ตอนที่แล้วบทที่ 13 อาณาจักรต้าหลัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 ผู้บ่มเพาะวิถีมาร

บทที่ 14 เอาชนะตนเอง


หลังหนีความวุ่นวายกลับถึงโรงเตี๊ยม ฉินจวินได้สั่งให้คนเตรียมโต๊ะสุราและอาหารเป็นพิเศษเพิ่มความเพลิดเพลินให้แก่วงสนทนาระหว่างเขากับเฉินซูหลี่ เนื่องด้วยชีวิตก่อนหน้านี้เขาเป็นคนจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารล้นหลาม ประกอบกับการที่เขาทำงานในบริษัทมาหลายปี แผนการจัดการที่เขาพูดจึงทำให้เฉินซูหลี่ถึงกับทึ่งจนหยุดชื่นชมไม่ได้

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินเหมี่ยวอินได้เห็นพี่ใหญ่ของนางชื่นชมใครสักคน ซึ่งมันทำให้นางเริ่มสนใจในตัวของฉินจวินมากขึ้น

ไม่ช้า ต้าจี๋และฉางเฉียนเฉียนก็ลงมายังชั้นล่างพอดีที่เห็นฉินจวินนั่งพูดคุยและหัวเราะกับสองพี่น้องคู่นี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นพวกนางก็ไม่รอช้าเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างไว

ทันทีที่เฉินซูหลี่และเฉินเหมี่ยวอินเห็นต้าจี๋ พวกเขาตะลึงกับรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของนางจนเริ่มรู้สึกตัวว่าจ้องนานเกินไป เฉินซูหลี่รีบเบือนหน้าหนียังทางอื่นเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทไปมากกว่านี้ก่อนที่หลังจากนั้นฉินจวินจะแนะนำพวกเขาให้รู้จักกันเพียงสั้นๆ

“เจ้ามั่นใจแค่ไหนในการทดสอบครั้งนี้ของอาณาจักร” ฉินจวินถามด้วยรอยยิ้มขณะยกชาขึ้นดื่ม

“ข้าพร้อมที่จะพิสูจน์ตนเองได้แน่นอน” เฉินซูหลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ แม้เขาไม่ได้บอกว่าต้องเป็นที่หนึ่งแต่น้ำเสียงของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานชัดเจน

เฉินซูหลี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง “เจ้าคือองค์ชายสามใช่หรือไม่...”

เมื่อประเด็นสำคัญถูกเอ่ยถามขึ้น ฉางเฉียนเฉียนและเฉินเหมี่ยวอินที่นั่งตั้งใจฟังเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งจดจ่อมากกว่าเดิม พวกนางสงสัยที่สุดเกี่ยวกับตัวตนของฉินจวิน

“ฮ่าฮ่า ดีที่เจ้ารู้ แต่อย่าได้กังวลไปเลย แม้ตอนนี้ข้าจะตกต่ำแต่มั่นใจว่าพลังจะกลับคืนมา” ฉินจวินขัดจังหวะเขาโดยบอกว่าในโรงเตี๊ยมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป ดังนั้นเราจึงปล่อยให้ผู้อื่นกระจายข่าวเรื่องนี้ไม่ได้

เฉินซูหลี่เผยรอยยิ้มด้วยความขมขื่นก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เท่าที่ข้ารู้ สถานการณ์ตอนนี้ของเจ้าไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ก็เป็นการยากหากคิดจะกลับไป”

ขณะพูดเขาก็เริ่มคิดหาวิธีส่งฉินจวินกลับไป ถึงจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยเขาจากคนพวกนั้น แต่ก็ไม่อยากลงเรือลำเดียวกับองค์ชายสามผู้ถูกปลดจากฐานะเดิม

แม้บุญคุณต้องทดแทน ก็ไม่อาจเอาอนาคตของตนเองมาเสี่ยงได้

“บังเอิญข้าเพิ่งสังหารเสี่ยวโหวไปไม่นาน หัวของเขายังอยู่ในนี่กับข้า” ฉินจวินแตะแหวนเก็บของของเขาก่อนยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจในฝีมืออันกล้าหาญของตน

เสี่ยวโหว!

