MDB ตอนที่ 419 วัดต้าหลัวยอมจำนน
เจ้าอาวาสเป็นคนฉลาด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้รับตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก เขายกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้พิทักษ์นกอินทรีที่สวมมงกุฎถอยไป พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นครือว่า
“ภัณฑารักษ์ โปรดใจเย็น ๆ ก่อน เรามาคุยกันดี ๆ แทนที่จะใช้ความรุนแรงกันดีกว่า!”
หลินจินเยาะเย้ยอยู่ข้างในใจ
'ถ้าฉันไม่ใช้เครื่องรางเทพอัคคี คุณคงจะฆ่าฉันให้ตายไปตั้งนานแล้ว’
'พูดคุยหันดี ๆ งั้นเหรอ?’
'ไม่มีทาง!'
ถึงกระนั้น หลินจินก็ไม่ใช่คนโง่ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะจัดการพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาและพูดว่า
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านมีอะไรจะแนะนำข้าอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่ ๆ ได้โปรดอย่าถือเป็นการแนะนำจากข้าเลย ภัณฑารักษ์เป็นยอดฝีมือที่น่าเกรงขาม และเครื่องรางของท่านก็น่าทึ่งมาก ผู้ต่ำต้อยเช่นข้าไม่อาจเทียบเคียงกับแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของท่าน”
เจ้าอาวาสกล่าว
เขาถึงกับเปลี่ยนวิธีพูดกับตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อพูดแทนตัวเองว่า 'ผู้ต่ำต้อย' เห็นชัดเจนว่าเขายอมถอยแล้ว
“ผู้ต่ำต้อยผู้นี้มีความรู้จำกัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ภัณฑารักษ์กล่าวถึงก่อนหน้านี้เท่านั้น กรุณารอสักครู่ในขณะที่ข้าส่งคนไปตามพระอธิการของห้องโถงขับไล่ปีศาจมา เราจะให้โอกาสเขาชี้แจงเรื่องนี้”
‘ทำอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว’ หลินจินบ่นอยู่ข้างในใจ
“ดูเหมือนว่าข้าจะทำให้ท่านต้องลำบากเสียแล้ว ท่านเจ้าอาวาส”
ที่จริงแล้ว หลินจินต้องการเพียงแค่บังคับให้วัดต้าหลัวยอมเจรจากับเขา เพื่อปล่อยวานรยักษ์ขาวและออกคำขอโทษ นั่นคือเป้าหมายทั้งหมดของเขา
อำนาจต่อรองอยู่ในมือของหลินจินมาตั้งแต่ต้นแล้ว ตราบใดที่วัดต้าหลัวกลัวที่จะต้องต่อสู้ให้ตายกันไปข้าง ตราบใดที่พวกเขาใส่ใจเกี่ยวกับตัววัดมีอายุนับพันปี พวกเขาก็จะไม่เลือกที่จะต่อสู้กับหลินจิน
หากพวกเขาสู้ไม่ได้ พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น แน่นอนว่าหลินจินไม่ควรผลักพวกเขาแรงเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาอาจต้องจากไปมือเปล่า
ในไม่ช้า พระอธิการแห่งห้องโถงขับไล่ปีศาจ เจว่เจิ้นก็มาถึง ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวราวกับกระดาษขาว เนื่องจากบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อสองวันก่อน
เขาได้เดินออกไปข้างนอก ใบหน้าของเขายังคงมีสีหน้าที่สงบ พร้อมกับเผยออร่าที่ไม่ธรรมดาออกมา
พระภิกษุส่วนใหญ่ต่างเหงื่อแตก เพราะเห็นว่ามีลูกบอลไฟขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือหัวของพวกเขา ความร้อนที่แผดเผานั้นทนไม่ไหวจนหญ้าแห้งบางส่วนภายในวัดเริ่มมีควัน ถ้าไฟยังลุกอยู่เปลวไฟก็อาจลุกลามจนพระภิกษุรีบวิ่งไปพร้อมกับถังน้ำ
เมื่อเจว่เจิ้นมาถึงและเห็นจิ้งจอกตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนของหลินจิน รูม่านตาของเขาก็ขยายออก และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เขาจำสิ่งมีชีวิตนั้นได้อย่างชัดเจน
“เจว่เจิ้น ชายคนนี้คือภัณฑารักษ์ เขา... เขามาที่วัดต้าหลัวเพราะว่า…” เจ้าอาวาสอธิบายสถานการณ์สั้น ๆ ก่อนถามว่า “เจว่เจิ้น เจ้าต้องบอกเราตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดูเหมือนเจว่เจิ้นจะไม่เต็มใจที่จะพูด แต่แสงแดดที่แผดเผาเหนือหัวพวกเขาทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับเรื่องไร้สาระ ดังนั้นเขาจึงระงับความโกรธและเริ่มพูดว่า
"ในวันนั้นข้าได้เดินทางร่วมกับลูกศิษย์ทั้งสองคน จื่อเหนียนกับจื่อหยิน เรากำลังเดินทางผ่านเทือกเขาเส้นทางนิรันดร์
ในระหว่างนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาหยุดพวกเรา พวกเขาบอกเราว่ามีสัตว์ปีศาจกำลังสร้างความหายนะในเมืองรี้ดที่อยู่ใกล้เคียง พวกเขาขอร้องให้เราไปสังหารสัตว์ปีศาจตนนั้น
ดังนั้น ข้าจึงมอบหมายงานให้กับลูกศิษย์ของข้า จื่อหยิน ขณะที่ข้ากำลังรอการกลับมาของเขา ข้าสัมผัสได้ถึงออร่าของสัตว์ปีศาจที่หนาแน่นภายในเมือง ทันทีที่ข้าออกมาจากที่พัก ข้าก็ได้พบกับจิ้งจอกที่โจมตีมนุษย์
ในฐานะสาวกของวัดต้าหลัว เห็นได้ชัดว่าข้าต้องโค่นเธอลง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ มโนธรรมของข้ายังคงชัดเจน”
เมื่อได้ยินเรื่องราวของเจว่เจิ้น หลินจินรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไม่มากก็น้อย
“ท่านเจว่เจิ้น ท่านเคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่มาขอร้องท่านจะเป็นพวกหัวขโมยแสนชั่วช้าบ้างหรือไม่? หรือท่านยอมให้พวกเขาใช้งานท่านเยี่ยงจอบเสียมที่ใครก็สามารถหยิบจับมาใช้งานได้ตลอดเวลา?”
หลินจินถามอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลเฉียว
“หัวขโมยเหล่านั้นเป็นเพียงสวะของสมาคมผู้ประเมินมาร และพวกเขาก็หลบซ่อนอยู่รอบ ๆ เมืองรี้ด โดยมีแผนที่จะบุกปล้นตระกูลเฉียว ซึ่งเป้าหมายของพวกหัวขโมยเป็นมรดกตกทอดของพวกเขา
ท่านดันบังเอิญผ่านมาให้พวกเขาเห็นอย่างพอดิบพอดีซะเหลือเกิน และสิ่งที่ท่านทำก็คือหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่พวกชั่วช้าสามานย์เหล่านั้น ข้าล่ะนับถือมโนธรรมของท่านเสียจริง ๆ”
ในที่สุด หลินจินก็เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ก่อนหน้านี้เขาโกรธมากเพราะเขาสงสัยว่าวัดต้าหลัวสมรู้ร่วมคิดกับสมาคมประเมินปีศาจ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ถึงกระนั้น สำหรับเจว่เจิ้นที่เหมารวมสัตว์ปีศาจทุกตนที่เขาพบเจอว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายอย่างไม่เลือกหน้า เขาก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินจิน เหล่าพระภิกษุก็มีสีหน้าก็เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเข้าใจถึงที่มาที่ไปทั้งหมด
“นี่เป็นเรื่องความเข้าใจผิด วัดต้าหลัวของเรามีชื่อเสียงในการสังหารสัตว์ประหลาดและปีศาจ และพวกหัวขโมยของสมาคมผู้ประเมินมารก็ต้องรู้เรื่องนี้เช่นกัน มันคงเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพวกเขาที่จะยืมมือเราในการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขา”
เจ้าอาวาสเห็นหนทางในการล้างชื่อของพวกเขาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจึงลงมือทันทีโดยไม่มีลังเลใจ
แม้ว่ามันจะค่อนข้างน่าละอาย แต่เขาไม่มีทางเลือก ตอนนี้เขาไม่สามารถต่อสู้กับภัณฑารักษ์ได้จริง ๆ
ที่สำคัญกว่านั้น ภัณฑารักษ์ก็แข็งแกร่งเกินไป หากวัดต้าหลัวยืนกรานที่จะต่อสู้กับเขา ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้รับความเสียหายอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา วัดอายุพันปีของพวกเขาจะต้องพินาศไปพร้อมกับห้องโถงหลายแห่งอย่างแน่นอน
คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าลงมาจากด้านบน และมันจะเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์
พวกเขาอาจจะไม่สามารถปัดป้องมันด้วยลูกประคำอชราได้ เพราะพวกเขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะร่ายมัน
ด้วยการสังเกตอย่างรวมเร็ว หลินจินสามารถบอกได้ว่าพระอธิการก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ถ้าเขาเดาไม่ผิดชางเอ๋อร์คงจะลอบโจมตีเขาด้วยการจัดการวัตถุ
เนื่องจากพระภิกษุรูปนี้ยังไม่บรรลุร่างกายที่กันกระสุนได้ ดังนั้นหลังจากได้รับบาดเจ็บนี้ แม้ว่าเขาจะฟื้นตัวจนหายดี แต่อายุขัยของเขาก็จะสั้นลง และการเพิ่มระดับฝึกฝนของเขาก็จะติดขัดอย่างร้ายแรง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ซางเอ๋อร์อาจได้รับบาดเจ็บที่เลวร้ายกว่า แต่เธอมีหลินจินคอยรักษาเธอ เธอจะต้องบรรลุการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอย่างแน่นอน และยกระดับความแข็งแกร่งของเธอเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ สมดุลกัน
ในตอนแรก หลินจินวางแผนที่จะเล่นงานพระเฒ่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่ต่างจากคนพิการ
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินจินก็ตอบอย่างสุภาพว่า
“ท่านพูดถูก ท่านเจ้าอาวาส การกำจัดคนชั่วเพื่อปกป้องประชาชนนั้นไม่ผิด
อย่างไรก็ตาม จงช่วยจดจำใส่หัวของพวกท่านเสียหน่อยว่า ไม่ใช่ว่าสัตว์ปีศาจทุกตนในโลกนี้จะเป็นสิ่งชั่วร้าย ข้าหวังว่าเหล่าพระภิกษุของวัดต้าหลัวจะใช้สติปัญญาอันปราดเปรื่องของพวกท่าน พิจารณาสัตว์ปีศาจที่พวกท่านพบเจอนับจากนี้เป็นต้นไป
หากพวกท่านพบกับสัตว์ปีศาจอุปนิสัยดีที่มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน ข้าหวังว่าพวกท่านจะแสดงความเมตตาต่อพวกเขา ได้โปรดอย่ายืนกรานที่จะสังหารพวกเขาเพื่อรักษาชื่อเสียงของพวกท่าน ไม่อย่างนั้น การกระทำของพวกท่าน จะมีส่วนช่วยเกื้อหนุนพวกเลวทรามในทางใดทางหนึ่ง อย่างเช่น สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้”
นี่ถือเป็น 'การเทศนา' สำหรับพระภิกษุวัดต้าหลัว ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป พระภิกษุเหล่านี้มักเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงส่งทางศีลธรรมและสติปัญญา พวกเขาเป็นฝ่ายเทศนาสั่งสอนและให้ความกระจ่าง
กลับกลายเป็นว่าพวกเขาถูกสลับบทบาทอย่างกะทันหัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บางคนจะรู้สึกอึดอัดใจกับบทบาทนี้
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนฟังการเทศนาของหลินจิน
เมื่อบรรยากาศสงบลง การที่จะปลุกปั่นความขัดแย้งอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าพวกเขาต้องการ เจ้าอาวาสก็จะไม่ยอมให้พวกเขาทำ
พวกเขาจำต้องรับฟังอย่างเงียบ ๆ
“ท่านเจว่เจิ้น เนื่องจากนี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด ข้าจะไม่ถือสาเอาความท่านอีกต่อไป ข้าขอให้ท่านปล่อยศิษย์ของข้า วานรยักษ์ขาว กลับมา ข้าจะยกเลิกเครื่องรางและออกจากยอดเขานี้ทันที”
หลินจินกล่าว
ด้วยความตกใจ คิ้วของเจว่เจิ้นขมวดและส่ายหัว
“ศิษย์ของข้า... จื่อหยินยังไม่กลับมา… นับตั้งแต่เราแยกทางที่เทือกเขาเส้นทางนิรันดร์ เขาก็ยังไม่กลับมาเลย ส่วนวานรยักษ์ขาวที่ท่านพูดถึงก็ไม่ได้อยู่ในวัดต้าหลัวเช่นกัน”
"อะไรนะ!?" หลินจินตกใจมาก พร้อมกับยกระดับออร่าขึ้นมา
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา เขาไม่คิดจะเชื่อเลย เนื่องจากเขาสงสัยมาตลอดว่าพวกเขาได้ฆ่าวานรยักษ์ขาวไปแล้ว และนี่เป็นเพียงคำตอบที่แสนสะดวกที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
ทันใดนั้น บรรยากาศก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
“ตามคำบอกเล่าของตระกูลเฉียว พระภิกษุจากวัดต้าหลัวได้ไปท้าทายวานรยักษ์ขาว ทางวานรยักษ์ขาวเกรงว่าผู้บริสุทธิ์จะได้รับอันตราย เขาจึงออกจากนอกเมืองไปเพื่อต่อสู้ เราพบร่องรอยการทำลายล้างในพื้นที่เงียบสงบนอกเมืองเท่านั้น และจนถึงตอนนี้ วานรยักษ์ขาวก็ยังไม่กลับมา เขายังอยู่ในวิหารของท่านหรือไม่? หรือท่านฆ่าเขาไปแล้ว!?”
น้ำเสียงของหลินจินเย็นชา หากพระเหล่านี้ฆ่าวานรยักษ์ขาวจริง ๆ หลินจินจะรับประกันเลยว่า เขาจะทำลายล้างของวัดต้าหลัวให้พังพินาศในวันนี้