Chapter 641 หอคอยเก็บประสบการณ์ขั้นที่สี่และห้า.
ในตอนบ่าย
ตระกูลมู่หลงก็ได้รับจดหมายจากนิกายนิรันดร.
เนื้อหาคือทายาททั้งแปดของพวกเขาท้าทายล้มเหลว ถูกจับ โปรดนำค่าไถ่ 200,000 ศิลาวิญญาณมาไถ่ตัวกลับ.
ดูไม่ต่างจากการจับตัวเรียกค่าไถ่ในโลกเดิมเขาเลยแม้แต่น้อย และเรื่องนี้คงมีเพียงแค่จุนซ่างเซียวที่กล้าทำ.
เพราะว่าสำหรับนิกายฝ่ายธรรมมะ ปรกติแล้วจะห่วงหน้าตาตัวเองเป็นอย่างมาก.
หนำซ้ำ.
นิกายนิรันดรที่หาเรื่องไปทั่ว ไม่ได้เหมือนกับนิกายธรรมมะเลย ดูแล้วไม่ต่างจากนิกายปิศาจเท่าไหร่นัก.
อย่างไรก็ตาม.
จะบอกว่าเป็นนิกายปิศาจก็ไม่ถูกต้องนัก.
ในอดีตนั้นเมื่อครั้งมนทลเจิ้นหยางรุกรานดินแดน พวกเขาก็ก้าวออกมาปกป้องมนทลชิงหยางเต็มกำลัง ปกป้องประชาชนจากเพลิงสงคราม เรื่องเช่นนี้ไม่มีทางที่นิกายปิศาจจะกระทำอย่างแน่นอน.
ดังนั้นใต้หล้าจึงมองว่านิกายนิรันดร์เป็นนิกายกึ่งปิศาจ.
อย่างไรก็ตามจุนซ่างเซียวหาได้สนใจ เขาจะกระทำตามที่ตัวเองปรารถนาเท่านั้น.
“โครม!”
ประมุขตระกูลมู่หรงที่ตบโต๊ะเสียงดัง “ไอ้พวกขยะ ดูเหมือนว่าจะถูกตามใจมากไปแล้ว!”
200,000 ศิลาวิญญาณ.
สำหรับตระกูลหนึ่ง ๆ นับเป็นจำนวนสูงอย่างแน่นอน.
อาวุโสใหญ่เอ่ยด้วยความโกรธ “ลูกหลานพวกเราไปท้าประลอง ถึงแม้นว่าจะพ่ายแพ้แต่ไม่ควรจะถูกจับ นิกายนิรันดรต้องการขู่กระโชกพวกเราชัด ๆ!”
“เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถทนได้!”
อาวุโสสองที่ยืนขึ้น กัดฟันแน่น “ประมุข เหล่าฟู่ยินดีไปยังนิกายนิรันดรไปนำพวกเขากลับมา หากพวกเขาไม่ยอมก็พร้อมที่จะประกาศสงครามทันที!”
“ประกาศสงคราม?”
ประมุขตระกูลมู่หรงที่แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าตระกูลมู่หรงแข็งแกร่งกว่านิกายโม่ซาอย่างงั้นรึ?”
“เรื่องนี้.....”
“แม้แต่หอเทพสังหารเจ้าคิดว่าเทียบได้หรือไม่?”
อาวุโสที่เงียบและนั่งลง.
ประมุขมู่หรงเอ่ย “สองนิกายปิศาจระดับสามยังได้แต่กล้ำกลืนส่งศิลาวิญญาณไปแลกตัวคนของพวกเขา หากตระกูลมู่หรงประกาศสงคราม ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นการพยายามนำความอับอายมาให้กับตัวเอง!”
เรื่องนี้คงทำได้แค่โทษทายาทของพวกเขาที่สมองหมู แต่ประมุขของพวกเขานั้นเฉลียวฉลาด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางรอดจากโลกที่บ้าคลั่งแห่งนี้ได้.
ประมุขมู่หรงนั้นเป็นคนที่ฉลาดเป็นอย่างมาก.
ต้องไม่ลืมว่าสัญญาสามปีนั้นใกล้มาถึงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่นั่งมองเงียบ ๆ พวกเขาก็พ่ายแพ้ตัวเองไปแล้ว ต้องไม่ลืมว่านิกายนิรันดรนั้นกำลังท้าทายนิกายไป่เหอเซิ่งอยู่.
ทว่า เหล่าลูกหลานของเขานั้นกับไร้สมอง มองอะไรไม่เห็น กับหาญกล้าแส่หาเรื่องใส่ตัว!
“ประมุข!”
อาวุโสใหญ่เอ่ย “ตอนนี้ต้องทำอย่างไร?”
“แล้วจะทำอะไรได้อีก!”
ประมุขมู่หรงที่รู้สึกโลหิตไหลซิบ ๆ ออกมาจากในหัวใจ “รีบไปเตรียมศิลาวิญญาณ ไปไถ่พวกขยะนั่นคืนมาสิ!”
มู่หรงเส้าหลินและทายาทสายตรงเหล่านี้ หากเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าไม่สามารถที่จะยอมรับความสูญเสียได้.
ไม่ว่าอย่างไร อนาคตของตระกูล ย่อมต้องฝากไว้กับคนรุ่นหลัง หากว่าทุกคนตกตายหายไป ต้องบอกเลยว่าอนาคตตระกูลมู่หรงย่อมตกต่ำ.
ดังนั้น ถึงแม้นจะรู้ว่าจุนซ่างเซียวขู่กรรโชก ประมุขมู่หรงก็ทำได้แค่ต้องปฏิบัติตาม.
......
เชิงเขา นิกายนิรันดร.
เหล่าทายาทของตระกูลมู่หรงที่ก้าวตามอาวุโสใหญ่ด้วยท่าทางหวาดหวั่น ใบหน้าเขียวช้ำไปหมด.
พวกเขาที่ถูกไถ่ตัวด้วยศิลาวิญญาณ 200,000
อย่างไรก็ตาม.
ไม่เพียงแค่ร่างกายที่ได้รับบอบช้ำ ทว่าจิตใจของพวกเขาเองก็ถูกประทับด้วยความหวาดกลัวลึกฝังแน่นเช่นกัน.
ที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นมู่หรงเส้าหลิน.
เขาที่ถูกเย่ซิงเฉิน กระหน่ำซ้อมอย่างหนัก จนแทบกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว.
หลังจากกลับไป เขาที่คอยละเมอเพ้อผวา กุมศีรษะ ร้องขอความเมตตาด้วยความหวาดกลัว “อย่าตีข้า ได้โปรดอย่าทำร้ายข้า!”
เฮ้อ.
ในอนาคตไม่ต้องบอกเลยว่าจะเป็นเช่นไร.
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ในห้องโถง เขาที่ถือแหวนมิติหลายวง พร้อมกับเผยยิ้ม “ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่น้อย มอบศิลาวิญญาณมาให้เปิ่นจั้วเลย ตระกูลมู่หรงนับว่าเป็นคนดีจริง ๆ.”
ได้รับศิลาวิญญาณ 200,000 ง่าย ๆ อร่อยเหาะเลย.
ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “เมื่อเร็ว ๆ นี้ทั่วยุทธภพ ได้พูดคุยเรื่องที่นิกายนิรันดรท้าประลองนิกายไป่เหอเซิ่งไม่หยุดหย่อน.”
จุนซ่างเซียวที่สีคางไปมา “น่าจะมีคนจงใจปล่อยข่าว.”
สัญญาสามปีนั้นเป็นสัญญาส่วนตัว ไม่ได้เผยต่อคนด้านนอก ตอนนี้ข่าวกระจายออกไปอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าย่อมเป็นฝีมือของใครสักคนที่กำลังโหมปล่อยข่าวอยู่ลับ ๆ.
“เป็นไปได้ว่าคนของนิกายไป่เหอเซิ่งปล่อยข่าว ต้องการให้โลกรู้ว่า นิกายนิรันดรของพวกเราไม่ประมานตนหรือไม่?.”
จุนซ่างเซียวกล่าวเสียงเบา.
ลี่ลั่วฉิวทันใดนั้นได้ยินเสียงผ่านวิญญาณถูกส่งมา.
นางที่เอ่ยออกมาเล็กน้อย “เจ้านิกาย ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา ในเวลานี้มีการเปิดเดิมพันขึ้นด้วย หากเดิมพันนิกายนิรันดรชนะ แทงหนึ่งจ่ายหนึ่งร้อย นิกายไป่เหอเซิ่งชนะ แทงสิบจ่ายหนึ่ง.”
“...”
จุนซ่างเซียวเอย “ดูแคลนกันอย่างงั้นรึ?!”
นิกายระดับสองนั้นแข็งแกร่งมาก จนนิกายนิรันดรไม่สามารถเทียบได้.
ฝ่ายหนึ่งแทงสิบจ่ายหนึ่ง กับอีกฝ่าย แทงหนึ่งจ่ายหนึ่งร้อย มันแตกต่างกันขนาดนี้เลยรึ?
ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ได้ยินมาว่า นิกายระดับสองและสามต่างก็เดินทางมายังนิกายไป่เหอเซิ่ง เตรียมพร้อมที่จะเป็นพยาน.”
