บทที่ 49: เมืองเจิ้นไห่
บทที่ 49: เมืองเจิ้นไห่
“หนุ่มน้อย เจ้ายินดีรับข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่? เจ้ามีพรสวรรค์ที่จะเป็นปรมาจารย์นักสร้างสิ่งประดิษฐ์ได้” ชายชรามองไปที่ซูฟ่านและพูดเบาๆ
อะไรนะ? อีกแล้วหรอ? ทำไมคนพวกนี้ถึงชอบรับลูกศิษย์กันนะ? ข้ามีเสน่ห์จนต้านทานไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรอ?
เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ของเขาจะรับซูฟ่านเป็นศิษย์ ซาตี้ก็เริ่มขยิบตาและส่งข้อความถึงซูฟ่านโดยทันที “น้องซู รีบตกลงและคำนับเร็ว อาจารย์ของข้าคือปรมาจารย์นักสร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่ผู้นำนิกายก็ยังต้องรักษาความเคารพต่อเขา และในอนาคต เราจะเป็นศิษย์ร่วมกัน”
ในเวลานี้ ซูฟ่านก็โค้งคำนับชายชรา
“ข้าไม่กล้าซ่อนมันจากผู้อาวุโส ข้าอยากจะเดินบนเส้นทางแห่งการปรุงยาและการสร้างสิ่งประดิษฐ์ไปควบคู่กัน ดังนั้นมันจึงอาจจะไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์ของท่าน” ซูฟ่านกล่าว
ในโลกแห่งการฝึกตน การปรุงยาและการสร้างสิ่งประดิษฐ์ก็เป็นสองขั้วที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบกับอีกฝ่าย มันจึงไม่พ้นจะมีการปะทะกันเกิดขึ้น
“เจ้าค่อนข้างซื่อสัตย์นะหนุ่มน้อย งั้นข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าระหว่างการปรุงยาและการสร้างสิ่งประดิษฐ์ เจ้าชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน?” ชายชราไม่ได้โกรธ แต่เขาถามด้วยรอยยิ้ม เขาสามารถเข้าใจความทะเยอะทะยานของเยาวชนได้
“ข้าชอบการสร้างสิ่งประดิษฐ์มากกว่า” ซูฟ่านตอบอย่างตรงไปตรงมา
“งั้นเจ้าเต็มใจที่จะเป็นศิษย์แค่ในนามของข้าแทนหรือไม่? ข้าจะให้สิทธิ์เจ้าในการเข้าสู่ยอดเขาขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์ของนิกายชั้นในด้วยเป็นไง?”
“อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจและต้องการจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสิ่งประดิษฐ์เพียงอย่างเดียว เจ้าก็ยังสามารถเข้าร่วมกับข้าได้” ชายชรากล่าวอีกครั้ง
ซูฟ่านไม่ได้พูดอะไรนอกจากแกะสลักวงเวทย์รูนที่ซับซ้อนอย่างยิ่งอย่างเงียบๆ
วงเวทย์ปรากฎขึ้นในอากาศ ในฐานะคนที่มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ เขาก็มีความภาคภูมิใจในตัวเอง เมื่อมองไปที่วงเวทย์รูนของซูฟ่าน ความประหลาดใจก็ก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของชายชรา
“ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อแล้ว เจ้าไปได้แล้วล่ะ”
“เมื่อมีเวลา เจ้าก็มาหาชายชราคนนี้บ้างนะ” ชายชราหยิบตราออกมาแล้วมอบให้ซูฟ่าน นี่เป็นตราในการเข้าสู่นิกายชั้นใน
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
ซูฟ่านกลับมาที่ดาดฟ้า รับลมทะเลและมองดูซากสัตว์อสูรใต้ทะเลลึกขนาดยักษ์ที่ถูกลากขึ้นเรือเป็นครั้งคราว
“มันเป็นผลกำไรมหาศาลจากปืนใหญ่เพียงกระบอกเดียว”
ในขณะนี้ กองเรือทั้งหมดก็ชะลอตัวลง เรือรบทุกลำถอยกลับไปเป็นแนวรบและเปิดเกราะป้องกันอันทรงพลัง
“ตรวจพบฝูงสัตว์อสูรทะเลอยู่ข้างหน้า ไม่มีสัตว์อสูรขอบเขตมหายาน ระดับความยาก: B”
พร้อมกับการส่งเสียงเตือนของกองเรือทั้งหมด เรือเหาะลอยล่องเร่งความเร็วจนสุดแล้วนำไปข้างหน้า มันชนเข้ากับฝูงสัตว์อสูรทะเลที่พลุ่งพล่านอย่างดุเดือด
“ให้ตายเถอะ นี่เป็นวิธีการใช้เรือเหาะลอยล่องหรอ?” ซูฟ่านอุทาน
ก่อนที่ซูฟ่านจะประหลาดใจอีกครั้ง กองเรือและฝูงสัตว์อสูรทะเลก็ปะทะกันอย่างรุนแรง
พร้อมกับเสียงสั่นสะเทือน พื้นที่ทะเลโดยรอบก็ถูกย้อมเป็นสีแดง และซากสัตว์ทะเลก็กระจัดกระจายไปทั่วผิวทะเล
เช่นเดียวกับการเผชิญหน้าของทหารม้า กองเรือทั้งหมดหันกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ปืนใหญ่ขนาดยักษ์ทั้งหมดของเรือรบสว่างขึ้น หลังจากการทิ้งระเบิดรอบหนึ่ง ผิวน้ำทะเลก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง
ในเวลานี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตตัวอ่อนวิญญาณบางคนก็เริ่มใช้งานตาข่ายสมบัติขนาดยักษ์เพื่อจับซากศพบนผิวน้ำทะเลขึ้นมา
“เราเอาชนะฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้เพราะเรากำลังมองหาสมบัติอยู่ใช่ไหม?” ซูฟ่านถามอย่างสงสัย
ในเวลานี้ เย่เสี่ยวเหยาก็เดินเข้ามาหาซูฟานพร้อมกับกล่องกระบี่บนหลังของเขา
“ที่ซึ่งสัตว์อสูรรวมตัวกัน ที่นั่นย่อมมีสมบัติ และมันก็มักจะมีแร่วิญญาณระดับสูงรวมอยู่ด้วย”
“หากเราโชคดี เราก็อาจพบซากปรักหักพังด้วยซ้ำ” เย่เสี่ยวเหยาอธิบายให้ซูฟ่านฟังด้วยรอยยิ้ม
“ซากปรักหักพัง มีซากปรักหักพังอยู่ที่นี่ด้วยหรอ?” ซูฟ่านถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว ผู้ฝึกตนที่ทรงพลังบางคนจะมาที่ทะเลอนันต์เพื่อฝ่าฟันความทุกข์ยากกันที่นี่”
“ข้าเข้าใจแล้ว พี่เย่ไม่มีงานอะไรหรอ?”
