอย่างแรง
ตุ๊บ
ตุ๊บ
และแล้วก็มีสิ่งที่น่าตกใจเกิดขึ้น เมื่อมีแขนของเด็กหนุ่มที่ถูกกัดขาด และหัวของน้องเสี่ยวเป่าที่เปื้อนเลือด ตกลงมาจากรูปปั้น
"เสี่ยวเป่า!"
ลุงหวังร้องไห้ด้วยความเสียใจ แล้วล้มตัวลงไปกอดหัวของลูกชาย พร้อมกับร้องไห้โฮ
แต่จินอันที่ยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นดินกลับทำอะไรไม่ถูก สีหน้าของเขาแข็งทื่อ เพราะในรูปปั้นนอกจากจะมีศพไม่สมบูรณ์ของเสี่ยวเป่าแล้ว ยังมีศพของลุงหวังที่เน่าเปื่อยครึ่งตัวอยู่ด้วย! จากสภาพการเน่าเปื่อยนั้น คาดว่าลุงหวังน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณสิบกว่าวัน
ทว่าลุงหวังตอนนี้ก็ยังคงกอดหัวของลูกชายอยู่ที่พื้น ร้องไห้เสียใจอย่างสุดซึ้ง
จินอันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว!
(จบบท)