20 ฝันร้ายที่สมจริง
อสูรรับใช้พูดหยอกล้อเล่นกับนายของมันอย่างไม่กลัวเกรง เซราสเลื้อยเบี่ยงลำตัวหลบฝ่ามือพิฆาตที่กำลังจะตบลงมาบนหัวมันอย่างเฉียดฉิว ถ้าขืนหลบช้ากว่านี้อีกนิดคิดว่าหัวคงลงไปทิ่มพื้น
“ปากดีนัก”
งูดำเอียงคอเชิดหน้าเหลือบมองเจ้านายตนเองด้วยทีท่าสบาย ๆ ไม่ยี่หระกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่แม้แต่น้อย
“แล้วคิดว่าข้าปากดีเหมือนใครล่ะ อุ๊บส์! อั๊ก!!”
รอบนี้เป็นหมอนหนาใบหนึ่งถูกขว้างปาข้ามเตียงมายังตำแหน่งที่เซราสชูคอมองอยู่ ด้วยความที่ตนเองมีขนาดตัวที่ใหญ่อยู่แล้ว อีกทั้งยังมัวแต่โฟกัสกับการล้อเลียนเจ้านายจึงทำให้หลบไม่ทัน โดนหมอนนุ่มฟาดหน้าหงายหลังลงไปกองที่พื้นจนหมดท่า
“หรือข้าพูดไม่จริงเล่า?!”
พอพลิกลำตัวกลับมาได้เซราสก็เริ่มโวยวายเสียงดังบ้าง คิดว่าความปากมากจะได้มาจากใครล่ะ เซราสก็ได้มาจากวอลล็อคทั้งนั้นทำมาเป็นรับไม่ได้ ทั้งที่ตนเองชอบพูดจาเหน็บมันเป็นว่าเล่นเวลาว่างไม่มีอะไรทำ
“แล้วเป็นไงสภาพดูไม่จืดกันทั้งนายและลูกน้อง” เซราสยิ้มเยาะเย้ย
“เสียงดังหนวกหู เจ้ากินอะไรเข้าไปถึงเอาแต่แหกปากด่าข้านัก”
เจ้างูดำเลื้อยกลับขึ้นมาที่เดิม เงยหน้ามองด้วยสีตาแดงฉานด้วยแววตาจ้องเขม็งหายใจฟึดฟัด
“คิดว่าเพราะใครล่ะ ทิ้งให้ข้าเฝ้าเจ้าเด็กนี่คนเดียว”
เซราสหงุดหงิดที่ตนถูกทิ้งไว้ให้เป็นเหมือนหมาเฝ้าบ้านตลอด มันควรได้ออกไปข้างนอกบ้างไม่ใช่เอาแต่อุดอู้หมกตัวหลบซ่อนจากสายตาเจ้าเด็กทาสคนใหม่ นอกจากวัน ๆ ดูเกรเทลทำความสะอาดบ้าน ฝึกอ่านหนังสือหรือคัดตัวอักษร ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว
กลายเป็นว่ามันโคตรน่าเบื่อ สู้ออกไปไล่จับนกไล่จับปลาในลำธารหรือดูธรรมชาติชมนกชมไม้ยังจรรโลงใจกว่ากันตั้งเยอะ แต่นี่ต้องมาเฝ้าดูทุกวี่ทุกวันแล้วต้องเฝ้านอกบ้านตากลมตากยุงจนน่ารำคาญ
“แค่จับตาดูเกรเทลทำมาเป็นบ่นนักหนา ทีตอนเจ้าหลอกพวกป้าแม่บ้านข้ายังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
วอลล็อคเลิกคิ้วมองไปยังอสูรรับใช้ที่ชอบเอาแต่บ่นนั้นบ่นนี้ไปเรื่อย เรื่องที่บ้านเขามีผีสิงก็มาจากวีรกรรมของเซราสล้วน ๆ หลอกแม่บ้านเขาจนไม่มีใครกล้ามาทำงานให้
“หึ คิดว่าถ้าข้าไม่ทำความลับเจ้าคงแตกไปแล้ว”
จะทำยังไงได้ก็หนึ่งในป้าแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดบ้านพักวอลล็อคเป็นสายลับหัวขโมยที่ได้รับคำสั่งมา คนในค่ายเรียกนางว่า ‘ป้าแจส’ แต่ชื่อที่แท้จริงของนางคือ ‘เจสสิกา’ สายลับสองหน้าที่ถูกว่าจ้างให้มาขโมยเอกสารในห้องนอนของวอลล็อค
“จะให้ข้าขอบคุณเจ้าว่างั้น?”