“โอ้ ทีมของเรามีหน้าที่ดูแลเรือเหาะลอยล่อง เราไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก เมื่อมีการค้นพบสิ่งที่เป็นอันตรายเท่านั้น พวกเราถึงจะเคลื่อนไหว”
ในขณะนี้ เรือเหาะลอยล่องก็เริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ โดยมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เรือเหาะลอยล่องก็หยุดนิ่งราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นใดๆ
ผู้ฝึกตนขอบเขตตัวอ่อนวิญญาณบางส่วนเริ่มโยนสิ่งประดิษฐ์ลงไปในทะเล จากนั้นเมืองขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้นในสายตาของทุกคน
“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ประเภทเมืองหรอ?” ซูฟ่านถามและมองไปที่กำแพงเมืองที่มีความยาวอย่างน้อยยี่สิบกิโลเมตร
“นี่คือสิ่งประดิษฐ์เต๋าประเภทที่พัก ดูเหมือนว่าเราจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน”
ด้วยเหตุนี้เอง เย่เสี่ยวเหยาจึงพาซูฟ่านบินตรงเข้าไปในเมือง
“น้องซู ตราของเจ้าสามารถเปิดประตูเข้าเมืองเจิ้นไห่ได้เลย ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เราจะต้องอยู่ที่นี่กัน”
“หากเจ้าเบื่อเมือง เจ้าก็สามารถออกไปล่าสมบัติหรือร่วมทีมเพื่อล่าสัตว์อสูรได้ หรือหากไม่ต้องการ เจ้าก็สามารถรับภารกิจปรุงยาได้”
“อย่างไรก็ตาม อย่าไปไหนไกลจากเมืองเจิ้นไห่ล่ะ”
หลังจากส่งซูฟ่านเข้าเมือง เย่เสี่ยวเหยาก็ยังมีงานอื่นต้องทำและจึงแยกตัวออกไป
ซูฟานยืนอยู่บนถนนสายหลักของเมืองเจิ้นไห่ เขามองเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากบินจากเรือเหาะลอยล่องมายังเมือง
“ลืมมันไปซะ อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย ถึงเวลาหาที่พักแล้ว”
ตามคำแนะนำของเย่เสี่ยวเหยา ซูฟ่านจึงเลือกลานเล็กๆ และปักหลักลงที่นั่น
หนึ่งวันต่อมา ซูฟ่านได้รับข่าวว่าใต้เรือเหาะลอยล่อง มีเส้นแร่หินวิญญาณขนาดใหญ่ที่บรรจุหินวิญญาณคุณภาพสูงจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
ผู้ฝึกตนทุกคนในเมืองต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ในทะเลอนันต์ เส้นแร่หินวิญญาณดังกล่าวก็ยังหาค่อนข้างยาก
“พันโลกกลางนี้มีทรัพยากรมากมายจริงจัง”
ขณะที่ซูฟ่านเดินไปตามถนนโดยสงสัยว่าเขาจะเจอสิ่งที่น่าสนใจหรือไม่ เขาก็พบเข้ากับสองพี่น้องซา
“ศิษย์น้องซู เจ้าสนใจที่จะเปิดห้องสร้างสิ่งประดิษฐ์กับข้าไหม? เพียงแค่ซ่อมแซมสมบัติให้กับผู้ฝึกตนที่ไปต่อสู้มา เราก็จะสามารถได้รับหินวิญญาณนับหมื่นภายในหนึ่งเดือนได้” ซาตี้บอกกับซูฟ่านอย่างตื่นเต้น
ทั้งเขาและซูฟ่านต่างก็เป็นนักสร้างสิ่งประดิษฐ์ระดับหนึ่ง ใครจะรู้ พวกเขาอาจจะสร้างสิ่งประดิษฐ์คุณภาพสูงร่วมกันก็ได้
“ถ้าศิษย์น้องซูไม่ต้องการจะสร้างสิ่งประดิษฐ์ เจ้าจะมาสร้างยากับข้าแทนก็ได้นะ” ซาหยานเองก็เชิญซูฟ่านด้วย
เช่นเดียวกับที่ซูฟ่านกำลังจะตอบตกลง ทันใดนั้นเสียงไอก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ซาหยาน มานี่เร็ว” อย่าไปยุ่งกับพวกนักสร้างสิ่งประดิษฐ์”
ซูฟ่านเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นพ่อของซาหยาน ซาจิงเทียน นักปรุงยาที่เคยต้องการจะรับเขาเป็นลูกศิษย์
ซาหยานมองซูฟ่านอย่างขอโทษ และเดินไปหาพ่อของเธออย่างเชื่อฟัง ในขณะที่พี่ชายของเธอหันหน้าหนี โดยไม่สนใจซาจิงเทียนเหมือนกับเด็กขี้โมโห
“เอาล่ะ พี่ซา พวกเขาไปไกลแล้ว” ซูฟ่านกล่าว
จากนั้นซาตี้ก็หันศีรษะกลับมา
“ศิษย์น้องซู พวกเราเองก็ไปกันเถอะ”