Chapter 19: หมาป่าเดียวดาย
ท่าทางเป็นมิตรเกินไปของคอลลีนไม่ได้ทำให้แม็กกี้รู้สึกไม่ดี ตรงกันข้าม การทักทายอย่างกระตือรือร้นของเธอทำให้แม็กกี้รู้สึกเป็นที่ต้อนรับ นี่แสดงให้เห็นว่าแม็กกี้ใสซื่อเพียงใด มองหน้าตาใสซื่อของแม็กกี้แล้วคอลลีนก็ยังไม่เชื่อเธอนัก เธออยู่บนถนนมานานเกินกว่าจะเชื่อว่ามีผู้หญิงดี ๆ อย่างนี้อยู่ แต่คอลลีนก็ไม่ได้แสดงความคิดจริง ๆ ของเธอออกมาตอนที่ฉินหรานยังอยู่แถวนี้ ๆ
"คอยดูซิว่าเธอจะทำท่าแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน" คอลลีนหัวเราะเยาะแม็กกี้เงียบ ๆ ในใจขณะเข้าไปช่วยฉินหรานย้ายเสบียงเข้าไปที่ที่ซ่อน
ต่างจากแม็กกี้ที่เธอรู้สึกไม่ชอบใจเล็ก ๆ คอลลีนหันไปสนใจเสบียงที่ฉินหรานนำกลับมา มีทั้งอาหาร น้ำ และอาวุธปืน และคอลลีนรู้คุณค่าของของพวกนี้ดีกว่าใคร แม็กกี้เข้ามาช่วยทั้งสองคนขนย้ายเสบียงด้วย แม้ว่าเธอจะอ่อนแอ แต่เธอก็อยากช่วยเท่าที่จะทำได้ ไม่นานทั้งสามคนก็ขนทุกอย่างเข้าไปที่ซ่อนจนหมดรวมถึงรถเข็นด้วย พวกเขาทิ้งมันไม่ลงเพราะมันอาจจะยังใช้ประโยชน์ได้อีก
"นี่นายปล้นฐานของอีแร้งเอี่ยมเลยใช่ไหม?" คอลลีนถามขณะที่กลบร่องรอยที่ฉินหรานทิ้งไว้ตามทาง จำนวนเสบียงที่ได้มานั้นเยอะจนน่าตกใจ
"นี่แค่ครึ่งเดียวเองนะ" ฉินหรานไม่มีปัญหากับความระมัดระวังของคอลลีนในเมื่อเป็นการทำเพื่ออำพรางร่องรอยของพวกตน แม้ว่าเขาจะพยายามหลบ ๆ ซ่อน ๆ มาตลอดการเดินทางกลับมาแล้ว แต่เขาก็ยังมองข้ามบางอย่างไป การมีคนตรวจสอบซ้ำเป็นเรื่องที่ดี ศัตรูใหม่ของพวกเขานั้นแตกต่างไปจากกองโจรติดอาวุธที่ฐานของอีแร้ง
"คอลลีน พวกเราเจอปัญหาใหญ่แล้วแหละ" ขณะที่คอลลีนยังตื่นเต้นกับเสบียงมากมายที่ฉินหรานนำกลับมา ฉินหรานตัดสินใจบอกเธอเกี่ยวกับกองกำลังกบฏและหัวหน้าของพวกมัน
"โอ้ พระเจ้า! นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ?"
"นี่นายไม่รู้เลยใช้ไหมว่าทำบ้าอะไรลงไป?"
"ทำไมนายถึงไปกวนอารมณ์พันตรีอะไรนั่นแบบนั้น?"
หลังจากคอลลีนฟังเรื่องจากฉินหราน เธอก็เริ่มโวยวายใส่เขา เธอดูอารมณ์เสียและทดท้อ เหมือนตอนที่ฉินหรานบอกเธอตอนแรกว่าจะบุกเข้าไปที่ฐานที่มั่นของอีแร้ง คราวนี้คอลลีนดูกังวลมากกว่านั้นและรู้สึกหมดหวังมากกว่า
แม้แต่เด็กห้าขวบยังบอกความแตกต่างของกลุ่มอันธพาลกับทหารอาชีพได้ และคอลลีนไม่ใช่เด็กห้าขวบ เธอผ่านความเลวร้ายมา ทั้งหมดก็เพราะพวกกบฏ
ก่อนที่ฉินหรานจะทันอธิบายเพิ่มเติม เธอพูดอย่างไม่ลังเล "เอาละ รีบเก็บอาหารและน้ำบางส่วน พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น! ที่ซ่อนนี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้วถ้ากองกำลังกบฏนั่นเริ่มตามหานาย!" ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็ขยับไปที่กองเสบียงและเริ่มเก็บข้าวของ ฉินหรานดึงมือเธอไว้ คอลลีนหันกลับมาอย่างประหลาดใจและเห็นว่าเขากำลังยิ้มให้เธอ
"นี่นายยังยืนยิ้มอยู่ได้เวลาอย่างนี้อีกเหรอ?" คอลลีนพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
"ใจเย็นก่อน เรื่องมันไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอก อย่างน้อยที่สุดก็แค่หัวหน้าของพวกมัน ซึ่งเขาก็เป็นแค่ทหารคนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งกองทัพนะ" ฉินหรานพยายามปลอบคอลลีน พูดให้เธอวางใจ คอลลีนไม่ได้เลือกทิ้งฉินหรานไว้ข้างหลังเมื่อพบว่าเขาไปก่อกวนนายพันของกองทัพเอาไว้ กลับกัน เธอต้องการให้พวกเขาไปจากที่นี่ด้วยกัน นี่ทำให้ฉินหรานรู้สึกสนิทกับเธอมากขึ้น
คอลลีนรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของฉินหรานเปลี่ยนไป มันไม่ใช่น้ำเสียงสุภาพเหินห่างแบบที่เขาใช้ตามปกติ แต่มันฟังดูเป็นมิตรมากขึ้น ถ้าไม่มีปัญหาทั้งหมดที่ฉินหรานก่อนไว้ เธอก็จะรู้สึกมีความสุขมาก
ตอนนี้ ความกังวลของเธอกลบความรู้สึกอื่นทั้งหมด
ถ้าฉินหรานเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง เธอคงจะทิ้งเขาเอาไว้แล้ว แต่นี่พวกเขาผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งหลายครั้ง และเธอคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เธอจะไม่ยอมให้เพื่อนของเธอรนหาที่ตาย และเธอคิดว่าเธออาจจะรู้สึกดี ๆ กับเขาด้วย คอลลีนรู้สึกประหม่า
"ต่อให้เขาเป็นแค่ทหารคนหนึ่ง เขาก็อาจมีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นร้อยคน! แบบที่มีอาวุธครบมือ! ทหารที่มีระเบียบวินัย! ไม่ใช่แค่โจรกระจอก ๆ แบบที่อีแร้งมี!" คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
"ใจเย็นก่อน นะ ผมไม่ได้ประมาทศัตรูของเราหรอก ผมรู้ดีว่าผมกำลังจะทำอะไรต่อตั้งแต่เอากระเป๋าอัญมณีนั่นกลับมา ผมมีความคิดดี ๆ..." ฉินหรานเน้นเสียง ก่อนที่เขาจะอธิบายแผนของเขาต่อไป โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น นายทหารนั่นโทรศัพท์มา ฉินหรานปฏิเสธการรับสายอย่างไม่ลังเลและเอาแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ออก เขาหันมาหาคอลลีนและพูดต่อ "เขาต้องรู้แล้วว่าเกิดเรื่องที่ห้างนั่น พวกเรามีเวลาไม่มาก ช่วยผมเก็บน้ำและอาหารสักหน่อย ผมต้องออกไปข้างนอกสักสองสามวัน ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะกลับมาแบบมีชีวิต"
ริมฝีปากของคอลลีนขยับเหมือนอยากจะพูดอะไรแตก็ไม่ได้พูด เธอแค่หันกลับไปหยิบเสบียงบางส่วนใส่ลงในกระเป๋าสะพายหลังของฉินหราน ฉินหรานเอาไรเฟิลดัดแปลงที่ได้จากฐานของอีแร้งมาตรวจดู เขายัดปืนไรเฟิลและกระสุนอีก 4 แถวลงในกระเป๋าสะพายหลัง
"ระวังตัวด้วยนะ" คอลลีนพูดในขณะที่มองฉินหรานเก็บปืนไป เขาพยักหน้าและยิ้มให้คอลลีนหวังให้เธอวางใจ เขาตรวจสอบ M1905 และกริชที่เอวของเขาเป็นลำดับสุดท้าย
เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็ยิ้มให้คอลลีนอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะทันรู้ตัวเขาก็ออกไปและหายลับไปในแสงสว่าง คอลลีนมองเงาร่างของฉินหรานหายไป เธออยากจะยกมือขึ้นโบกลา แต่ในที่สุดเธอก็ไม่กล้าพอ
"เขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย!" แม็กกี้ที่มองทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่พยายามพูดปลอบคอลลีน "พนันกันได้เลย!"
เสียงของแม็กกี้ทำให้คอลลีนนึกได้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว เธอรีบเก็บงำท่าที เก็บซ่อนด้านอ่อนแอและดึงท่าทางปกติออกมา
"เขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย! เขาเป็น.. เป็น..เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน" เธอพูดและพยักหน้าหนักแน่น
...
ฐานที่มั่นของกองกำลังกบฏ
พันตรีซาหลูข่าทุบโต๊ะอย่างแรงด้วยกำปั้นของเขา ทุกอย่างบนโต๊ะถูกกวาดลงไปที่พื้น กริยาของเขาทำให้นายทหารผู้ช่วยตกใจ หัวหน้าของเขามีชื่อเสียงในด้านความโหดร้ายไร้เมตตาทั้งต่อศัตรูและผู้ใต้บังคับบัญชา ในฐานะทหารผู้ช่วยคนที่สามของพันตรีซาหลูข่า เขาไม่อยากเดินตามรอยเท้าของรุ่นก่อนหน้า
เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียวขณะที่พันตรีกำลังระบายความโมโหออกมา
ซาหลูข่าไม่สนใจผู้ช่วยของตัวเองเลยสักนิด เขาโกรธจนหน้ามืด
"ไอ้ลูกหมานั่น! แม่งเอ๊ย!" เขาตะโกนอย่างโมโห ตอนที่เขาพบว่าอีแร้งตายและฐานที่มั่นของมันถูกคนอื่นยึดไปเขาก็ไม่ชอบใจแล้ว เขาไม่รู้ว่าไอ้หัวหน้าคนใหม่นั่นเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงส่งหน่วยลาดตระเวนมือดีที่สุดของเขาออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนของเขากลับมาพร้อมข่าวร้าย ฐานของอีแร้งถูกปล้นเสียเรียบ ไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน
นั่นเป็นตอนที่เขารู้ว่าเขาถูกเล่นเอาเสียแล้ว และการถูกปฏิเสธสายโทรศัพท์ก็ยืนยันเรื่องนั้น
"ไอ้หนูสกปรก! ไอ้เศษสวะนั่น! แกคิดว่าแกเอาชนะฉันแล้วจะยังอยู่อย่างสงบต่อไปได้เหรอ? แกคงจะหนีออกไปจากห้างนั่นทันทีหลังจากคุยกับฉัน นั่นก็คือสี่สิบนาทีก่อน ตอนนี้เหลืออีกครึ่งชั่วโมงพระอาทิตย์จะขึ้น ขาอ่อน ๆ ของแกจะพาแกจะหนีไปที่ไหนได้ทั้งที่แบกของขนาดนั้น?" แม้ว่าเขาจะโมโหมาก แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ความโกรธของตัวเองมาบดบังความสามารถในการประเมินสถานการณ์ เขาคำนวณอย่างรอบคอบว่าฉินหรานน่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน จากนั้น เขาก็หันไปหาผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ "ส่งคนออกไปทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น ค้นหาในรัศมียี่สิบกิโลเมตรจากห้างนั่น ค้นทุกที่ที่คิดว่าไอ้ลูกหมานั่นจะซ่อนอยู่ได้..." ก่อนที่เขาจะพูดจบ โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นอีกครั้ง
หมายเลขเรียกเข้า: อีแร้ง
"ตามรอยสัญญาณสิ!" ซาหลูข่าตะโกนใส่ผู้ช่วยของเขา ลืมไปเลยว่าเมื่อสักครู่จะพูดอะไร
ผู้ช่วยที่น่าสงสารวิ่งไปที่อุปกรณ์ติดตามสัญญาณโทรศัพท์ที่มุมห้องและเตรียมตัวตามรอยสายเรียกเข้า
ที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ผู้ช่วยก็ยืนอยู่ข้าง ๆ อุปกรณ์ติดตามสัญญาณโทรศัพท์รอตามรอยโทรศัพท์ของฉินหรานตั้งแต่ตอนที่ซาหลูข่าโทรออกไปเมื่อครู่ เขาคุ้นเคยกับอุปกรณ์และมั่นใจว่าจะสามารถระบุตำแหน่งของฉินหรานได้ภายในเวลาแค่สิบวินาที เขายังคิดหาวิธีการที่ดีที่สุดในการแสดงทักษะของเขาต่อหัวหน้าเพื่อให้เขาดูเก่งกาจ แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับสาย นั่นทำให้ซาหลูข่าเกรี้ยวกราด และกับหัวหน้าที่เกรี้ยวกราดเช่นนี้ผู้ช่วยหวาดกลัวมาก เขาเองก็สบถด่าเป้าหมายของพวกตนเป็นพัน ๆ ครั้งเหมือนกัน
แต่ว่า โอกาสก็มาถึงอีกครั้งแล้ว ผู้ช่วยไม่ต้องการพลาดโอกาสนี้ไป
ซาหลูข่าอาจจะระเบิดกะโหลกเขาทิ้งหากเขาล้มเหลวอีกครั้งนี้
ผู้ช่วยที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายรีบจัดการกับอุปกรณ์และให้สัญญาไปทางเจ้านายเมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ซาหลูข่ากดรับโทรศัพท์
"ไอ้คนโกหก!" ทันทีที่รับสาย เสียงต่ำ ๆ ของซาหลูข่าก็ดังเข้าหูของฉินหราน
"ท่านกำลังพูดถึงอะไรเหรอครับ?" ฉินหรานแกล้งโง่
"ไอ้ลูกหมา แกคิดเหรอว่าจะหนีฉันพ้น?" ซาหลูข่าขึ้นเสียงราวกับว่าอยากจะบีบคอฉินหรานด้วยมือเปล่า
"ท่านยังต้องการอัญมณีพวกนี้อยู่ใช่ไหม ท่านนายพัน?" ฉินหรานตอบด้วยน้ำเสียงขำขัน
ซาหลูข่าเงียบไป
.
.
.
.