“อย่างน้อยก็ให้ความสำคัญข้าบ้างสินาย”
ร่างสูงส่ายหัวให้กับความขี้น้อยใจของเซราส ทำนิสัยเป็นตัวเมียไปได้ขนาดตัวก็ไม่ใช่น้อย ๆ ทำเป็นเหมือนเขาไม่ใส่ใจมัน ทว่าความจริงแทบจะตัวติดกันตลอดถ้าไม่นับเวลาทำธุระส่วนตัวก็มีแต่เขานี่แหละคอยดูแลมัน
“ถึงให้เฝ้าเกรเทลแทนข้าไงมันไม่ดีหรือ?”
เรื่องราวที่เซราสเล่าว่าวันนั้นเจสสิกาพยายามงัดตู้ลิ้นชักที่เจ้านายของเขาล็อกเอาไว้ ซึ่งในนั้นล้วนมีแต่เอกสารสำคัญมากมายที่ไม่ควรถูกนำออกไปข้างนอก งูใหญ่พยายามต่อสู้เพื่อขัดขวางเจสสิกาไม่ให้นางเอาเอกสารไปได้ ถ้าให้เทียบฝีมือกันถือว่าเจสสิกาเสียเปรียบกว่าเซราสมากเนื่องจากนางไม่ติดว่าในบ้านจะมีอสูรรับใช้ระดับสูงอาศัยอยู่
สุดท้ายแล้วเซราสเลยตัดสินใจจัดการผู้บุกรุกโดยการกลืนนางลงท้องไปให้จบเรื่อง แล้วแปลงกายแสร้งทำเป็นนางร้องกรี๊ดออกไปนอกบ้านเสมือนว่าถูกผีหลอก จึงเป็นที่มาว่าทำไมบ้านของนายใหญ่แห่งตลาดค้าทาสถึงมีผีสิง
ก็มันเล่นจัดชุดใหญ่รัชดาลัยเทียเตอร์ขนาดนั้นไม่มีใครเชื่อก็บ้าแล้ว วอลล็อคเลยต้องมาเก็บกวาดเรื่องราวของเจสสิกาให้เรียบร้อยแล้วบอกไปว่านางขอลาออกไปเอง ไม่งั้นคงมีคนสงสัยที่นางหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย
สภาพตอนนายใหญ่แห่งตลาดค้าทาสได้ยินสิ่งที่มันเล่าถึงกลับหน้าเบ้อยากจะอ้วกแทน เขารู้อยู่แล้วว่าอสูรรับใช้มีความพิเศษแตกต่างจากสัตว์วิเศษทั่วไป โดยเฉพาะกับเซราสที่หาได้ยากและอันตรายมากที่สุด
ขณะที่วอลล็อคกำลังเอาผ้าชุบน้ำเตรียมไปเช็ดบนใบหน้าหวานที่มีเหงื่อซึม เจ้างูปากมากก็พูดเสียดสีจนเขาคิ้วกระตุก
“ให้ข้าเฝ้าดูเฉย ๆ หรือตนเองแค่กลัวนางหายกันแน่? อ๊าก!”
