Chapter 210: Refining Item Seeking Gu, a Gu worm that can search for all treasures in the world. 2/2
ปกติแล้วผมคิดค่าแปลตามจำนวนคำ โดยคิด 1 ตอน เมื่อครบ 12,000 คำ แต่บางตอนอาจมีจำนวนคำไม่เท่ากัน เช่น 18,000 คำ หรือ 12,000 คำ สำหรับกรณีนี้ ผมจะแยกส่วนเกิน 6,000 คำจากตอน 18,000 คำ ไปรวมกับตอนถัดไป เพื่อให้ครบ 12,000 คำ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใจของโจวสุ่ยก็สั่นไหว และเขาก็อยากใช้กู่หนอนเสาะหาสมบัติเพื่อค้นหาวัสดุหลักสำหรับกู่วสันตสารททันที
หากเขาสามารถค้นหาวัสดุหลักสำหรับกู่วสันตสารทได้ เขาจะกลายเป็นอมตะทันที และผลประโยชน์ก็คาดเดาได้
ฮู่ ลา ลา ~~
ในพริบตา โจวสุ่ยก็ส่งพลังปราณของเขาเข้าสู่กู่หนอนเสาะหาสมบัติ พลังลึกลับแผ่ออกมาจากกู่หนอนเสาะหาสมบัติ คล้ายกับคลื่นที่มองไม่เห็น ค่อยๆ แยกแยะเส้นด้ายแห่งเหตุปัจจัยมากมายในโลก
"อะไรนะ? ไม่มีอะไรเลย?!"
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โจวสุ่ยก็เบิกตากว้าง เขาไม่สามารถรับข้อมูลที่มีประโยชน์ใดๆ จากกู่หนอนเสาะหาสมบัติได้ เขาเห็นเพียงว่าร่างกายของกู่หนอนเสาะหาสมบัตินั้นเหี่ยวแห้งลง ราวกับว่าพลังชีวิตของมันได้รับความเสียหายอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่ากู่หนอนเสาะหาสมบัติเพิ่งใช้พลังทั้งหมดของมัน แต่ก็ยังไม่พบอะไร
"ดูเหมือนว่าไอเท็มที่ค้นหาจะเกินระดับของกู่หนอนเสาะหาสมบัติไม่ได้"
"และมันก็ไม่สามารถเกินกว่าระยะการค้นหาของกู่หนอนเสาะหาสมบัติได้เช่นกัน"
"มิฉะนั้น แม้จะมีพลังของกู่หนอนเสาะหาสมบัติ มันก็จะไม่สามารถรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ ได้"
"แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกู่หนอนเสาะหาสมบัติที่เพิ่งเกิดใหม่นั้น อยู่ที่ระดับหนึ่งเท่านั้น"
"ด้วยวิธีนี้ แน่นอนว่ามันจะหาสมบัติล้ำค่ามากมายไม่ได้"
โจวสุ่ยลูบไล้คางของเขา เขาได้รับข้อมูลมากมายจากกู่หนอนเสาะหาสมบัติ และในตอนนี้เขาก็เข้าใจถึงขีดจำกัดของความสามารถของกู่หนอนเสาะหาสมบัติ มันไม่ได้เก่งไปหมดทุกเรื่อง
เมื่อระดับกู่หนอนเสาะหาสมบัติพัฒนาสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการค้นหาสมบัติก็ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพนั้นย่อมมีขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับความสามารถของกู่หนอนเสาะหาสมบัติ
วูบ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เก็บกู่หนอนเสาะหาสมบัติทันที
(คือไอตอนที่ มัน งง ซ้ำไปมา เพราะจีนคนเขียนสามหน้าแต่อิง มันแปลบวกน่าจะเติมเองด้วยล่อไป 17หน้า ผมก็ งง ๆ อยู่เหมือนกันแต่ถ้าให้สรุป คือของล้ำค่าต้องรอให้มันเพิ่มระดับก่อนถึงจะหาได้ครับ)
ท้ายที่สุด กู่หนอนเสาะหาสมบัติตอนนี้อยู่แค่ระดับหนึ่ง และสามารถใช้งานได้เพียงเดือนละครั้ง
เก็บมันไว้ก่อนแล้วลองใช้อีกครั้งเดือนหน้า
................
หลายวันต่อมา
กองเรือรบขนาดใหญ่บินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสหพันธ์ไร้ขอบเขต
หลังจากออกจากเกาะเซียนเซี่ย ทุกอย่างก็สงบลง
หลายสิ่งหลายอย่างกลายเป็นปกติ
แม้ว่าพวกเขาจะพบกับสัตว์อสูรระดับสองและสามระหว่างทางเป็นครั้งคราว แต่พวกมันก็ไม่ใช่สิ่งใดต่อหน้าพลังของเล้งอวี้ซีและคนอื่นๆ พวกมันถูกกำจัดในพริบตาและกลายเป็นทรัพยากรสำหรับผู้บ่มเพาะ
โจวสุ่ยก็อยู่บนเรือเหาะ บ่มเพาะอย่างเงียบๆ
ในตอนนี้ เขากำลังศึกษาวิชาการวางค่ายกล
ท้ายที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนกระบี่ คาถา และสิ่งอื่นๆ ภายในเรือรบ เช่นเดียวกับการกลั่นยา
ดังนั้นเขาจึงศึกษาการวางค่ายกลได้เพียงอย่างเดียว
โชคดีที่การฝึกฝนค่ายกลของเขาได้ถึงระดับสามขั้นต่ำ บนเกาะเซียนเซี่ย เขาสามารถถือว่าเป็นอาจารย์ใหญ่แห่งค่ายกลได้แล้ว
แน่นอนว่าในตอนนี้ เขายังได้นำกู่หัวใจแห่งการวางค่ายกลกลับมาเก็บไว้บนร่างกายของเขา
ส่วนค่ายกลป้องกันยอดเขาของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้และสามารถทิ้งไว้ที่เทือกเขาเซียนเซี่ยได้เท่านั้น
"ความลับของค่ายกลระดับสามอยู่ที่การเชื่อมต่อกับชีพจรปราณปฐพีเพื่อสร้างอาณาเขตค่ายกล"
"เมื่อสร้างอาณาเขตค่ายกลแล้ว มันสามารถแยกตัวออกจากความว่างเปล่า ผู้บ่มเพาะภายในอาณาเขตค่ายกลไม่สามารถหลบหนีได้"
"แน่นอน ถ้าใครสามารถเคลื่อนย้ายพริบตาได้ พวกเขาก็ยังสามารถหนีออกจากอาณาเขตค่ายกลระดับสามได้อย่างง่ายดาย"
"หลังจากสร้างอาณาเขตค่ายกลแล้ว สามารถระดมพลังของชีพจรปราณปฐพีระดับสามและปลดปล่อยพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด"
"แม้แต่ผู้บ่มเพาะระดับแกนทอง ยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด นี่คือพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของค่ายกลระดับสาม"
โจวสุ่ยนั่งขัดสมาธิบนพื้น คิดทบทวนถึงความลับของค่ายกลระดับสามอย่างรอบคอบ
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาผสานกับกู่หัวใจแห่งค่ายกลและและควบคุมค่ายกลระดับสามขั้นสูง รูปแบบหยินหยางหมอกม่วง ได้อย่างอิสระ เขาเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างมนุษย์กับค่ายกล สิ่งนี้ยังทำให้เขาเข้าใจค่ายกลระดับสามมากขึ้น
มีสัญญาณการก้าวหน้าสู่ระดับสามขั้นกลาง
กล่าวได้ว่าความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับค่ายกลนั้นเร็วกว่าความก้าวหน้าของเขาในวิชาการบ่มเพาะอื่นๆ
ท้ายที่สุด การฝึกฝนค่ายกลนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจล้วนๆ
เขาใช้พลังของกู่หนังสือและกู่หัวใจแห่งค่ายกลเพื่อทำความเข้าใจความลับของค่ายกลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้ยังช่วยให้เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว
"ค่ายกลระดับสี่นั้นแข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับสามมาก เทียบได้กับพลังการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะระดับแยกวิญญาณ"
"หัวใจหลักของค่ายกลระดับสี่ คือ "การซ้อนทับค่ายกล" ซึ่งแตกต่างจากค่ายกลระดับสามอย่างสิ้นเชิง"
"ก่อนหน้าระดับสาม ค่ายกลจะแยกประเภทใช้งานอย่างเด็ดขาด ไม่สามารถซ้อนทับกันได้"
"ค่ายกลภาพลวงตาทำหน้าที่หลอกลวง ค่ายกลสังหารสร้างความเสียหาย ค่ายกลป้องกันก็ทำหน้าที่ป้องกัน ทุกอย่างมีเส้นแบ่งชัดเจน"
"แต่ด้วยค่ายกลระดับสี่ ค่ายกลต่างๆ สามารถรวมเข้าด้วยกันได้"
"การรวมค่ายกลไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ จำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่ตรงกัน มิฉะนั้นจะเกิดความขัดแย้งในพลัง ส่งผลให้ค่ายกลระเบิดและพังทลาย"
"แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันสำเร็จ พลังจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่า มันไม่ง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่ง แต่มันเป็นการเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ"
โจวสุ่ยอดไม่ได้ที่จะอุทาน ความรู้ที่เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลระดับสี่ทำให้เขารู้สึกเวียนหัวทันใดนั้น
เพราะความซับซ้อนของค่ายกลระดับสี่นั้นมากกว่าค่ายกลระดับสามถึงสิบเท่า
แค่การวางค่ายกลเพียงอย่างเดียวก็เป็นงานที่ยากลำบากมากแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงการวางค่ายกลสองแห่งและรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อดึงพลังของค่ายกลต่างๆ ออกมา
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ค่ายกลหัวล้านได้แล้ว
ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสร้างรากฐานแต่เขากลับศึกษาค่ายกลระดับสี่อยู่แล้ว เปรียบเสมือนนักเรียนประถมศึกษาที่พยายามเรียนรู้ความรู้ระดับมหาวิทยาลัย ชัดเจนว่ามันเกินขีดความสามารถของเขาในปัจจุบัน
"ลืมมันไปเถอะ ลืมมันไป ไม่จำเป็นต้องคิดมาก"
"ช่างมันเถอะ ลืมๆ ไปบ้าง เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องคิดมาก"
"เอาเป็นว่าเรามาฝึกฝนค่ายกลระดับสามให้ชำนาญก่อนดีกว่า ตอนนี้ฉันยังควบคุมค่ายกลระดับสี่ไม่ไหว"
"ถ้าฉันฝึกฝนค่ายกลระดับสามจนคล่องแคล่วและค้นหาชีพจรปราณปฐพีระดับสามได้ ถึงแม้จะเป็นผู้บ่มเพาะแกนทองก็ไม่มีทางทำอะไรฉันได้"
"แค่พลังระดับนี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะสร้างฐานที่มั่นในแถบทะเลคังหลั่นได้แล้ว"
โจวสุ่ยสูดหายใจลึกๆ และสงบสติอารมณ์
"สามี คุณทำอะไรอยู่? ทำไมไม่เข้ามาบ่มเพาะ?"
ทันใดนั้น เสียงอันไพเราะก็ดังมาจากด้านนอก
คนที่พูดคือ เฉินปี้เชียน ผู้บ่มเพาะหญิงระดับแกนทอง ช่วงนี้เธอมักรบกวนโจวสุ่ยระหว่างการบ่มเพาะ ถึงขนาดที่เขาไม่สามารถนอนหลับตอนกลางคืนได้
"ใช่ อย่าศึกษาค่ายกลอีกเลย มาบ่มเพาะกับพวกเรากันเถอะ"
"การบ่มเพาะคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ศึกษาค่ายกลแค่พอหอมปากหอมคอ ไม่จำเป็นต้องหมกมุ่น"
"นั่นสิ พวกเราด้อยกว่าค่ายกลพวกนั้นหรือไง?"
เหล่าภรรยาที่สวยงามเบ้ปาก
"อะไรนะ?!" โจวสุ่ยสะบัดตัวลุกขึ้นทันที รู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์การศึกษาค่ายกลและบ่มเพาะอย่างบ้าคลั่ง
ดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว ใครกันนะที่ทำให้เหล่าภรรยาของเขา คลั่งไคล้ขนาดนี้ อยากจะบ่มเพาะคู่และศึกษาเต๋ากับเขาตลอดเวลาเลย
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้บ่มเพาะหลายคนถึงพูดว่า การไม่มีผู้หญิงอยู่ในใจทำให้พวกเขาสามารถจดจ่อกับการบ่มเพาะได้
ก็คงต้องพูดว่าผู้หญิงนี่แหละที่ทำให้การบ่มเพาะล่าช้า
แน่นอนว่าสำหรับโจวสุ่ยแล้ว มันไม่สำคัญเลย ถ้ามันจะล่าช้าก็ช่างมันเถอะ
ท้ายที่สุด เขามีอายุยืนยาว
แค่ในระดับสร้างรากฐานเขาก็มีอายุขัยมากกว่าหนึ่งพันปี เทียบได้กับเต่าพันปี
ไม่ว่าเขาจะบ่มเพาะอย่างไร เขาก็จะสามารถขึ้นสู่แกนทองได้อย่างแน่นอน
และการบ่มเพาะกับภรรยาก็ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาเร็วกว่าการบ่มเพาะคนเดียว
นี่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ชนะทั้งสองฝ่าย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โจวสุ่ยก็ไม่ลังเลและเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อบ่มเพาะกับคู่บรรดาภรรยาของเขา
ส่วนเรื่องค่ายกลก็ค่อยศึกษาวันหลัง
(จบบทนี้)