เฉินซูหลี่และเฉินเหมี่ยวอินถึงกับหายใจติดขัดเมื่อได้ยินชื่อนี้ เสี่ยวโหวเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับอาณาจักรเฉียนเยว่เพราะเขาเป็นหนึ่งในชายที่แข็งแกร่งไม่กี่คนในระดับอาณาจักรแก่นทองคำ

“ใช่ เสี่ยวโหวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องหญิงต้าจี๋เลยสักนิด” ฉางเฉียนเฉียนที่นั่งฟังอยู่ด้วย จงใจพูดดักคอฉินจวินโดยบอกกับสองพี่น้องว่าเสี่ยวโหวจริงๆ แล้วถูกต้าจี๋เป็นคนจัดการ

สองพี่น้องหันมองไปยังต้าจี๋อย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ทันตั้งตัว พวกเขาไม่คิดว่าหญิงงามผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับอาณาจักรแก่นทองคำมากขนาดนั้นเสียอีก

อยู่ๆ เฉินซูหลี่ก็ลุกขึ้นยืน เขายกมือขึ้นพร้อมคำนับไปทางฉินจวินก่อนพูดว่า “แล้วพบกันใหม่ นายท่าน”

ฉางเฉียนเฉียนถึงกับตะลึง ก่อนหน้านั้นเขายังแลดูลังเลแล้วอยู่ๆ เหตุใดจึงยอมให้ความเคารพได้ละ

อย่างที่ทุกคนรู้ เฉินซูหลี่ไม่เชื่อว่าฉินจวินจะสามารถสังหารเสี่ยวโหวได้โดยลำพัง แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคือเขาเป็นผู้ที่สามารถกำราบต้าจี๋ ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรแก่นทองคำได้เนี่ยสิ

ซึ่งเขาเข้าใจดีว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเกลียดเสี่ยวโหวที่สุด หากเมื่อใดฉินจวินมอบศีรษะของเสี่ยวโหวให้กับจักรพรรดิ ไม่ว่าอาชญากรรมจะร้ายแรงแค่ไหนก็จะถูกปกปิดเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

โอกาสมีให้รีบคว้า

ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมกับฉินจวิน แต่ในอนาคตเขาก็ต้องเลือกฉินจวินอยู่ดีหากเขาได้รับฐานะเดิมกลับมา

เพราะหากไม่มีผู้สนับสนุน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวง

แม้เขาจะเชื่อเสมอว่าความรู้สามารถเปลี่ยนโชคชะตาได้ แต่เขาก็เข้าใจด้วยว่าสุดยอดปรมาจารย์ที่สามารถสังหารเสี่ยวโหวได้มีประโยชน์เพียงใด และไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าเมื่อมีต้าจี๋อยู่ข้างๆบัลลังก์ของฉินจวิน เขาจะมีความมั่นคงเพียงใด

ในโลกนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งถึงจะได้รับการเคารพนับถือ

“เรียกข้าว่านายน้อยเถอะ ความสัมพันธ์ของเราไม่อาจเปิดเผยได้จนกว่าเจ้าจะเข้าทดสอบเป็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะอันดับหนึ่ง เข้าใจหรือไม่”  ฉินจวินพูดด้วยรอยยิ้มขณะที่ยื่นอยู่ข้างฉางเฉียนเฉียนผู้ที่เขาไม่เคยใส่ใจขนาดนี้เลยแม้จะเดินทางมาด้วยกันหลายวัน เพราะเขารู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นคนที่อ่อนต่อโลกและเล่ห์เหลี่ยมมีไม่มากนัก

เฉินซูหลี่สูดหายใจเข้าลึกก่อนหย่อนก้นนั่งลงช้าๆ ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อย่างไม่แน่ใจเนื่องด้วยคิดว่าฉินจวินต้องการทดสอบ

ไม่เพียงรู้สึกว่าไม่ท้อแท้เท่านั้น แต่เขายังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการฮึดสู้

หากฉินจวินเชื่อใจเขาโดยไม่มีเงื่อนไขเนี่ยสิ เขาคงจะรู้สึกแปลกอยู่พอสมควร

“เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนกันเถอะ”

ฉินจวินโบกมือลา งานนี้เขาขึ้นเป็นผู้นำโดยไม่รู้ตัวซึ่งเฉินซูหลี่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่กลับตื่นเต้นมากกว่า

เพราะที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงลูกนอกสมรสเจ้าเมืองชิงถาน ซึ่งสถานะในเมืองของเขานั้นยังดูต่ำต้อยกว่าคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ แล้วเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรหากรู้ว่าจะมีวาสนาทำให้ตนเองเป็นที่ชื่นชอบต่อผู้มีเส้นสายอย่างองค์ชายสาม

“พี่ชายฉินจวิน เจอกันพรุ่งนี้”

เฉินเหมี่ยวอินโบกมือให้ฉินจวินแล้วเผยยิ้มงามซึ่งเขาเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น พรุ่งนี้เขาก็จะออกเดินทางกันแล้วใครจะได้เจอเจ้าอีกแม่สาวน้อย

ฉินจวินพอใจที่สามารถสร้างสัมพันธ์กับเฉินซูหลี่ได้สำเร็จ

ถึงเฉินซูหลี่จะยังเด็กอยู่แต่เขาก็เข้าใจว่าการเติบโตไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน

หลังสองพี่น้องจากไป ต้าจี๋ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “นายน้อย เฉินซูหลี่ผู้นี้ดูอ่อนแอขนาดนั้น ท่านชอบอะไรในตัวเขางั้นหรือ”

“นั่นนะสิ ข้าสามารถบดขยี้เขาตายได้ด้วยอุ้งเท้าเพียงข้างเดียวด้วยซ้ำ” เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนตามมากับคำดูถูกอีกตัว

แม้ฉางเฉียนเฉียนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร แต่ดวงตากลมโตของนางก็ยังคงจับจ้องฉินจวินอย่างใกล้ชิดด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน

“พวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก” ฉินจวินไม่อธิบายแต่ทำแชเชือนกับคำถาม ทำให้หญิงงามสองคนและเจ้าสุนัขอีกตัวกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทางวางมาดของเขา

ขณะที่พวกเขากำลังจะลุกขึ้นกลับไปยังหอนอนของตน ฉางห่าวก็เดินผ่านประตูโรงเตี๊ยมเข้ามาสบตากับฉินจวินและคนอื่นๆ ยืนคุยกันอยู่พอดี แม้อยากจะแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็ต้องทำเป็นฝืนยิ้มให้ฉินจวินก่อนเดินขึ้นไปชั้นบนทันที

ดูมีลับลมคมใน...

ฉินจวินขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นท่าทางของเขา ถึงไม่นานนี้ฉางห่าวจะดูซื่อสัตย์แปลกๆ แต่ความประทับใจแรกของเขาที่มีต่อฉินจวินคือเป็นคนหยิ่งผยอง ซึ่งคนเช่นนี้ไม่มีวันขี้ขลาดแต่จะเก็บความเกลียดชังไว้ในใจ

แต่เพราะมีฉางเฉียนเฉียนอยู่ใกล้ๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฉินจวินที่จะพึมพำหรือเอ่ยอะไรน่าสงสัยออกไป นอกจากนี้ เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งอันแท้จริง การสมคบคิดและอุบายใด ๆ ก็ไร้ประโยชน์

เวลาเดียวกันนั้น เหล่าตระกูลหลักทั้งหมดในเมืองชิงถานต่างกำลังพูดถึงฉินจวิน

......