คราวนี้เขาตัดสินใจสร้างก้อนพลังสีดำเล็ก ๆ บนฝ่ามือหนาแล้วปาไปที่กลางหัวเซราสอย่างจังจนงูตัวใหญ่ร้องเสียงหลง เขาชักจะเริ่มรำคาญความผีเจาะปากมาพูดของเซราส งูบ้าอะไรพูดไม่หยุดเหมือนกลัวว่าชาตินี้จะไม่ได้พูดอีกแล้ว
“เสียงดังเดี๋ยวนางตื่น ข้าก็แค่ให้เจ้าเฝ้าไงพูดมากจริง”
พวกเขาทั้งสองมีกระแสจิตและดวงตาเชื่อมถึงกันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นวอลล็อคจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่เขาไม่อยู่ในค่าย ไม่ว่าเกรเทลจะทำอะไร เดินไปที่ไหน พฤติกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการทำงานล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด
วอลล็อครู้แล้วว่าเกรเทล ‘ไม่ใช่ผู้ชาย’ หลักฐานชัดเจนมากตอนที่ไม่มีคนอยู่บ้านพัก เกรเทลทำตัวตามสบาย การปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งน้ำเสียง การพูด คำพูดแปลก ๆ รูปประโยคที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ ท่าทางหรือพฤติกรรมทั้งหลายที่อีกฝ่ายแสดงออกมาผ่านสายตาเซราสทั้งหมด
ไหนจะตอนที่เกรเทลช่วยมันออกจากตาข่ายหลังบ้าน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แต่คงจะยากเพราะวอลล็อคเห็นหมดแล้วว่ามันทำอีท่าไหนถึงโดนตาข่ายพันรอบตัวขนาดนั้น มันก็แค่เลื้อยผ่านบริเวณรอบบ้านเฉย ๆ เพื่อเช็กสถานการณ์ แล้วไม่รู้ลมแรงมาจากไหนพัดหอบเอาตาข่ายทั้งร่างแหคลุมตัว
“ออเหรอ? ขนาดข้าเฝ้านางทุกฝีก้าวนางยังหลุดไปถึงหน้าตลาดค้าทาสได้เลย! เจ้าอย่ามาทำเป็นว่าทั้งหมดเป็นความผิดข้าสิ! จะโทษก็โทษที่ตัวนางที่พลังแปรปรวนเถอะ”
งูดำขนาดใหญ่พูดตะเบ็งเสียงดังกว่าเดิมอีกระดับเพราะชักจะหงุดหงิดที่เจ้านายเอาแต่พูดว่าเขามันขึ้บ่น เซราสคอยติดตามเฝ้าดูเกรเทลจากระยะไกลยังยากเลย ไหนจะต้องแบ่งเวลาให้ตนเองออกไปหาอะไรกินอีก
“หัดพูดเสียงให้เบาหน่อยเถอะเซราสหูข้าจะแตก”
ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ทว่าวอลล็อครู้ดีแก่ใจว่าเกรเทลไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ฉะนั้นการปล่อยให้นางคลาดสายตาไปถือเป็นความเสี่ยงพอสมควร อย่างเรื่องในวันนี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าให้ออกห่างจากตัวเมื่อไรหายนะตามมาแน่นอน
“แล้วเจ้ารู้สึกยังไงอีก”
คนผมสีเขียวเด่นหันหน้าไปมองอสูรรับใช้ตนเองเพื่อขอความคิดเห็น
“ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้ามาตลอดเพราะนางมีพลังงานแปรปรวนแทบตลอดเวลาเหมือนเป็นเกราะอะไรสักอย่างปกป้องนางเอาไว้ แต่สภาพมันคือบางมากถ้าไม่ใช้ตาทิพย์ส่องก็ไม่รู้ว่ามีอยู่”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจกับความคิดเห็นของเซราส จากนั้นหันกลับมาสนใจคนตัวเล็กบนเตียงนอนต่อ เขารีบจัดการนำผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดไปตามกรอบหน้าและลำคออย่างใจเย็นพิถีพิถัน สังเกตเห็นว่ามีปอยผมบางตกลงมาเล็กน้อยเขาจึงเอื้อมมือไปจับปลายผมแล้วทัดหูให้อย่างนุ่มนวล
“เพราะเจ้าสิ่งนี้สินะ…”
ตาคมลากสายตามามองบนข้อมือเล็กข้างซ้าย แล้วเอื้อมมือหนาของตนเองไปลูบไล้ลวดลายเถาวัลย์กุหลาบอย่างแผ่วเบา เขาหายหน้าไปหลายวันเพื่อสืบเรื่องรอยตรานี้ นอกจากข้อมูลจะหายากแล้วดูเหมือนมีใครบางคนพยายามปกปิดเหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 500 ปีก่อนด้วย
“ใช่ สำหรับข้ามองว่านางไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร แต่อยากให้เจ้าระวังไว้หน่อยก็ดีวอลล็อค”
งูใหญ่เอ่ยเตือนเจ้านายตนเองแม้ว่าเขาจะจับตาดูเกรเทลอยู่ห่าง ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่านางไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา
ชายหนุ่มคิดว่าหาเวลาออกไปสืบเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาต้องเอานางออกไปด้วย วอลล็อคลูบหัวเกรเทลเพื่อจัดไม่ให้ผมยุ่งเหยิง ตอนนี้เกรเทลผมเริ่มยาวนิด ๆ แล้วจากผมที่เคยสั้นติดหัวก็เริ่มยาวเลยใบหูเล็กลงมา
เมื่อพินิจพิจารณามองรายละเอียดใบหน้าของคนบนเตียงอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่ได้สังเกตหรือมองใกล้ ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิง นางมีเค้าโครงความหวานตามแบบฉบับสตรี ถึงร่างกายจะยังดูสูบผอมไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ลดความงามส่วนนี้ไปแม้แต่น้อย
นางไม่ได้มีใบหน้าที่สวยงามล้นเมืองแต่มีความน่ารักแทน มิน่าล่ะคนในค่ายต่างถึงชื่นชมกันนักหนาว่านอกจากเกรเทลเป็นคนใจดี ยังมีใบหน้าที่ทำให้คนรู้สึกหลงรู้สึกเอ็นดู
…นี่ข้าตาบอดนานแค่ไหนถึงเข้าใจว่าเจ้าเป็นผู้ชาย…
วอลล็อคก่นด่าตนเองในใจไม่คิดว่าตนเองจะดูคนไม่ออกได้ขนาดนี้ ในหัวเขาตอนนี้เริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ถ้าไม่นับความไม่รู้ของตนเองคนเดียว คนทั้งค่ายก็คงเป็นแบบเขาด้วยเช่นกันที่เข้าใจผิดว่าเกรเทลเป็นผู้ชาย ซึ่งพอมาพิจารณาดูใหม่อีกครั้งนางช่วงแรกก็เหมือนเด็กผู้ชายจริงนั่นแหละ
มีอย่างที่ไหนไม่มีส่วนโครงเว้าแบบอิสตรีเลยสักอย่าง นางจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายก็ไม่แปลกใจนัก แถมตลอดระยะเวลาที่เกรเทลอยู่ที่นี่ยังพยายามกดเสียงตนเองให้ต่ำที่สุด
…นางพยายามเอาตัวรอด…
ผมสีเขียวเด่นเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปคุยกับงูดำที่ตอนนี้นิ่งเงียบรอฟังคำสั่ง
“อืมเข้าใจแล้วตอนนี้ให้นางพักเถอะ เจ้าออกไปคุยกับข้าข้างนอก”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกอสูรรับใช้เพื่อให้เกรเทลได้พักผ่อนต่อ ผลจากเวทมนตร์คงอยู่ไปอีกหลายชั่วโมง ฉะนั้นเขาจะปล่อยให้เธอพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังนี้ชั่วคราวจนกว่าจะดีขึ้น
เกรเทลเริ่มรู้สึกตัวหลังจากเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทว่ารอบตัวของเธอตอนนี้กลายเป็นถนนสองฝั่งที่มีเกาะกลางถนนเป็นต้นไม้และพุ่มไม้เล็ก ๆ เรียงราย
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าต่าง ๆ ทยอยเปิดไฟให้สว่างไสวในช่วงยามเย็น ผู้คนมากมายต่างทยอยเลิกงานกำลังเดินสวนกันไปมาจนน่าเวียนหัว
มันเป็นสถานที่ดูคุ้นตามากสำหรับเกรเทล พอผ่านไปสักพักเมื่อเธอประมวลผลเสร็จถึงรู้ว่าที่นี่คือแถวละแวกร้านกาแฟที่เธอและเฮลก้ามักนัดมาเจอกันเสมอ
“หนูเหนื่อยอ่ะพี่ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไรแต่มันเหนื่อยอ่ะ”
เสียงหวานคุ้นหูเรียกความสนใจให้คนอย่างเธอจำต้องหันไปมองยังทิศทางของเสียง ซึ่งมันคือฝั่งตรงข้ามถนนที่เธอยืนอยู่นั่นเอง
เกรเทลขมวดคิ้วแน่นกับภาพตรงหน้าที่เธอกำลังมองเห็นในขณะนี้ เด็กสาวผมสีบลอนด์ตัดสั้นกำลังยืนอยู่ริมถนนตรงป้ายรถเมล์ปะปนกับผู้คนที่มายืนรอรถเช่นกัน
…นั่น…มันฉันไม่ใช่หรือไง….
