Chapter 639 ใครเป็นมือใหม่?
เรื่องที่นิกายนิรันดรจะท้าประลองนิกายไป่เหอเซิ่งนั้น มู่ซ่างหงรู้ เหล่าชาวยุทธ์คนอื่น ๆ ย่อมรู้เช่นกัน.
ทันใดนั้นมันได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปในทันที.
“นิกายไป่เหอเซิ่งที่คงอยู่มาหลายพันปี นิกายนิรันดร กล้าท้าประลอง ไม่คิดว่ากำลังแส่หาความตายหรอกรึ?”
“ข้าได้ยินมาว่า ต้นเหตุนั้นมาจากเซียวจุ้ยจื่อมนทลชิงหยางและมู่หลงซินมนทลเทียนไห่.”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ได้ยิน ในอดีตนั้น เด็กสาวมู่หรงซินได้นำคนไปขอถอนหมั้นที่ตระกูลเซียวเลย.”
“ตระกูลมู่หลงเมืองเทียนไห่นั้นทุกคนล้วนแต่มีพรสวรรค์สูง ในความเห็นของข้า บางทีนิกายนิรันดรไม่สามารถจัดการตระกูลนี้ได้ แต่กลับกล้าไปท้าประลองนิกายไป่เหอเซิ่งอย่างงั้นรึ?”
เรื่องสัญญาสามปี ที่เวลานี้ได้กระจายกลายเป็นหัวข้อหลักให้ผู้คนได้พูดคุยกัน.
เมืองหลวงจังหวัดซีเหนียนหยางเอง ก็กลายเป็นหัวข้อข่าวเด่นเช่นกัน.
สิ่งที่ทุกคนรู้คือนิกายนิรันดรจะท้าประลองนิกายระดับสอง แม้นจะรู้สึกเป็นเกียรติภาคภูมิ แต่ก็แอบคิดว่าจะชนะได้อย่างงั้นรึ?
......
เรื่องของนิกายนิรันดรท้าทายนิกายไป่เหอเซิ่งนั้น ตระกูลมู่หรงเองก็ได้ยินมาเช่นกัน.
ภายในห้องโถง.
ประมุขตระกูลมู่หรงและเหล่าอาวุโสที่เริ่มพูดคุยกัน.
ชายชราคนหนึ่งที่ขมวดคิ้วไปมา “ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าหนูนั่น จะเป็นที่รู้จักไปทั่วทวีป.”
เซียวจุ้ยจื่อได้รับชัยชนะเลิศมนทลชิงหยาง พวกเขาเองก็ได้ยิน ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในสำนักไท่กู่เจิ้ง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าชื่อของเขาจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น.
พวกเขาที่ครุ่นคิด เพียงแค่สองปี ก็เป็นนิกายแล้ว แม้แต่นิกายระดับสี่ก็ยังยากจะต้านทาน.
อย่าว่าแต่ตระกูลมู่หรงเลย.
ทั่วทั้งแผ่นดินเองก็ไม่มีใครคาดคิดเช่นกัน.
ความเร็วของนิกายนิรันดร รวดเร็วน่าเกรงขามมาก.
รู้สึกราวกับนอนไปตื่นหนึ่ง ตื่นขึ้นมาทั่วทั้งโลกก็รู้ว่าพวกเขายกระดับเป็นนิกายซะแล้ว.
อาวุโสผู้หนึ่งแค่นเสียงดูแคลน “ซินเอ๋อนั้นเป็นยอดพรสวรรค์ที่นิกายไป่เหอเซิ่งบ่มเพาะหลัก ถึงเจ้าหนูตระกูลเซียวนั่นจะฟื้นคืนพลังบ่มเพาะ ก็ไม่มีทางชนะ.”
“ผู้คนมากมายต่างก็พูดเรื่องถอนหมั้นเป็นอย่างมาก ส่งผลมาถึงตระกูลของพวกเรา.”
“แม้นว่าการถอนหมั้นของซินเอ๋อจะเป็นคนลงมือ ไม่ปรึกษาพวกเรา ทว่าพลังบ่มเพาะของเซียวจุ้ยจื่อที่ไม่มีเวลานั้น การขอถอนหมั้นก็เป็นเรื่องทั่วไป.
เหล่าอาวุโสคงไม่รู้ ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายไม่มีพลังบ่มเพาะ มู่หรงซินขณะไปขอถอนหมั้นนั้น นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน.
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก.”
ประมุขตระกูลมู่หรงเอ่ย “เรื่องสัญญาสามปีอะไรนั่น และการประลองนิกายนิรันดรกับนิกายไป่เหอเซิ่ง ตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตระกูลมู่หรง.”
“เรียนประมุข.”
อาวุโสคนหนึ่งเอ่ย “เส้าหลินและพวกได้เดินทางไปยังนิกายนิรันดรเมื่อวานนี้.”
“อะไรนะ?”