“ขอรายระเอียด.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ลี่ลั่วฉิวนิ่งและเอ่ยออกมาว่า “มีนิกายระดับสี่ราว ๆ 20 นิกายระดับสาม 5 นิกายระดับสอง 2 เป็นนิกายเลี่ยหยางเซิ่งและนิกายอี้เจี้ยนเซิ่ง.”
จุนซ่างเซียวสีคางไปมา “เปิ่นจั้วได้ไถ่เงินคนของนิกายเลี่ยหยางเซิ่งที่จังหวัดหนานหวงมาไม่น้อย พวกเขาที่มาครั้งนี้ เกรงว่าคงต้องการให้นิกายนิรันดรขายหน้าเป็นแน่.”
ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ส่วนนิกายอี้เจี้ยนเซิ่งและนิกายไป่เหอเซิ่งนั้นเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน.”
“งั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่เผยความประหลาดใจ.
นิกายอี้เจี้ยนเซิ่งในทวีปชิงหยุน คือนิกายที่ก้าวไปในวิถีกระบี่ เป็นนิกายที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก.
แน่นอน.
ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนจะเป็นมือกระบี่ ต้องไม่ลืมว่า คนที่มีพรสวรรค์กระบี่นั้นมีน้อยมาก.
“เปิ่นจั้วนำศิษย์ไปท้าทายนิกายไป่เหอเซิ่ง ถึงทำให้พวกบรรพชนกระบี่นิกายระดับสองถึงกับทนไม่ได้เลยรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ยเสียงเบา.
ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ยากจะกล่าว.”
จุนซ่างเซียวที่เคาะนิ้วไปที่โต๊ะ “การท้าทายนิกายระดับสอง ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจแล้ว.”
......
“กึก ซี่ กึก ซี่!”
เสียงของกระดูกที่ลั่นเปาะแปะ ราวกับจะระเบิดหลุดออกมา.
เซียวจุ้ยจื่อที่กำหมัดแน่น ถึงแม้นว่าร่างกายจะเจ็บไปทั่วร่าง แต่ก็ยังคงกัดฟันพร้อมกับคำรามออกมาเสียงแหบแห้ง.
ผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม.
กล้ามเนื้อและกระดูกที่ถูกกลั่นไปจนถึงขั้นสุด ร่างกายของเขาที่ทรุดนอนอย่างหมดแรงทันที.
เขากำลังทำอะไร? ฝึกฝนอยู่ในหอเก็บประสบการณ์นั่นเอง.
หอประสบการณ์ชั้นใหน? ชั้นที่สี่นั่นเอง.
ชั้นแรกกลั่นกายเนื้อ ชั้นที่สองยกระดับท่าเท้า ชั้นที่สามกลั่นพลังวิญญาณ ชั้นที่สี่กลั่นกายา
ซูเซียวโม่และหลี่เฟย ที่ไปยังชั้นหนึ่ง สองสาม หากแต่ชั้นที่สี่ยังไม่คิดที่จะขึ้นไป.
อะไรที่เรียกว่ากลั่นกายา.
นี่คือการย้อนกลับและตั้งต้นขึ้นใหม่ เพื่อให้แข็งแกร่งและทรงประสิทธิภาพ.
กระบวนการกลั่นกายานั้นจะต้องทำลายกระดูกทั่วร่าง แล้วสร้างขึ้นมา ทำให้เกิดความเจ็บปวดไม่ต่างจากตาย.
หลังจากที่เซียวจุ้ยจื่อปรับตัวในชั้นหนึ่งสองสามได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเดือนที่แล้วเขาได้ขึ้นไปชั้นสี่ หลังจากกลั่นร่างกายแล้วประสิทธิ์ภาพและความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า.
เพราะว่าสัญญาสามปีที่ใกล้เข้ามาแล้ว เขาที่ฝึกฝนหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นเขาจึงต้องการกลั่นกายาและยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก.
แม้นว่าพรสวรรค์เขาจะคืนกลับมาแล้ว แม้แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ทว่าเซียวจุ้ยจื่อ ก็ยกระดับร่างกายให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยกระดับตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก.
กล่าวได้ว่าเขาก้าวเดินไปยังเส้นทางกลั่นร่างกายโดยสมบูรณ์!
“กึก.”
ในเวลานั้น เย่ซิงเฉินที่กลั่นร่างกายในชั้นที่สี่ เขาก็ก้าวขึ้นไปยังขั้นที่ห้า พร้อมกับรำพึง “ไม่เพียงแค่ต้องกลั่นกายายังต้องกลั่นดวงวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น.”