ตระกูลเฉิง

ณ.ห้องโถงประจำตระกูล ชายวัยกลางคนรูปกายกำยำรับกับหนาวยาวบนใบหน้าจ้องมองไปยังเฉิงเจี๋ยด้วยท่าทางขึงขังน่าเกรงขามแล้วถาม “เจ้าแน่ใจหรือว่าคือทหารองครักษ์”

เขาคือเฉิงจ้านผู้นำตระกูลเฉิง ซึ่งเป็นปรมาจารย์ระดับสี่ในอาณาจักรก่อสร้างรากฐาน

“ใช่ เขาสวมชุดองครักษ์ เพียงแต่เด็กมาก อาจอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น” เฉิงเจี๋ยพูดขณะนึกถึง

“องครักษ์ที่อายุสิบหกสิบเจ็ดปีอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้ยังไง” เฉิงจ้านค้านอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เฉิงเจี๋ยกล่าว “องครักษ์จะต้องถูกเลือกจากกองทัพ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีองครักษ์อายุน้อยขนาดนั้น แล้วองครักษ์ที่ไหนจะสามารถออกจากเมืองหลวงได้หากไม่มีเหตุจำเป็น”

เฉิงเจี๋ยก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาถามกลับอย่างเริ่มสงสัย “หรือข้าจะถูกหลอก”

“หากครั้งต่อไปมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกก็ควรตรวจสอบให้ดีเสียก่อน อย่าทำไก่ตื่นจนฐานะของเจ้าสั่นคลอนเพราะผู้สืบทอดตระกูลเฉิงคนต่อไปก็คือเจ้า” เฉิงจ้านพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับไม่พอใจในความขี้ขลาดของเฉิงเจี๋ย

“ข้าจะไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากและจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก” เฉิงเจี๋ยพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ ตอนนี้เขาเกลียดฉินจวินเข้าไส้การกลั่นแกล้งเฉินซูหลี่เป็นงานที่เฉิงจ้านมอบหมายให้เขาทำ ยิ่งได้พบกับเฉินเหมี่ยวอินวันนี้ทุกอย่างยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้สุดท้ายเขาต้องปล่อยนางไป

อัปยศสิ้นดี!

น่าละอายชะมัด

ตอนนี้ เฉิงเจี๋ยได้แต่สาบานกับตนเองว่าจะทำให้ฉินจวินต้องเสียใจที่กล้าทำเขาอับอายต่อหน้าผู้คนนับร้อยโดยเฉพาะกับคู่ปรับอย่างเฉินซูหลี่

อีกด้านหนึ่ง เฉินเหมี่ยวอินได้เล่าเรื่องราวที่ตนผจญมาด้วยความประใจให้กับเจ้าเมืองอย่างเฉินจ้านเจี้ยนฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนนี้

ปีนี้เฉินจ้านเจี้ยนก็อายุครบห้าสิบปี เส้นผมเริ่มมีสีเทาขึ้นแซมเล็กน้อยแต่ร่างกายยังคงแข็งแรงราวเหล็กกล้าห่างไกลจากอายุลิบลับ แววตาและสีหน้าบึ้งตึงแสดงออกถึงความไม่พอใจที่จับได้ว่าลูกสาวแอบหนีออกจากจวน แล้วยิ่งเมื่อได้ยินว่าเฉิงเจี๋ยรังแกเฉินซูหลี่บนถนนต่อหน้าผู้คนมากมายในตลาด ความโกรธของเขาต่อคนตระกูลเฉิงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทันทีก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์เป็นสงสัยถึงการปรากฏตัวของฉินจวินเพื่อขอความยุติธรรมให้เฉินซูหลี่

“ชายหนุ่มคนนั้นมีนามว่าอะไร แล้วเขาคือใคร” เฉินจ้านเจี้ยนขมวดคิ้วพร้อมกับถามด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด