Chapter 642 ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมา.
“ฟ่!”
เซียวจุ้ยจื่อที่พ่นลมหายใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นและก้าวต่อไปยังชั้นต่อไป.
ซูมมม ซูมมมม ----
ขณะที่ก้าวขึ้นไปยังชั้นที่ห้าตามเย่ซิงเฉิน ในเวลานั้นราวกับขุนเขาที่ใหญ่โตกดทับลงมายังดวงวิญญาณ พลังที่รุนแรงใหญ่โตกดทับยังจิตสำนึกของเขาทันที.
หอเก็บประสบการณ์ชั้นที่ห้า คือการกลั่นดวงวิญญาณ!
กลั่นร่างกายที่เจ็บปวดอย่างที่สุดแล้ว ในเวลานี้ดวงวิญญาณและจิตสำนึกกำลังถูกกลั่น ไม่ต้องบอกเลยว่าความเจ็บปวดนั้นจะเพิ่มขึ้นเท่าทวี.
เพียงแค่ไม่กี่นาที ใบหน้าของเซียวจุ้ยจื่อก็บิดเบี้ยว เจ็บปวดไปถึงดวงวิญญาณ ราวกับว่าเขาอยู่ในนรกอเวจีก็ไม่ปาน!
ยอมแพ้!
ไม่ยอมเด็ดขาด!
ด้วยเจตจำนงที่แข็งแกร่ง เซียวจุ้ยจื่อแข็งขืนไม่ยินยอมความลำบากแม้แต่น้อย.
เย่ซิงเฉินเอง ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ราวกับไม่แยแสกับพลังที่กำลังกร่อนวิญญาณ.
ตั้งแต่ที่เขาจุติยึดครองร่างเด็กคนหนึ่งที่ตัดฟืนในป่ามา แม้นร่างกายและชีพจรจะไม่ต่างจากผัก ทว่าก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือดวงวิญญาณของเขา.
เขาที่เจ็บปวดระทมมาหลายพันปี หนีตายไปซ่อนตัวที่ใจกลางโลก ไม่มีทางที่คนทั่วไปจะเทียบได้อยู่แล้ว.
โดยเฉพาะวิชาบ่มเพาะพระสูตรไท่ฉวน ที่สามารถฟื้นฟูดวงวิญญาณของเขาได้อย่างต่อเนื่อง.
ในชั้นต่าง ๆ ของหอคอยเก็บประสบการณ์.
สำหรับอดีตราชันย์รัตติกาล คงจะเป็นชั้นที่ห้าที่เขาเหนือยิ่งกว่าคนอื่น ๆ.
อย่างไรก็ตาม.
หากจะกล่าวถึงประสบการณ์ที่เหนือล้ำก็ยังไม่ใช่อดีตราชันย์รัตติกาลที่เหนือที่สุด แต่เป็นเหออู๋ตี้ถึงจะถูก!
เขาคือยอดฝีมือที่ลงมาจากดินแดนเบื้องบน พลังบ่มเพาะและดวงวิญญาณ แม้นว่าจะถดถอย ทว่าเพียงหนึ่งในสิบ ราชันย์ยุทธ์ของโลกนี้ก็ไม่สามารถเทียบได้!
อย่างไรก็ตาม ราชันย์รัตติกาลก็แข็งขืนฝึกฝนอย่างหนักอย่างไม่หวาดกลัว.
ด้วยการมีอยู่ของวิชาบ่มเพาะ พระสูตรไท่ฉวน ทำให้เขาสามารถนำหน้าคนอื่น.
แต่กระนั้น หากเป็นเมื่อก่อนก็ไม่สามารถที่จะทำได้สำเร็จ.
ทว่าเวลานี้ด้วยวิชาบ่มเพาะคันฉ่องสวรรค์ห้าธาตุ ทำให้เขาก้าวไปอีกระดับ.
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ร่วมกันกับวิชาบ่มเพาะพระสูตรไท่ฉวน ทำให้เขาสามารถยกระดับไปยังขั้นที่สูงกว่าเดิม.
จนแม้กระทั้งราชันย์รัตติกาลใช้วิชาคันฉ่องสวรรค์ห้าธาตุเป็นวิชาบ่มเพาะหลักชั่วคราวอีกด้วย.
......
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม.
เซียวจุ้ยจื่อที่ยากจะทนแบกรับจนกระทั่งฟุบลงคลานสี่ขาบนพื้น.
แม้นว่าจะทนไม่ไหว ทว่าเขาก็ยังต้องอดทนให้ผ่านเงื่อนไขเบื้องต้น ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะได้รับผลข้างเคียงอย่างแรง.
เย่ซิงเฉินยังคงอดทนได้.
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนสี ก่อนที่จะขมวดคิ้ว.
“พรึด โครม!”
จนกระทั่งผ่านไปสามชั่วโมง เย่ซิงเฉินก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป.
ทั้งสองที่ออกจากหอคอยเก็บประสบการณ์อย่างหมดเรี่ยวแรง พักไปคืนหนึ่ง เช้าวันถัดมา สามารถเห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะกายเนื้อและวิญญาณ ยกระดับขึ้นจนเห็นได้ชัด.
ศิษย์ในนิกายหลายคนที่สามารถเข้าไปยังชั้นสี่ชั้นห้าได้ ทว่าก็มีบางคนเช่นซูเซียวโม่และลี่เฟย ที่เน้นฝึกชั้น 1 2 3
นั่นก็เพราะทั้งสองมุ่งเน้นไปในการฝึกท่าเท้านั่นเอง.
เพียงแค่กลั่นร่างในชั้นหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องกลั่นกายาเฉพาะในชั้นสี่ก็ได้.
แน่นอน.
หลี่ชิงหยางก็สามารถขึ้นไปทดสอบชั้นสี่และชั้นห้าได้.
อย่างไรก็ตาม เขาที่พัฒนาอย่างสมดุล การกลั่นร่างกายที่หนักหน่วงนั้น ไม่ได้เหมาะกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จมกับการฝึกที่ชั้นใดชั้นหนึ่งตลอดเวลา.
หลงจื่อหยาง ซ่งเสวียนโจว และเหล่าศิษย์สายใน แม้นว่าจะยังไม่สามารถขึ้นไปฝึกได้ ทว่าตอนนี้ก็กำลังปรับร่างกายอย่างเร่งด่วน ต้องการขึ้นไปท้าทายชั้นสี่และห้าเป็นอย่างมาก.
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่พร้อม จึงไม่คิดที่จะก้าวขึ้นไปแต่อย่างใด.
สรุปแล้ว มีหลายคนที่ขึ้นไปได้ ทว่าก็ไม่ได้ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกับเซียวจุ้ยจื่อและเย่ซิงเฉิน.
แล้วจุนซ่างเซียวล่ะขึ้นไปยังชั้นสี่และขั้นห้าหรือยัง?
คำตอบคือไปแล้ว เพราะว่าระดับกษัตริย์ยุทธ์เขาไปถึงขีดจำกัดแล้ว หากไม่มีงานต้องดูแลนิกาย เขาก็จะไปฝึกฝนชั้นสี่และห้าทันที.
เส้นทางที่เขาเดินนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์.
......
พื้นที่ทุ่งน้ำแข็ง.
ภายในโรงเตี้ยมร้อยลี้ ลู่เชียนเชียนที่ก้าวเข้าไปด้านใน.
“กินเท่านั้น อะไรก็ได้.”
เสี่ยวเอ๋อที่ก้าวเข้ามาหา.
“ตกลง แม่นางโปรดรอสักครู่.”
เขาที่ต้อนรับแขกมานานหลายปี รับรู้ว่าแขกนั้นไม่ต้องการให้ยุ่งวุ่นวายอะไรมากนัก.
นางที่ได้ยินผู้คนในร้านพูดคุยเกี่ยวกับการประลองของนิกายนิรันดรกับนิกายไป่เหอเซิ่ง.
“สี่เดือน.”
ลู่เชียนเชียนเอ่ย ”น่าจะมีเวลา.
หลังจากกินอาหารเสร็จ นางก็วางเงินเอาไว้ก่อนก้าวออกไป.
หลังจากที่นางจากไป กลิ่นอายความเย็นที่มากล้นก็หายไป ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์พ่นลมหายใจยาวเช่นกัน.
......
ตำหนักจื่อหาน.
ประตูทางเข้าที่พังทลายเสียหายหนัก ตอนนี้ได้ถูกสร้างกลับคืนแล้ว ทว่า ก็ยังไม่ดีเท่ากับในอดีตนัก.
“ตรา....ตราราชันย์เหมันตร....”
เจ้าวังจื่อหานที่แข้งขาอ่อนแทบทรุดลงนั่ง.
ลู่เชียนเชียนที่ปรากฏต่อหน้าเขา ยื่นตราที่ส่องประกายแผ่คลื่นความเย็นออกมา พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไท่จางเหล่าของเจ้าได้เดินทางไปหาเรื่องนิกายนิรันดรของข้า จะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไร?”
เจ้าวังจื่อหานที่แทบร้องไห้ออกมา.
ไท่จางเหล่าที่เดินทางไปยังนิกายนิรันดร หากแต่ก็ไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย หากแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยอะไรออกมาได้เช่นกัน!
“แม่นาง.”
เขาที่เอ่ยกล่าวอย่างขลาดเขลา “โปรดบอกเถิดว่าจะให้ชดใช้อย่างไร!”
“หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ.”ลู่เชียนเชียนเอ่ย.
ระหวางที่กล่าวนั้น ร่างของนางที่แผ่กลิ่นอายความเย็นออกมา ทำให้เจ้าวังจื่อหานใบหน้าเปลี่ยนสี.
ในอดีตราชันย์เหมันต์ ก็มีกลิ่นอายพลังเหมันต์เช่นนี้เช่นกัน พลังที่สามารถแช่แข็งทุกอย่างในรัศมีพันลี้ สตรีผู้นี้มีกลิ่นอายดังกล่าว อธิบายได้ว่านางได้รับสืบทอดมรดกมาแล้ว!
“ตกลง! ตกลง!”เจ้าวังจื่อหานที่เร่งรีบกล่าวตอบรับในทันที.
ถึงแม้นว่าอากาศจะหนาวเป็นอย่างมาก ทว่าหน้าผากของเขาก็หลั่งเหงื่อที่เย็นยะเยือบออกมาไม่หยุด.
แน่นอน เขาได้แต่สาปแช่งประมุขนิกายทั้งแปดในใจ หากไม่เพราะคนพวกนี้จงใจปกปิดความลับ เขาจะไปขอให้ไท่จางเหล่าลงมือได้อย่างไร!
หลังจากได้หนึ่งแสนศิลาวิญญาณแล้ว ลู่เชียนเชียนก็โบกมือ.
กวี๊ก ๆ ----
บนยอดเขาสูง วิหคสีขาวบุริสุทธ์คล้าย ๆ กับนกกระเรียน.
ร่างกายไม่ใหญ่นัก หากแต่ร่างของมันแผ่แสงสีขาวนวล ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก.
“กระเรียนอมตะเหมันต์ศักดิ์สิทธิ์!”
กระเรียนอมตะที่ร่อนลงมายังลานยุทธ์ ลู่เชียนเชียนที่กระโดดขึ้นไปบนหลังของมันและหันมามอง “เร็ว ๆ นี้ เจ้าจงนำศิษย์ของนิกายไปยังนิกายไป่เหอเซิ่ง.”
“ตกลง ตกลง!”เจ้าวังจื่อหานที่เร่งรีบตอบรับทันที.
“พรึด ซี่!”
“พรึด ซี่!”
กระเรียนอมตะเหมันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่สะบัดปีกพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า.
“พรึด โครม!”
เจ้าวังจื่อหานแทบทรุดลงกับพื้น ถึงกับพ่นลมหายใจยาว.
......
นิกายหลิงหยวน.
ลู่เชียนเชียนที่ร่อนลงที่ลานยุทธ์.
เหล่าคนระดับสูงของนิกายเร่งรีบออกมาด้านนอกทันที.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายความหนาวเย็นที่หนักหน่วงแผ่ออกมาไปรอบ ๆ เจ้านิกายหลิงหยวนที่รับรู้ได้ในทันที ว่านางได้เข้าใจมรดกราชันเหมันต์ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว!
“ส่งมา 200,000.”ลู่เชียนเชียนเอ่ย.
นางที่ไม่เอ่ยกล่าวอะไร ก็เอ่ยถึงศิลาวิญญาณทันที เป็นการกระทำที่ไร้ยางอายไม่ต่างจากจุนซ่างเซียวแม้แต่น้อย.
!!
เจ้านิกายหลิงหยวนเร่งรีบเตรียมศิลาวิญญาณ พร้อมกับส่งออกไปทันที.
ก่อนที่จะจากไป นางเอ่ยออกมาว่า “เร็ว ๆ นี้ จงนำศิษย์ไปยังนิกายไป่เหอเซิ่ง.”
“รับแล้ว!”เจ้านิกายหลิงหยวนเร่งรีบตอบรับทันที.
จากนั้น ลู่เชียนเชียนที่เดินทางไปยังอีกเจ็ดนิกายทีละแห่ง ๆ เพื่อไถศิลาวิญญาณ ตลอดจนสั่งทุกคนไปยังนิกายไป่เหอเซิง.
“ทำไมต้องให้เดินทางไปยังจังหวัดตงเห่า?”
“ไม่ได้ข่าวรึไง นิกายนิรันดรท้าทายนิกายไป่เหอเซิ่ง ในความเห็นของข้า นางต้องการให้พวกเราไปเชียร์นิกายนิรันดร!”
“นิกายระดับห้าท้าทายนิกายระดับสอง เป็นเรื่องที่แตกต่างกันเกินไป ถึงพวกเราไปเชียร์ก็ไร้ประโยชน์.”
เหล่าเจ้านิกายมนทลตงเป่ยลู่ต่างก็พูดคุยกันไปมา แม้ว่าจะไม่ชอบนิกายนิรันดร ทว่าผู้สืบทอดราชันย์เหมันต์เอ่ย พวกเขาก็ทำได้แค่ต้องเดินทางไปยังจังหวัดตงเห่า.
......
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมาแล้ว!”
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมาแล้ว!”
ซู่เซียวโม่ที่ตะโกนลั่นนิกาย.
จุนซ่างเซียวที่ก้าวออกมาจากห้องโถง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นกระเรียนสีขาวที่กำลังร่อนลงพื้น.
“ฟิ้ว!”
ลู่เชียนเชียนที่กระโดดลงมา ยกมือประสานไปด้านหน้า “ศิษย์ลู่เชียนเชียนกลับมาจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้ว.”
เหล่าศิษย์นิกายที่ปรากฏขึ้น ทักทายศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่สดใส.
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่!”
หลิวหว่านซีที่ดวงตาสีแดงวิ่งออกมา.
ฉู่ซิวหานและเห่าหลิง ตลอดจนเหล่าศิษย์ใหม่ที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต.
พวกเขาที่ได้ยินเรื่องลู่เชียนเชียนเช่นกัน ทว่าไม่คาดคิดเลยว่า ศิษย์พี่หญิงใหญ่ผู้นี้กับงดงามยิ่งนัก เรียกว่างามล่มอาณาจักรก็ว่าได้!
“กลับมาก็ดีแล้ว.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “กลับมาก็ดีแล้ว.”