ประมุขตระกูลมู่หรงถึงกับสะดุ้งโหยงลุกขึ้นจากเก้าอี้ คำรามออกมาด้วยความโกรธ “แล้วทำไมไม่ห้าม?”
อาวุโสคนดังกล่าวเอ่ย “ประมุข ในความเห็นของข้า เรื่องของนิกายนิรันดรนั้นดูลึกลับ การให้พวกเส้าหลินไปทดสอบ จะได้รู้ว่าพวกเขามีคุณสมบัติท้าทายซินเอ๋อหรือไม่?”
“ไร้สาระ!”
ประมุขมู่หรงที่พยายามสงบใจ “วังจื่อหานเกือบพังทลายด้วยฝีมือนิกายนิรันดร เจ้าคิดว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติรึไง!”
“ไม่......”
“ยังนิ่งอยู่อีก รีบตามไปเร็วสิ!”
“ครับ!”
คิดจะตาม ก็ตามไปไม่ทันแล้ว ขณะทุกคนประชุมกัน นายน้อยเจ้าสำราญหลายคนก็มาปรากฏขึ้นที่เทือกเขาไท่กู่แล้ว.
“ถุย.”
ชายคนหนึ่งที่จ้องมองขึ้นไปบนเทือกเขาไท่กู่ กล่าวด้วยความเหยียดหยัน “พี่เส้าหลิน นิกายนิรันดรสนับสนุนเซียวจุ้ยจื่ออย่างคาดไม่ถึง แม้แต่พาเขาไปท้าประลองถังเม่ย(ลูกพี่ลูกน้อยหญิง)ที่นิกายไป่เหอเซิ่งด้วย.”
พวกเขาที่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลมู่หรงนั่นเอง.
ผู้นำมาก็คือมู่หรงเส้าหลิน ยกเว้นมู่หรงซิน เขาคือผู้เยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลมู่หรง.
“วันนี้พวกเราจะทดสอบแทนถังเม่ยเอง ว่ามันคู่ควรหรือไม่?”
เหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่ส่วนมากแล้วมักจะยโสโอหังอย่างที่สุด โดยเฉพาะ เมื่อเห็น เซียวจุ้ยจื่อและมู่หรงซิน จะประลองกัน ยิ่งทำให้พวกเขาไม่พอใจ.
หนำซ้ำ.
นิกายนิรันดรที่เพิ่งมีชื่อเสียง ยิ่งทำให้พวกเขาดูแคลน.
คนเหล่านี้เอาจริงงั้นรึ?
แน่นอนว่าพวกเขาที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาคิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง.
ท้าทายนิกายนิรันดร?
อย่าว่าแต่วังจื่อหานเลย แม้แต่นิกายระดับสี่อื่น ๆ ก็ไม่มีใครกล้า.
“เส้าเหมิง.”
มู่หรงเส้าหลินเอ่ย “แจ้งจุดประสงค์ของพวกเรา.”
“รับทราบ.”
มู่หรงเส้าเหมิงที่แหกปากตะโกนออกไปทันที “จุนซ่างเซียว ข้าคนตระกูลมู่หรงมาท้าประลองกับเจ้า ไสหัวออกมาต้อนรับเดี๋ยวนี้!”
“หืม?”
เหล่าศิษย์ที่เล่นฟุตบอลอยู่ได้ยินเสียงก็หยุดกันในทันที.
ลี่เฟยรู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “ใครมันใจกล้าขนาดนี้กัน กล้าที่จะเอ่ยนามจริงของเจ้านิกายเลยเหรอ!”
ซูเซียวโม่ที่ปล่อยจิตสัมผัส จับจ้องมองไปยังเชิงเขา พบเหล่านายน้อยที่เหลาะแหละกลุ่มหนึ่ง.
“เอ๊ะ?”
เห่าหลิงเผยท่าทางประหลาดใจ “คนเหล่านี้ไม่ใช่ทายาทสายตรงตระกูลมู่หรงเมืองเทียนไห่หรอกรึ?!”
“พวกมันนะรึ?”
ฉู่ซิวหนานเอ่ย “ในอดีตพวกมันมาที่สถาบัน ถูกข้าทุบนอนซมไปหลายวันเลย.”
“......”
ซูเซียวโม่และลี่เฟยมุมปากกระตุก.
แม้แต่ซูซิวหนานยังไม่ชนะ กลับกล้าท้าทายเจ้านิกาย คนเหล่านี้ ไร้ซึ่งสมองรึอย่างไรกัน?
“เซียวโม่.”
จุนซ่างเซียวที่ส่งเสียงผ่านวิญญาณ “ให้พวกเขาเข้ามา.”
เหล่าเหว่ยเอ่ย “เจ้านิกาย พวกเขาคงจะได้ยินเรื่องสัญญาสามปีของเซียวจุ้ยจื่อและมู่หรงซิน.”
จุนซ่างเซียวที่สีจมูกไปมา เอ่ยออกไปว่า “ตระกูลมู่หรงคงรู้สึกว่าพวกเราอ่อนแอเกินไป ไม่แม้แต่ส่งคนระดับสูงมา แต่กลับส่งพวกที่ขนยังไม่ขึ้นมาท้าประลองเลยอย่างงั้นรึ?”
เหล่าเหว่ยที่ยังคงเงียบ.
เจ้านิกาย ท่านและพวกเขาก็อายุไม่ได้ห่างกัน.
......
เพียงไม่นาน.
มุ่หรงเส้าหลินและทายาทสายตรงของตระกูลมู่หรงก็ถูกนำขึ้นเขามา.
ศิษย์นิกายนิรันดรหลายพันคนที่ล้อมรอบลานยุทธ์ ห้อมล้อมทายาทตระกูลมู่หลงเอาไว้.
อย่างไรก็ตาม เหล่าทายาทตระกูลมู่หรงที่ลอบคิด.
เขาได้ยินมาว่านิกายนิรันดรแข็งแกร่ง ไม่คาดคิดเลยว่ามีแต่พวกหน้าใหม่ระดับศิษย์ยุทธ์เท่านั้น.
“ทุกท่าน.”
หลี่ชิงหยางที่ก้าวออกมาจากห้องโถง ยกมือประสาน “ต้องการท้าทายนิกายนิรันดรของพวกเราอย่างงั้นรึ?”
กับทายาทสายตรงตระกูลหนึ่งมาท้าทาย ไม่จำเป็นต้องถึงมือจุนซ่างเซียว เพียงแค่ศิษย์ลำดับสองก็พอแล้ว.
อย่างไรก็ตาม.
เหล่าคนที่มาท้าทายนี้ ไม่ต่างจากขยะเลยก็ว่าได้.
มู่หรงเส้าหลินยกมือประสาน เอ่ยออกมาว่า “ได้ยินมาว่าศิษย์เซียวจุ้ยจื่อ ต้องการท้าประลองถังเม่ยของข้า ให้เขาออกมา พิสูจน์คุณสมบัติกับนายน้อยผู้นี้.”
“ขออภัย.”
หลี่ชิงหยางเอ่ย “ศิษย์น้องเซียวนั้นปิดด่านฝึกฝนอยู่ ไม่มีเวลามารับการประลอง หากพวกเจ้าต้องการสู้.”
เขาหยุดและชี้ไปยังลานยุทธ์ เอ่ยออกมาว่า “เลือกใครก็ได้มาประลองได้สบาย.”
มู่หรงเส้าหลินที่ขมวดคิ้ว.
แม้นว่าศิษย์นิกายนิรันดรจะมีมาก ทว่ากลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้สูงสุดก็แค่อาจารย์ยุทธ์ แม้แต่มีเด็กสาววัย 6-7 ขวบด้วย นี่กำลังดูแคลนพวกเราอยู่รึ?
“ในเมื่อเซียวจุ้ยจื่อไม่สามารถสู้ได้ ข้าก็ขอประลองกับศิษย์สายใน.”มู่หรงเส้าหลินเอ่ย.
หากว่าเอาชนะศิษย์สายในนิกายนิรันดรได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว.
หลี่ชิงหยางส่ายหน้าไปมา เอ่ยออกไปว่า “ความแข็งแกร่งของเจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่มีคุณสมบัติท้าประลองกับศิษย์สายใน เพียงแค่ศิษย์ฝึกหัดและศิษย์สายนอก สามารถเลือกได้เลย.”
ไม่มีคุณสมบัติอย่างงั้นรึ?
คิดว่าพวกเราไร้พลังอย่างงั้นรึ?
“พี่เส้าหลิน!”
ทายาทสายตรงคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ “นิกายนิรันดรกำลังดูแคลนพวกเรา!”
มู่หรงเส้าหลินที่กำหมัดแน่น แววตาเย็นชา “พวกเราไม่ได้เดินทางมารังแกพวกมือใหม่ มีเพียงแค่ศิษย์สายในที่พอจะรับมือพวกเราได้.”
มือใหม่อย่างงั้นรึ?
หลี่ชิงหยางเอ่ยเสียงดัง “ศิษย์น้อง ปลดปล่อยกลิ่นอายต้อนรับแขกที่มาไกลหน่อย ใครกันที่เป็นมือใหม่!”
ซูมมมมมมม -----
ในเวลานั้น ทุกคนที่หยุดใช้ศาสตร์ปิดพลัง ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังบ่มเพาะทั้งหมดออกมา.
ศิษย์หลายพันคนที่ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาพร้อม ๆ กัน ราวกับพายุใต้ฝุ่น ที่โถมทับจนเหล่าทายาทตระกูลมูหลงถอยออกไปหลายก้าว แม้แต่บางคนต้องนั่งทรุดไปกับพื้น.