ไม่ผิดแน่เด็กสาวที่ยืนถือโทรศัพท์คือเธอแน่นอน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากระทั่งการแต่งกายล้วนเป็นสไตล์ที่เธอชื่นชอบ ดูเหมือนว่าในมือของเธอกำลังถือโทรศัพท์คุยกับใครบางคนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เกรเทลรีบหันกลับมามองที่ตัวเองอีกครั้ง จึงพบว่าสภาพร่างกายของตนดูโปร่งแสงใสจนมองทะลุผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
…เรื่องบ้าอะไรเนี่ย? …
แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะมีตัวเธอสองคนอยู่ที่นี่ เกรเทลตื่นตระหนกจนมือสั่น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะถ้าเธอตายแล้วก็ไม่น่าจะมาเห็นตัวเองยืนอยู่ได้สิ
กระทั่งเสียงหวานจากฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นอีกครั้งทำให้เธอต้องเงยหน้าหันกลับไปมอง
“ชีวิตหนูเหมือนไม่ใช่ชีวิตหนู หนูแค่อยากได้ชีวิตหนูแค่นั้นเอง”
‘…’
แม้จะยืนห่างกันหลายเมตรแต่เธอก็ได้ยินเสียงพูดของตนเองเหมือนยืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม จนต้องเพ่งสายตามองดูอีกครั้งว่าเธอไม่ได้หูฝาดไป
เสียงคนในสายคือพี่ฮันเซล
“ตลอดหลายปีมานี้หนูพยายามทำตามที่ป๊าบอกแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าชีวิตเราไม่ลองทำอะไรเลยมันก็จะเอาตัวไม่รอด เรื่องนี้พี่รู้ดีกว่าใครนะ”
ตอนนี้เกรเทลยืนอยู่ถนนฝั่งตรงกันข้าม พลันหัวสมองนึกออกแล้วว่าวันนั้นเธอทะเลาะกับป๊าเรื่องแฟนแล้วต่อด้วยพี่ชายตนเอง เธอน้อยใจกับความไม่มีเหตุผลของคนทั้งคู่จึงแสดงออกด้วยทีท่าต่อต้านเอาแต่ใจ
“หนูน่ะ…”
เธอเห็นเด็กสาวตรงหน้าเอามือปาดขอบตาที่เริ่มมีน้ำใสซึมออกอย่างลวก ๆ เกรเทลรู้สึกว่าขอบตาตนเองมีน้ำไหลออกมาด้วยเช่นกัน
ไม่รู้ว่าจะห้ามความรู้สึกพวกนี้ได้อย่างไรเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มทะลักปริแตกเอ่อล้นออกมาทีละน้อย
“หนูน่ะอิจฉาพี่มากเลยรู้ตัวไหม”
ยิ่งฟังไปเรื่อย ๆ เธอยิ่งรู้สึกไม่ดีจึงตัดสินใจที่จะข้ามไปถนนฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อพอจะก้าวขาออกไปไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ก้าวขาไม่ออกเสียที เหมือนกับว่าขาถูกยึดติดอยู่กับพื้นแน่นเหมือนรากต้นไม้ใหญ่
…ทำไมขาฉันขยับไม่ได้…
ไม่ว่าเกรเทลจะพยายามดึงขาตนเองหรือขยับมันอย่างรุนแรงเพียงใด เธอก็ไม่สามารถก้าวขาออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว
“พี่ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่มีใครกล้ามารังแก ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงจนเกินไปเหมือนผู้หญิง อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ”
‘เกรเทลพี่…’
เธอได้ยินเสียงพี่ฮันเซลพูดอยู่ข้างหูอย่างชัดเจน ทั้งที่เขาอยู่ในสายโทรศัพท์ห่างไกลจากตัวเธอในตอนนี้มากนัก หัวใจเริ่มบีบแน่นกว่าเดิมความรู้สึกต่าง ๆ เริ่มตีตื้นขึ้นมาคับคอ เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาเพื่อหายใจ
“พี่ฟังนะผู้หญิงนะไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจหรอกและหนูก็รู้ด้วยว่าผู้ชายก็ไม่ได้สบายเช่นกันต่างคนต่างมีความยากไม่เหมือนกัน”
‘…’
“พี่ก็พยายามในส่วนของพี่ หนูก็พยายามในส่วนของหนู”
ทั้งหมดนี้คือภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก่อนวันที่เธอจะตื่นขึ้นมาในโลกใหม่ ภายในอกเหมือนกำลังถูกฉีกออกมาทีละนิดทีละน้อย ความทรงจำที่ก่อนหน้านี้นึกไม่ออกค่อย ๆ เปิดประตูแง้มเผยให้เห็น
…พี่ฮันเซล…
ความโศกเศร้าถาโถมเข้าใส่เหมือนพายุจนข้างแก้มเปียกชื้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงหยุดความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เลย มันเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสายตาพร่าเลือน
“ดูงี่เง่าเนอะพี่ที่หนูพูดแบบนี้ แต่ถ้าหนูไม่พูดออกมาคงอึดอัดจนขาดใจตายเข้าสักวัน”
“หนูไม่รู้หรอกว่าพวกพี่คิดยังไง แต่หนูเบื่อแล้วนะ…ฮึก”
ร่างโปร่งใสยกมือลูบหน้าตนเองอย่างหมดแรง สายตายังคงจับจ้องเฝ้ามองตรงไปยังเด็กสาวฝั่งตรงข้าม ฟังบทสนทนาที่เธอไม่มีทางเข้าไปแทรกได้
‘พี่มีเหตุผล’
“เหตุผล? พอเถอะพี่ฮันเซล ตอนนี้หนูไม่พร้อมฟังคำแก้ตัวหรือข้ออ้างของใครทั้งนั้น”
เธอส่ายหัวไม่เข้าใจสถานการณ์ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมเธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ทำไมต้องมาเห็นภาพที่เธอจำได้เพียงเลือนราง เหมือนเด็กน้อยที่ทำชิ้นส่วนจิ๊กซอว์หายไปสองสามชิ้นจนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่เต็มที่
‘เกรเทลฟังพี่ก่อน’
หลายครั้งที่ปากพยายามตะโกนเรียกชื่อตนเองจากฝั่งตรงข้าม แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามตะโกนพูดเสียงดังออกไปเท่าไร ล้วนไม่มีเสียงเธอออกมาแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเจ้าต้องการเพียงให้เธอเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น
หูยังคงได้ยินเสียงพี่ชายที่เหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ซึ่งเด็กสาวที่ยืนถือโทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามกลับไม่รับฟังมันแม้แต่น้อย เกรเทลไม่อยากเห็นภาพนี้แล้วทำไมมันถึงได้ปวดใจขนาดนี้ก็ไม่รู้
ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่ยอมฟังสิ่งที่พี่ชายจะบอก ทำไมเธอทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลแบบนี้
“พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้หนูขออยู่คนเดียว”
…ไม่! หยุดนะ...
เกรเทลตะโกนร้องเรียกภายในใจทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน เธอไม่คิดว่าตนเองจะงี่เง่าได้ขนาดนี้จนอยากวิ่งเข้าไปตบกบาลตนเองให้จบ ๆ ไป มือบางขยุ้มหัวและขยี้ผมบนศีรษะตัวเองด้วยความหงุดหงิด
พี่ชายกำลังจะบอกอะไรกับเธอกันแน่
เธอในตอนนั้นเหมือนคนไม่มีสติไม่ฟังอะไรเลยสักอย่าง เอาแต่ยืนตัวสั่นอดทนอดกลั้นร้องไห้เงียบ ๆ หน้าป้ายรถเมล์ท่ามกลางผู้คนที่ทยอยออกมารอรถเหมือนกัน
แต่ไม่นานความทรงจำที่ขาดหายไปก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางของมัน เกรเทลเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น
แสงจ้าที่สาดเข้ามายังจุดที่ตัวเธอยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์เนื่องจากความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน เด็กนักเรียน นักศึกษา มนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเลิกงานต่างไม่ทันได้เตรียมตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน
‘เกรเทลพี่แค่…’
โครม! เคร้ง!
เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินแจ่มชัดที่สุดนอกจากเสียงพี่ชายในสายก็คือเสียงกรีดร้องของตัวเธอเอง
มือบางสั่นเทายกขึ้นปิดปากกับภาพที่รถบรรทุกพุ่งเข้าชนกวาดเอาผู้คนทั้งหมดที่ยืนอยู่บริเวณนั้นกระเด็นกระจัดกระจายไปไกลด้วยความแรง
ตัวเธอที่ยืนชิดติดริมถนนมากจนเกินไปจึงโดนหน้ารถบรรทุกชนเข้าอย่างเต็มแรงเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหล่าผู้คนที่ยืนรอรถเมล์ตามลำดับ ภาพของเหล่าผู้บาดเจ็บสาหัสมีเลือดไหลติดตาเกรเทล ร่างบางไม่คาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้มาเห็นสถานการณ์ชวนขนลุกเกิดขึ้นตรงหน้า
แข้งขาอ่อนแรงล้มลงไปนั่งที่พื้นน้ำตาไหลเต็มหน้า มือไม้สั่นรุนแรงเพราะทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นแรงมากจนหายใจไม่ออกเหมือนว่าตนเองกำลังตายจริง ๆ
ทว่าพอเหลือบหางตามองไปยังร่างตนเองที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงริมฟุตบาทใกล้ ๆ กับเสาไฟฟ้า สภาพโชกเลือดทั้งตัวแขนขาหักผิดรูปจนน่าสยดสยอง ข้าวของกระจัดกระจาย มือถือตกอยู่ไม่ห่างจากตัว
เสียงฮันเซลที่เอาแต่ตะโกนเรียกชื่อเธอดังออกมาจากสายโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นระยะ เขาดูตกใจและกระวนกระวายมากที่สุด แม้ว่าเขาจะเรียกเธอมากแค่ไหนก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับอยู่ดี
“ฮึก…”
เกรเทลปล่อยร้องโฮทันที ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยกเสียงแหบเสียงแห้ง ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงเริ่มรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่
งั้นแสดงว่าวิญญาณเธอหลุดออกมาจากร่างเดิมแล้วใช่ไหม เธอจะไม่มีโอกาสได้กลับไปหาพี่ชายอีกแล้วใช่ไหม หรือแม้แต่กลับไปหาป๊าและแม่
คำถามก่อเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนจนปวดหัว มันตีรวนสับสน สภาพจิตใจพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันสมจริงมากเกินไป เธอไม่อยากจะเชื่อแต่สัญชาตญาณกู่ร้องดังว่ามันคือเรื่องจริง
จากนั้นภาพก็ตัดดำมืดจนมองอะไรไม่เห็น เธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม น้ำตายังคงรินไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมกัน…ฮือ”
“หนูทำอะไรผิด…”
“ฮึกหนูขอโทษ”
เกรเทลเอาแต่กล่าวโทษตัวเองซ้ำวนไปวนมาไม่หยุด ขดตัวโอบกอดตนเองให้ได้มากที่สุด
“พี่ฮันเซล ป๊า แม่คะ”
หนึ่งในคำภาวนาที่เธอขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาเธอจะได้เจอพี่ชายที่คอยดูแลเอาใจตามใจ ป๊าที่วัน ๆ เอาแต่บ่นเธอว่าเธอไม่ค่อยสนใจเขา หรือแม่เบลที่มักคอยถามไถ่เธอว่าเหนื่อยไหมหิวข้าวหรือยัง
ขอไม่ให้มันเป็นเรื่องจริง ขอแค่พระเจ้าเล่นตลกกับเธอ เธอเริ่มหายใจไม่ทันจนเจ็บหน้าอกไปหมด
ไม่รู้ว่าร้องไห้มานานแค่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เป็นนรกหรือสวรรค์ รอบด้านยังคงมืดสนิทจนมองไม่เห็นมือตนเอง เธอจะเดินไปทางไหนก็ไม่กล้าลุกไป
มนุษย์มักกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
“ไม่เป็นไร”
แว่วเสียงเบาบางเหมือนลอยมาตามสายลม เพียงแค่คำสั้น ๆ ไม่ได้สำคัญอะไรกลับปลอบประโลมจิตใจชโลมให้ชุ่มชื่นกลับมา
หยาดน้ำตาที่เคยรินไหลอย่างห้ามไม่ได้ค่อย ๆ หยุดลงเพราะเสียงที่เธอได้ยิน
“ฮึก”
“เจ้าจะไม่เป็นอะไร”
ไออุ่นบางอย่างสัมผัสลงมาบนเส้นผมอย่างนุ่มนวล เกรเทลอยากรู้ว่ามันคืออะไรจึงพยายามลืมตาขึ้น
สิ่งที่ปรากฏมันช่างเป็นภาพที่เบลอเลือนรางเหมือนถูกหมอกหนาบดบังไม่แจ่มชัดเช่นปกติ อาจจะเพราะหยาดน้ำตาหรือสติสัมปชัญญะที่ขาด ๆ หาย ๆ ของเธอเอง
เมื่อเห็นไม่ชัดเธอจึงพยายามเพ่งมองไปยังตรงหน้าแต่เปลือกตาของเธอมันช่างหนักเหลือเกิน ส่วนฝ่ามือบางที่เคยเย็นบัดนี้กลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“ข้าจะอยู่กับเจ้า”
ทว่าสิ้นเสียงคำพูดนั้นก้อนหินที่เคยกดทับตัวเธอได้ถูกยกออกจนหายใจได้ดีขึ้น แทนที่ด้วยความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่
“ทุกอย่างจะดีเอง”
ขณะนี้เธอรู้แค่ว่ารู้สึกปลอดภัย เธอหยุดร้องไห้ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มั่นใจและไออุ่นยังคงอยู่กับเธอไม่ห่างไปไหน ไม่ว่าจะแรงบีบน้อย ๆ ที่ฝ่ามือ สัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก หรือคำพูดไม่กี่คำส่งผลให้เธอสงบลงได้
“เจ้าพักได้แล้ว”
ในที่สุดภาพทุกอย่างก็ถูกตัดไปเหมือนม้วนหนังเรื่องหนึ่งที่รอเวลาคนมาเปลี่ยนม้วนฟิล์มใหม่ให้ แว่วเสียงที่อ่อนโยน สัมผัสที่หวานละมุน ชโลมความบอบช้ำที่แตกสลายให้กลับมายืนหยัดได้
แม้มันจะต้องใช้เวลาประกอบขึ้นมาใหม่ แต่เกรเทลรู้สึกได้ว่ามันจะไม่เป็นไรอย่างที่เธอได้ยินจากเสียงที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
****
Talk with writer
มีคนโป๊ะแตกแล้วเจ้าค่ะ แบบนี้เกรเทลหลอกนายใหญ่แห่งตลาดค้าทาสไม่ได้แล้วสิ รี้ดบางท่านคงแบบว่าอ้าวไหนบอกว่าอีกนานไงกว่านังวอลดี้จะรู้ตัว5555 คือเนื้อเรื่องมันยังอีกยาวไกลถ้าให้นางรู้ช้ากว่านี้นางคงทำคะแนนพระเอกไม่ได้เลยเพราะโดนรี้ดหยุมหัวตีหัวกันตั้งแต่ต้นเรื่องจนตอนล่าสุดก็ยังไม่สามารถทำให้เราหยุดด่านางได้เลย แต่อย่างที่ไรท์บอกไปค่ะว่านางเป็นคนมีเส้นสายเยอะจะรู้ตัวเร็วก็ไม่น่าแปลกใจนัก
พล็อตตลาดมากจนแบบเขียนลบเขียนลบหลายรอบแต่ก็เขียนไปแล้ว ฮ่า ไม่เป็นไรนะคะคุณรี้ดปล่อยจอย สัญญาว่าเรื่องหน้าเราจะเขียนแนวทะลุมิติแบบใหม่ ๆ แปลก ๆ ให้ได้ค่ะ
ช่วงนี้ไรท์อาจจะอัปตอนช้าลงกว่าเดิมนะคะ รีบไปปั่นต้นฉบับเล่ม 1 เพราะมีแพลนออกเป็นรูปเล่มกับ E-Book แต่ยังไม่ชัวร์ว่าจะออกแบบไหนมาก่อนดีคือกลัวไม่มีคนซื้อรูปเล่มมาก ถ้าสนใจแวะคอมเมนต์บอกไรท์กันด้วยนะคะไรท์จะได้รู้ว่ามีคนสนใจไหม
แม้จะไม่มีคนสนใจไรท์ก็อยากพิมพ์เก็บไว้เป็นที่ระลึกแต่คงทำออกมาตามจำนวนคนสั่ง(ถ้ารี้ดสนใจรูปเล่มกันนะคะ) เรื่องนี้คิดไว้คือ 2 เล่มจบค่ะ ส่วนสายฟรีตามอ่านได้จนจบ แต่จะช้ากว่าคนซื้อรูปเล่มกับ E-Book หน่อยนะคะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณรี้ดผู้น่ารักทุกท่านทั้งที่แสดงตัวตนและนักอ่านเงาที่คอยตามอ่านกันมาเงียบ ๆ ไรท์มีแรงใจเขียนต่อได้เพราะยอดอ่านของทุกคนเลยค่ะ ถ้าไม่มีทุกคนไรท์คิดว่าตนเองคงไม่มีแรงเขียนต่อแน่ ๆ ขอบคุณที่เป็นแรงผลักดันให้นะคะ
****
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana