บทที่ 13 อาณาจักรต้าหลัว
“นั้นคงไม่ได้หมายความว่านอกจากความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีพลังปราณอื่นอีกหรือ” ฉินจวินถามด้วยความสนใจ ขณะที่เฉินเหมี่ยวอินและเฉินซูหลี่ยังคงโต้เถียงกับเฉิงเจี๋ยอยู่อย่างดุเดือด
“อันที่จริง สิ่งที่เรียกว่าพลังปราณเหล่านี้เรียกรวมกันว่าพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาบางคนสามารถประสบความสำเร็จจนทะลวงไปสู่ระดับอาณาจักรต้าหลัวได้ ดังนั้นการสร้างพลังปราณศักดิ์สิทธิ์จึงถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระและมีโอกาสที่จะกระตุ้นพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ได้ดีกว่าคนรุ่นก่อน”
ปราณศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ
อาณาจักรต้าหลัว
ดวงตาของฉินจวินเบิกกว้าง เมื่อได้รู้ข้อมูลพวกนี้
พอเขากำลังจะถามต่อ ระบบก็เอ่ยขัดเขาอย่างรู้ทัน “โฮสต์ไม่มีคุณสมบัติเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ ดังนั้นถึงคุณถาม ฉันก็จะไม่ตอบ ทั้งหมดที่ฉันสามารถบอกได้ คือโอกาสที่พลังปราณศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏนั้นต่ำมาก หากโฮสต์กำราบเฉินซูหลี่ได้ โอกาสได้เลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิในอนาคตก็มีเพิ่มขึ้น”
เลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิ...
นัยน์ตาฉินจวินลุกโชนไปด้วยไฟปรารถนาทันที
“ระบบ เหนืออาณาจักรคือจักรพรรดิใช่หรือไม่” ฉินจวินยังคงถามต่อ
“ถูกต้อง หลังได้เลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิแล้ว อาณาจักรก็จะมีโชคลาภ โชคลาภที่มักมาพร้อมความเสื่อมถอยของอาณาจักร ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ เหนือจักรพรรดิคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งเหล่านั้นอยู่ไกลโฮสต์เกินไป และเงื่อนไขการเลื่อนขั้นจากอาณาจักรขึ้นสู่จักรพรรดิ สภาพการณ์ก็รุนแรงมากพอสมควร” ระบบอธิบายอย่างอดทน
ในเวลานี้ เฉิงเจี๋ยยังคงกล่าววาจาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าเมืองจะช่วยเจ้าได้ สายไปแล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้ากลับ เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะเป็นของข้า”
“เจ้า!”
“หุบปาก!”
เฉินเหมี่ยวอินสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกของนางเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ เฉินซูหลี่ได้เห็นก็ทนไม่ได้ถึงกับง้างมือเตรียมหมัดพุ่งออกไป แต่เขาหรือจะสู้เฉิงเจี๋ยได้
เฉิงเจี๋ยไม่จำเป็นต้องหลบด้วยซ้ำ เขาหยุดหมัดขวาของเฉินซูหลี่ด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย และเพียงผลักเบาๆ เฉินซูหลี่ก็ถึงกับเซถอยกลับไปสามถึงสี่เมตร ขณะที่เขากำลังจะล้มลงอีกครั้ง มืออันแข็งแกร่งก็รับเข้าที่หลังของเขาได้ทันท่วงที ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองเจ้าของมือคู่นั้นด้วยความอับอายก่อนจะเห็นสีหน้ายิ้มแย้มและหล่อเหลาของฉินจวิน ( ͡° ͜ʖ ͡° )
“ขอบคุณ”
เฉินซูหลี่กระซิบ แล้วรีบตรงดิ่งไปหาเฉิงเจี๋ยอีกครั้ง
แม้รู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะชายผู้นั้นได้ แต่เขาก็ยังไม่คิดยอมแพ้และยืนหยัดจะต่อสู้ ฉินจวินประทับใจในความแตกต่างของเขาอย่างสิ้นเชิง นี่อาจเป็นหน้าที่ของผู้มีความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่หรือเปล่า
ฉินจวินส่ายหัว เพราะเฉินซูหลี่ยังคงประมาทเกินไป แต่จากมุมมองของเฉินซูหลี่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้มแข็งเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เขาจะต้องทนดูน้องหญิงถูกไอ้คนชั่วพาตัวไป
“อย่าเพิ่งวู่วาม”
ฉินจวินก้าวไปข้างหลังเฉินซูหลี่ก่อนวางมือขวาลงบนไหล่เขาเพื่อยั้งไม่ให้เคลื่อนไหวอย่างคนขาดสติจนลืมใช้สมอง ในเวลานี้เฉินเหมี่ยวอินกับเฉิงเจี๋ยก็จับจ้องไปยังฉินจวินด้วยความสงสัยว่าเขาคือใคร
เขาคนนั้นนี่...
ดวงตาแวววาวของเฉินเหมี่ยวอินสว่างไสวขึ้นทันที การชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจที่หน้าประตูเมืองเมื่อช่วงกลางวันถือเป็นการสัมผัสทางกายครั้งแรกของนางกับชายแปลกหน้า และฉินจวินก็เป็นชายผู้ดูสง่างามที่นางยังคงรู้สึกประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษของเขาไม่ลืม
เฉิงเจี๋ยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะเขาจำเสื้อผ้าที่ฉินจวินสวมใส่ได้ มันคือชุดของทหารองครักษ์ในวังหลวงที่ไม่ใช่จะเจอตัวได้ง่ายๆ
คนอย่างชายผู้นี้นะหรือจะเป็นทหารองครักษ์ในวังได้
“ชอบนักหรือรังแกคนไม่มีทางสู้” ฉินจวินมองดูเฉิงเจี๋ยพร้อมกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา ด้านหลังเขามีผู้ติดตามสองคนที่เป็นเพียงผู้กลั่นลมปราณระดับสาม ส่วนตัวเฉิงเจี๋ยเองก็อยู่ที่ระดับสี่ของอาณาจักรกลั่นลมปราณเท่านั้น ในเมืองชิงถาน เขาอาจเป็นผู้มีความโดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่ในสายตาของฉินจวิน เขาก็ไม่ต่างอะไรจากหมาหรือแมวข้างถนน
“เจ้าคือทหารองครักษ์งั้นหรือ” เฉิงเจี๋ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้หน่วยงานจะอยู่ห่างจากส่วนกลางหากทำเรื่องโดยพละการคงไม่มีเรื่องผูกมัด* และตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในตลาดแล้ว แต่หากคิดจะมีเรื่องกับทหารองครักษ์ พวกเขาคงจะถูกตระกูลอื่นจับส่งทางการได้ง่ายๆ
ทหารองครักษ์!
ฟู่—
ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความเกรงกลัว ขนาดรูม่านตาพวกสอดรู้ประจำตระกูลอื่นบางคนถึงกับลดลงและถอยกลับไปทีละคนเพื่อเตรียมรายงานต่อตระกูลตนเอง
สถานะของเมืองชิงถานในอาณาจักรเฉียนเยว่นั้นแทบอยู่ในระดับปานกลาง และทหารองครักษ์ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิที่แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่อาจแทรกแซงได้
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้า อภัยคนได้พึงให้อภัย** ปล่อยพวกเขาไปซะ” ฉินจวินพูดอย่างเรียบเฉย ตัวตนของเขาตอนนี้เป็นเพียงผู้กระทำความผิด ซึ่งคงจะไม่ดีหากถูกรู้เข้า
สีหน้าของเฉิงเจี๋ยถึงกับเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองคนตรงหน้าทันที เขากัดฟันแล้วได้แต่พูดอย่างไม่เต็มใจนัก “เอาล่ะ งั้นถือว่าข้าเห็นแก่หน้าท่านแล้วกัน ไปกันเถอะ”
สมกับเป็นทายาทตระกูลใหญ่ ที่เข้าใจว่าไม่ควรยุ่งกับใคร
เมื่อมองดูเฉิงเจี๋ยและคนอื่นๆ จากไป ฉินจวินก็ได้แต่ส่ายหัวแล้วยิ้มเย้ยเบาๆ ก่อนหันกลับไปมองเฉินซูหลี่ซึ่งเขาก็กำลังจ้องมองฉินจวินด้วยความสงสัยไม่ต่างจากคนอื่นเช่นกัน
ในฐานะผู้มีสติปัญญา เขาคงเข้าใจตำแหน่งอย่างเป็นทางการในทุกระดับของอาณาจักรเฉียนเยว่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
มีทหารองครักษ์อายุน้อยเช่นนี้ด้วยหรือ...
โดยพื้นฐานแล้วทหารองครักษ์จะถูกเลือกจากกองทัพและการจะเข้าร่วมกองทัพได้อายุจะต้องเกินสิบหกปีขึ้นไป ซึ่งเขาไม่เชื่อว่าฉินจวินจะถูกเลือกให้เป็นทหารองครักษ์หลังเข้าร่วมกองทัพได้ไม่นาน
สิ่งสำคัญที่สุดคือทหารองครักษ์ของจักรพรรดิไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองหลวงได้ เว้นแต่จะมีคำสั่งเป็นการส่วนตัว
ซึ่งครั้งสุดท้ายที่จักรพรรดิเรียกกองกำลังจากทหารองครักษ์ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายสามที่ถูกปลดจากตำแหน่ง...
เฉินซูหลี่เอาแต่คิดวนไปวนมาในหัว แต่หากฉินจวินรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เขาคงได้ตบปากไอ้เด็กนี้อย่างแน่นอน ให้ตายสิ ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้ เรื่องพวกนี้คาดเดาเองได้หรือ
เมืองชิงถานอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากจนไม่ค่อยมีผู้ได้รับรู้ข่าวสารมากมายเกี่ยวกับที่นั้นนัก จะมีก็แต่ประมุขจากตระกูลต่างๆ เท่านั้นที่ได้รู้และเฉินซูหลี่ก็พอจะทราบข่าวล่าสุดในเมืองหลวง ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าความทะเยอทะยานของเขามีมานานเกี่ยวกับเรื่องทางราชการในเมืองหลวง
“เป็นอย่างไร เจ้าสนใจออกไปเที่ยวเดินเล่นกับข้าไหม” ฉินจวินเลิกคิ้วถาม เขาไม่อยากยอมแพ้กับรูปลักษณ์ภายนอกอันผอมแห้งแต่มีศักยภาพสามารถเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ในการปกครองโลกในอนาคตได้
“เที่ยวเดินเล่นกับเจ้างั้นหรือ” เฉินซูหลี่ทวนคำถามด้วยความประหลาดใจ นี่เขาเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยหรือ
เฉินเหมี่ยวอินมองไปยังฉินจวินด้วยความอยากรู้อยากเห็นในดวงตาอันงดงามแลใสซื่อของนาง
“ชายหนุ่มผู้นี้เป็นทหารองครักษ์จริงหรือ”
“ข้าไม่รู้ ในชีวิตนี้ข้าก็ไม่เคยออกนอกเมืองชิงถานเลยสักครั้ง”
“เสื้อผ้าที่เขาใส่ดูไม่ธรรมดาอยู่นะ”
“สามารถทำให้บุตรชายคนโตของตระกูลเฉิงพ่ายแพ้ได้ คนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน”
ผู้คนรอบๆ ต่างพูดถึงชายหนุ่มในชุดทหารองครักษ์กันมากมาย และเครื่องแบบเหล่าองครักษ์ของจักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะรู้เห็น มิเช่นนั้นพวกทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองคงไม่มีใครกล้ารับค่าธรรมเนียมแรกเข้าจากฉินจวินตอนที่ผ่านเข้ามาหรอก
เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ฉินจวินก่อนที่มันจะมองเฉินซูหลี่ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ผู้บ่มเพาะอ่อนแอคนนี้เพิ่งทะลวงผ่านระดับแรกของอาณาจักรกลั่นลมปราณได้ไม่นาน ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปนักเลย
“ไม่ ความใฝ่ฝันของข้าคือการได้เป็นปราชญ์อันดับหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นข้าราชการในศาลและทำประโยชน์ให้แก่อาณาจักร” เฉินซูหลี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
เฉินเหมี่ยวอินถึงกับยกมือกุมขมับหลังจากได้ยินเช่นนั้น นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพี่ใหญ่ของนางคิดอะไรอยู่ ประโยชน์ของการได้เป็นข้าราชการมีดีตรงไหนกัน
มีเพียงการขัดเกลาพลังปราณและบ่มเพาะความเป็นอมตะเท่านั้นที่จะทำให้เราแข่งแกร่งได้
แสวงหาการได้เป็นเซียนเท่านั้นเป็นวิธีที่ถูกต้อง
“แน่นอน ข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำเช่นเดียวกัน แต่ในระหว่างนี้ หากเจ้าประสบปัญหาอันใด ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ฉินจวินตบไหล่เฉินซูหลี่เบาๆ ด้วยสีหน้าว่าข้าประทับใจในความกล้าหาญของเจ้า
การทดสอบของจักรพรรดิในรอบสามปีกำลังจะมาถึงเร็วๆนี้ และการทดสอบทุกครั้งก็เป็นเพียงเกมของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในอาณาจักรที่แม้แต่องค์ชายกับเหล่าลูกขุนนางชั้นสูงก็ยังเข้าร่วมด้วยเพื่อท้าทายพรสวรรค์ของตนและเอาชนะเพื่อชื่อเสียงเมื่อได้เป็นที่หนึ่งในใต้หล้า
หากเฉินซูหลี่ได้เป็นอันดับหนึ่ง จะต้องทำให้คนสำคัญมากมายต่อสู้กันอย่างแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร” เฉินซูหลี่ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย หากเขากล้าถามคำดังกล่าว แสดงว่าต้องแน่ใจว่าตัวตนของฉินจวินจริงๆ ต้องเป็นมากกว่าองครักษ์ธรรมดาๆ
“หาที่เงียบๆ คุยกันเถอะ” ฉินจวินมองดูผู้คนรอบตัวก่อนหัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ
เฉินซูหลี่พยักหน้าตกลงเพราะตอนนี้เขาก็เริ่มมีความสนใจฉินจวินมากเช่นกัน
“เหมี่ยวอินเจ้ากลับไปก่อนเถอะ ท่านพ่อกำลังตามหาเจ้าอยู่ด้วย” เฉินซูหลี่หันไปพูดกับเฉินเหมี่ยวอินที่แต่งตัวเหมือนขอทานตัวน้อย
“ข้าไม่กลับ” เฉินเหมี่ยวอินกลอกตาแล้วเถียงเสียงดัง “ข้าก็จะบ่มเพาะความเป็นอมตะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นข้าจะไม่อยู่กลายเป็นเครื่องมือและแต่งงานกับใคร”
สำนวนจีน
* 天高皇帝远 (tiān gāo huángdì yuǎn) สวรรค์สูงฮ่องเต้ห่างไกล เดิมหมายถึงสถานที่ห่างไกล อำนาจจากศูนย์กลางไปไม่ถึง ปัจจุบันหมายถึง หน่วยงานอยู่ห่างจากส่วนกลาง ทำเรื่องโดยพละการ ไม่ถูกผูกมัด (ใช้อำนาจโดยพละการ)
** 得饶人处且饶人 (Dé ráo rén chù qiě ráo rén) อภัยคนได้พึงให้อภัย