ตอนที่ 38 : แรนช์มาที่มหาวิทยาลัยไอเซอร์ไรต์เพียงลำพัง
ตอนเช้าตรู่ในเมืองหลวงของราชอาณาจักรฮัตตัน แรนช์ตื่นแต่เช้าและมาที่มหาวิทยาลัยไอเซอร์ไรต์เพียงลำพัง
เขาเดินผ่านประตูหน้ามหาวิทยาลัยพร้อมกับมองเห็นแสงสีทองส่องขึ้นมาจากทางทิศตะวันออก แผ่ประกายเรืองรองไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา
ผ่านไปสามวันแล้วนับตั้งแต่การสอบเข้าสิ้นสุดลง
วันนี้แรนช์จะเริ่มต้นการเที่ยวชมวิทยาเขตของเขา
ตามคำแนะนำของอาจารย์เทเรซา ก่อนอื่นให้ไปที่สถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์เพื่อรับกำไรนักศึกษา จากนั้นก็สามารถย้ายเข้าไปอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยได้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งแรนช์และทาเลียอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ทาเลียเองก็อยู่ใกล้ๆ เขาทุกวัน เวลาที่แรนช์ไปไหนมาไหนทาเลียก็จะคอยติดตามเขาอยู่เสมอ
แรนช์ได้บอกทาเลียแล้วว่าเมื่อเขาสามารถย้ายเข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัยไอเซอร์ไรต์ที่ปลอดภัยมากได้ ทาเลียก็ไม่ต้องปกป้องเขาแบบนี้อีกต่อไป
แต่เธอจะได้รับค่าจ้างเท่าเดิม
แรนช์จะรบกวนเธอเฉพาะเมื่อเขามีคำถามที่จะถามเธอเท่านั้น
ตอนนี้ทาเลียเกือบจะได้ชีวิตใหม่แห่งอิสรภาพกลับคืนมาแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้คุ้มกันของแรนช์ทุกวันอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีตัวตนปลอมของตระกูลวิลฟอร์ดด้วย
ตราบใดที่เธอไม่ออกหน้าออกตาหรือลงทะเบียนเข้าร่วมสมาคมใหญ่ๆ มากเกินไป ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถูกจับได้
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทาเลียได้กล่าวอำลากับชีวิตเร่ร่อนของเธอ แถมยังสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตยามว่างพร้อมเงินบำนาญที่เอื้อเฟื้อได้ทุกวันในเมืองหลวงอย่างไอเซอร์ไรต์
ตอนที่แรนช์และทาเลียทานอาหารเช้าด้วยกันเมื่อเช้านี้ ทาเลียก็ยังคงตกอยู่ในอาการสับสน
เหมือนกับว่าเธอจะเกษียณแล้ว
แต่แรนช์เองก็โล่งใจเช่นกันที่เห็นว่าชีวิตของทาเลียดีขึ้น
การสนับสนุนปรมาจารย์และช่างฝีมือสูงอายุถือเป็นความกตัญญูของเขา
“พูดถึงเรื่องนี้...ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงอายุของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะมองมาที่ฉัน…หรือว่าฉันจะคิดไปเอง?…”
แรนช์พึมพำกับตัวเองขณะเดินบนถนนสายหลักของมหาวิทยาลัย
แม้ว่าความสามารถในการตรวจจับคำโกหกจะสามารถพัฒนาเพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนทิศทางของการอ่านใจได้
แต่ทาเลียยังคงห่างไกลจากการเข้าถึงขีดจำกัดของเวทมนตร์ที่มีความสามารถในการอ่านใจ
จากในโครงเรื่องเดิมที่แรนช์คุ้นเคย ทาเลียยังไม่เชี่ยวชาญความสามารถในการอ่านใจใดๆ แม้แต่ในเส้นเวลาหลักในอีกสองปีต่อจากนี้
“ดังนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล อายุไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะงั้นเธออาจจะไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก”
แรนช์ยิ้มด้วยความโล่งใจพร้อมกับก้าวเดินต่อไปยังอาคารศิลปศาสตร์เก่าของสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์
ต้นไม้สองข้างทางอาบไล้ด้วยไอหมอกและแสงแดดยามเช้า ส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมา ริมถนนมีดอกไม้มากมายที่แรนช์ไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ บางดอกก็สดใส สง่างาม หรือไม่ก็มีรูปร่างแปลกตา
พร้อมกับเสียงนกร้อง เสียงผึ้งบิน และเสียงน้ำไหล เขาค่อยๆ เดินจากปลายถนนไปสู่สนามหญ้านุ่มๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ตามป้ายบอกทาง อาคารหลังที่ว่าถูกสร้างขึ้นกลางสวน
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่นาที
ในที่สุดแรนช์ก็พบอาคารทรงสถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคทั่วไปตั้งอยู่ที่ริมขอบของสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์ ผนังอิฐสีแดงโบราณถูกฝังด้วยรูปปั้นและภาพจิตรกรรมแบบนูน นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของวิทยาเขต — อาคารศิลปศาสตร์เก่าของสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์
อาคารเก่าแก่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องทำงานที่ช่างฝีมือเวทมนตร์ใช้ ได้รับการบำรุงรักษาและปรับปรุงใหม่เมื่อหลายสิบปีก่อน จากนั้นจึงเริ่มใช้เพื่อให้บริการทางด้านเทคนิคแก่นักศึกษาจากแผนกอื่นๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ
แรนช์มองไปรอบๆ และเห็นว่าที่นี่มีนักศึกษาอยู่ไม่มากนัก
ดูเหมือนว่าคนเดียวที่จะมาที่นี่ในวันนี้ก็คือนักศึกษาปีหนึ่งคนใหม่
ตอนนี้ยังเช้ามาก แม้แต่ประตูอาคารศิลปศาสตร์เก่าก็ยังไม่เปิด
“โอ้ ฉันมาเช้าเกินไป... ฉันลืมไปว่าคนที่นี่ไปทำงานตอนเก้าโมงและเลิกงานตอนห้าโมงเย็น ไม่สำคัญว่าจะเร็วขึ้นหนึ่งนาทีหรือช้าลงหนึ่งวินาที”
แรนช์กล่าวอย่างเสียใจ
เขาจำได้ว่านิสัยการทำงานแบบชาวพุทธของชาวไอเซอร์ไรต์นั้นแตกต่างจากเขามาก
ร้านค้าหลายแห่งปิดร้านตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็น และคุณต้องเลิกงานแม้ว่าคุณจะไม่มีรายได้เลยก็ตาม ซึ่งไม่ต้องพูดถึงแผนกบริการของมหาวิทยาลัยเลย
ดังนั้นแรนช์จึงทำได้เพียงยืนรออยู่ในสวน กอดอกด้วยความเบื่อหน่าย รอให้เจ้าหน้าที่ของสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์มาทำงาน
แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นการผ่อนคลายที่คนยุคใหม่สมควรได้รับ บางครั้งการเสียเวลาก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี
“อันที่จริง ถ้าเอามาเป็นของสะสมได้ก็คงไม่เลวเลย…”
แรนช์เงยหน้าขึ้นมองพลางชื่นชมอาคารโบราณตรงหน้าแห่งนี้ที่ราวกับงานศิลปะ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ ต้นหญ้า ผืนดิน และอากาศเปียกชื้นภายในสวน ดูเหมือนพวกมันจะล้อมอยู่รอบๆ ตัวเขา ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย
ที่ด้านบนสุดของอาคารศิลปศาสตร์เก่ามีหอคอยสูงตระหง่านซึ่งมีสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไอเซอร์ไรต์ถูกแกะสลักไว้
ด้านล่างของตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเป็นโล่เงินซึ่งแสดงถึงความหนักแน่นและความเชื่อมั่นของราชอาณาจักรฮัตตัน ตรงกลางของโล่มีรูปปั้นเทพีแห่งโชคชะตา เธอถือพวงหรีดลอเรล ล้อมรอบด้วยไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ พื้นหลังคือกลุ่มดาวกางเขนใต้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไอเซอร์ไรต์ในทวีปทางใต้
ป้ายสีขาวที่ด้านบนของตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสลักด้วยตัวอักษรเวทมนตร์อันทรงพลัง ซึ่งมีความหมายว่า “เราจะเติบโตด้วยการเคารพคนรุ่นต่อๆ ไป”
เพียงแค่มองไปที่มันแรนช์ก็รู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่เต้นรัว ราวกับว่าความง่วงซึมครั้งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่หลังจากตื่นนอนในตอนเช้าได้ถูกปัดเป่าไปจนหมด
เขาถูกมันดึงดูดโดยไม่รู้ตัว กระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วกี่วินาที
“งานแกะสลักชิ้นนี้น่าจะเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกของช่างแกะสลักระดับปรมาจารย์ท่านหนึ่ง…”
แรนช์ยืนนิ่งอยู่บนสนามหญ้า จ้องมองไปยังตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยพลางพึมพำ
“ที่จริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทย์เกรา เซลต์ ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไอเซอร์ไรต์เมื่อสองร้อยปีก่อน หากสังเกตดีๆ จะได้พบผลงานของเขามากมายภายในมหาวิทยาลัย”
เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังไม่ไกล ขัดจังหวะความคิดของแรนช์
แรนช์ตื่นจากภวังค์ เขาหันกลับมาและได้พบกับหญิงสาวผมสีบลอนด์อ่อนยาวสลวยยืนอยู่ในสวน
แรนช์รู้สึกประทับใจกับรูปร่างหน้าตาของเธอ ซึ่งเขาเคยพบเธอมาก่อนตอนอยู่ในห้องสอบ ปรากฎว่าเธอคือองค์หญิงวิเวียนผู้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมทีมของเขาไฮพีเรียน
แรนช์ไม่คาดคิดว่าองค์หญิงจะมาเร็วขนาดนี้ แต่เมื่อลองสังเกตอย่างละเอียด แรนช์ก็ค้นพบว่าเมื่อเธอมาถึง เหล่าเจ้าหน้าที่ของสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์ก็รีบมาเปิดอาคารศิลปศาสตร์เก่าแห่งนี้ทันที
แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ อย่างมนุษยสัมพันธ์และความซับซ้อนของมนุษย์สามารถพบได้ทุกที่
“องค์หญิงวิเวียน ขออภัยที่ผมหมกมุ่นอยู่กับการมองดูมันจนไม่สังเกตว่าท่านมาที่นี่”
แรนช์แสดงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลางกล่าวทักทายองค์หญิงที่มารออยู่ตรงนี้แล้วครู่หนึ่ง
“...”
วิเวียนครุ่นคิดเล็กน้อย
อันที่จริงแล้วตอนแรกเธอไม่ได้ต้องการจะพูดคุยกับแรนช์
เพราะหลังจากเจอกันครั้งล่าสุด เธอพบว่านิสัยของแรนช์นั้นค่อนข้างยากที่จะรับมือ
เขามีอัธยาศัยดีเกินไปแถมยังซื่อบื้อนิดหน่อย แต่เขาก็ฉลาดมากเช่นกัน
“คุณคิดว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยอันนี้กับสิ่งประดิษฐ์”
วิเวียนไม่ได้แลกเปลี่ยนคำทักทาย เธอเพียงถามแรนช์ขณะที่มองไปยังตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยที่ถูกแกะสลักไว้บนยอดอาคารศิลปศาสตร์เก่า
หลังจากการพบกันสองครั้ง วิเวียนมั่นใจว่าชายหนุ่มสามัญชนนามว่าแรนช์ วิลฟอร์ดผู้นี้ไม่มีความรู้สึกถึงระยะห่างและความหวาดกลัวอย่างที่คนธรรมดาพึงมีต่อขุนนาง เขาเป็นคนที่ราวกับว่าเพิ่งเดินทางมาจากอาณาจักรที่ไม่เคยมีวัฒนธรรมของชนชั้นสูง
แต่วิเวียนก็ไม่ได้สนใจ
แรนช์เป็นผู้มีความสามารถที่เต็มไปด้วยศักยภาพในอาณาจักรของเธออย่างแท้จริง ภูมิหลังของเขาเองก็สะอาดมากเช่นกัน
เธอแค่อยากสนทนากับแรนช์เกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกอันเก่าแก่บนยอดหอคอย
แรนช์มีลักษณะนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์มาโดยตลอดในฐานะกวี จิตรกร และช่างฝีมือ ซึ่งดูเป็นธรรมชาติและไม่สามารถเลียนแบบได้
เป็นเรื่องยากที่จะพบคนในวัยเดียวกับเธอที่อาจสามารถพูดคุยเรื่องศิลปะกับเธอได้
วิเวียนจึงใช้โอกาสนี้สำรวจตัวตนที่แท้จริงของเขา
(จบตอน)