บทที่ 11 เมืองชิงถาน
หลังเห็นฉินจวินและคนอื่นๆจากไป เหล่าสัตว์อสูรก็ต่างแยกย้ายไปเช่นกัน
“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องติดตามเราแล้ว”
จู่ๆ ฉินจวินก็หยุดและหันกลับมาก่อนกล่าวออกไป เหตุผลที่เขาเงียบแล้วปล่อยให้พวกเขาตามมาเพราะเห็นแก่ที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ฉินจวินยังคงเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ไม่มีความเกลียดชังเขา แต่เขาจะไม่ยอมประสบความสูญเสียใด ๆ อีกแล้วทั้งสิ้น
“ข้ายังไม่รู้ชื่อแซ่ของท่านเลย ข้าหลานรัวจีขอบคุณนายน้อยที่ช่วยเหลือ”
ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเอ่ยออกมาพร้อมชูกำปั้นไว้ในมือ เขาสวมชุดสีฟ้าและมีกระบี่ยาวคาดที่เอวด้วยท่าทางที่สง่างาม รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าทำให้ผู้คนที่ได้เห็นประทับใจได้ง่าย
ชายผู้อ่อนแองั้นหรือ (ฟังผิดเป็นหนานรัวจีที่แปลว่าอ่อนแอ)
พ่อแม่ของเจ้าคงให้ความสำคัญกับเจ้ามาก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่เลือกชื่อนี้ให้
“ข้าฉินจวิน ส่วนเรื่องนั้นข้าแค่พยายามนิดหน่อย” ฉินจวินโบกมือขณะคิดล้อเล่นในใจ เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนของตนเองเพราะกายนี้ของเขาถูกมองว่าเป็นความอับอายต่อราชวงศ์ การกระทำใดๆของเขาโดยพื้นฐานแล้วมักถูกอาณาจักรปิดเป็นความลับ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าองค์ชายสามเลวทรามเพียงใด
“คารวะนายน้อยฉิน ข้าหลี่อวี่จากหุบเขาเฟิน...”
“นายน้อยฉิน ข้าหวังอวี้เหิงจากนิกายจื่อกวง”
“ข้าเหมียวอีต้าวขอบคุณนายน้อยฉินที่ช่วย”
เมื่อเห็นหลานรัวจีเป็นผู้นำในการแสดงตัวเหล่าผู้บ่มเพาะที่เหลือก็ต่างพูดแนะนำตนขึ้นมาทีละคน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต้องการผูกมิตรกับเขา
ฉินจวินโบกมือด้วยความเริ่มใจร้อน “เอาล่ะๆ ไปกันได้แล้ว”
เขาไม่มีความสนใจที่จะผูกมิตรกับกลุ่มผู้บ่มเพาะระดับกลั่นลมปราณมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเขาเองทะลวงผ่านอาณาจักรก่อสร้างรากฐาน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเหล่าผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอกว่า
เพราะเขามีสุดยอดปรมาจารย์สองคนในระดับอาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่ายืนอยู่ข้างๆแล้ว
“ฮึ่ม คนพวกนี้มักล่าและฆ่าสัตว์อสูรในพื้นที่ของข้า ข้าละอยากเคี้ยวพวกมันจริงๆ”
หากไม่คำนึงว่าฉินจวินก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเขา มันคงได้ฆ่าสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้ขณะกำลังวิ่งอยู่เมื่อครู่ไปแล้ว
ฉินจวินส่ายหัวและยิ้มแหยๆให้กับสิ่งที่ได้ยิน กลุ่มผู้บ่มเพาะที่นำโดยหลานรัวจีต่างแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วเพราะกลิ่นไออันน่าสะพรึงกลัวจากราชาปีศาจที่แผ่ออกมาถึงพวกเขา
มนุษย์และสัตว์อสูรเป็นศัตรูกันมาหลายชั่วอายุคน เมื่อใดที่สัตว์อสูรได้กินมนุษย์ พวกมันก็จะสามารถรับพลังทางจิตวิญญาณจากเนื้อและเลือดของมนุษย์ ซึ่งช่วยเร่งการฝึกปรือของพวกมันได้เช่นกัน
ส่วนผู้ที่สามารถขัดเกลาพลังปราณได้เรียกรวมกันว่าผู้บ่มเพาะ ซึ่งผู้บ่มเพาะจะสังหารสัตว์อสูรเพื่อยาอายุวัฒนะที่อยู่ภายใน บรรจุพลังวิญญาณที่เหล่าสัตว์อสูรหมั่นบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิต ยานี้ไม่เพียงช่วยเหล่าผู้บ่มเพาะในการฝึกปรือเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกัน ผิวหนัง เนื้อ กล้ามเนื้อ และกระดูกของพวกมันก็มีประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การกลั่นอาวุธเวทย์หรือจะเป็น วัตถุดิบในการปรุงยา ฯลฯ
โดยรวมแล้ว มนุษย์และสัตว์อสูรเรียกว่าเป็นศัตรูกันเลยจะดีกว่า
หากไม่ใช่เพราะระบบตำนาน คงเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขเสี้ยวเทียนจะยอมจำนนต่อฉินจวิน
“ศิษย์น้อง ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ศิษย์พี่หลี่กระซิบกับฉางเฉียนเฉียน ซึ่งนางก็ยิ้มรับทันทีก่อนพูดว่า “อย่ากังวลเลย นายน้อยฉินจะปกป้องข้าเอง เขาสัญญาจะพาข้ากลับนิกายซวนหลิงแล้ว”
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ” ศิษย์พี่หลี่พยักหน้า ก่อนที่นางจะเหลือบมองฉางห่าวแล้วจากไป
หากอยู่ในนิกายซวนหลิงฉางห่าวเป็นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียง แต่ตอนนี้เพราะสุนัขเสี้ยวเทียนเขาจึงดูน่าสมเพชมาก เขาเอาแต่ยืนข้างฉางเฉียนเฉียนก้มหัวลงโดยไม่เปิดปากพูดอันใดเลยแม้นางจะมีความสงสัยอยู่ในใจมากมาย แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับฉินจวิน ดังนั้นนางจึงไม่กล้าสนใจมากนัก
“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ”
ฉินจวินปรบมือเป็นสัญญาณแล้วพูดหลังจากมองไปยังทิศทางที่หลานรัวจีกับคนอื่นๆ กำลังจากไป แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้าน
“สุนัขเสี้ยวเทียน สัตว์อสูรที่อยู่ภายใต้คำสั่งเจ้า แข็งแกร่งสุดระดับใด”
“มีสัตว์อสูรระดับสี่สามตัว หนึ่งในนั้นกำลังทะลวงผ่านการเปลี่ยนแปลงระดับห้า”
“โอ้ หากพวกมันมารับใช้ข้าล่ะเป็นอย่างไร”
“ไม่มีทาง พวกมันเกลียดมนุษย์”
“ชิ!”
ฉินจวินคุยกับสุนัขเสี้ยวเทียนในขณะที่เดินไปข้างหน้า ตามด้วยต้าจี๋และฉางเฉียนเฉียนอย่างใกล้ชิด ส่วนฉางห่าวเดินรั้งท้ายอย่างเงียบๆ
เมื่อมีสุนัขเสี้ยวเทียนติดตามไป ก็ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดกล้าเข้าใกล้ตลอดทาง
ฉินจวินรู้สึกตื่นเต้นปนเสียใจเล็กน้อยเนื่องยังอยากได้คะแนนประสบการณ์จากการสังหารสัตว์อสูร น่าเสียดายที่ทำเรื่องอย่างว่านี้ไม่ได้เพราะสุนัขเสี้ยวเทียน
โชคดีที่เขาพอรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูรที่อยู่นอกเหนืออาณาเขตเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียน แม้จะไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหารสัตว์อสูรในพื้นที่ภายใต้อำนาจของมัน สุดท้ายเหล่าสัตว์อสูรก็มักจะฆ่ากันเอง นี่คือกฎของธรรมชาติ ที่ผู้อ่อนแอจะกลายเป็นอาหารให้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
หลังมีเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนร่วมเดินทางไปด้วย ฉางเฉียนเฉียนก็เริ่มสนใจมันมากขึ้น นางวนเวียนอยู่รอบตัว มันทุกวันจนฉางห่าวถูกเมินเฉยไปโดยสิ้นเชิง อดีตศิษย์พี่ใหญ่ผู้มีเมตตากลายเป็นผู้ไม่น่าสนใจในสายตาของนางไปเสียแล้ว
ส่วนฉางห่าวก็กลายเป็นคนว่าง่าย ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดกับฉินจวิน แม้ฉินจวินจะสั่งให้เขาสับฟืนหรือหาน้ำเขาก็ทำมันโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ ดูเหมือนว่าเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนจะทำให้เขากลัวมากพอจะคิดโต้แย้ง
จากการเดินทางที่น่าเบื่อ ฉินจวินจึงเริ่มให้ต้าจี๋เป็นผู้คอยสอนเรื่องการต่อสู้ให้เขา แม้จะมีระบบตำนาน แต่เขาเข้าใจดีว่าประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงนั้นสำคัญเพียงใด เขาไม่เพียงต้องการให้คนของเขาเป็นอมตะแต่ยังหวังว่าเขาจะมีพลังสูงสุดเช่นกัน เพราะความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้นที่จะทำให้เขาเองรู้สึกปลอดภัยที่สุด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เส้นทางอันทรหดของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ฉางห่าวและฉางเฉียนเฉียนที่คอยเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างพวกเขาอยู่ห่างๆ ต่างหวาดกลัวกับพรสวรรค์ของฉินจวินที่มีไหวพริบฉับไวในการต่อสู้ซึ่งถือได้ว่ายอดเยี่ยมมากทีเดียว เขาแทบไม่เคยทำผิดพลาดแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง เพราะหลังจากทะลวงผ่านอาณาจักรก่อสร้างรากฐานแล้ว เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดก็ถูกปลดทำให้เขามีความก้าวหน้ามากขึ้นทุกวัน
ห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด ฉินจวินและคนอื่น ๆ ก็มองเห็นหนึ่งในเมืองของอาณาจักร เนื่องจากอาณาจักรเฉียนเยว่นั้นกว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรมากมายแม้จะมีเพียงร้อยสามสิบเจ็ดเมืองเท่านั้น แต่ก็มีหลายเมืองที่ระยะทางอยู่ห่างไกลกันมาก ซึ่งหากเดินเท้าก็คงต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน ฉินจวินและกลุ่มของเขาเดินไปอย่างไม่รีบร้อนทำให้การเดินทางเพียงสามวันใช้เวลาไปถึงห้าวันทันที
“เมืองชิงถานงั้นหรือ หากผ่านเมืองนี้ไปแล้ว เราจะถึงสำนักซวนหลิงเร็วนี้ใช่หรือไหม” ฉินจวินถามฉางเฉียนเฉียน ความทรงจำในร่างนี้ของเขาปกติแล้วมักจะวนเวียนอยู่รอบเมืองหลวง ซึ่งเขาไม่ค่อยมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของอาณาจักรเฉียนเยว่ทั้งหมดเท่าไหร่นัก ซึ่งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีเมืองใดอยู่ภายใต้อาณาจักรนี้บ้าง
ฉางเฉียนเฉียนยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใช่ หลังผ่านเมืองชิงถานแล้ว เราจะเดินไปถึงในอีกหนึ่งวัน”
ช่วงเวลาที่นางถูกเสี่ยวโหวลักพาตัวไปทำให้นางยังคงรู้สึกหวาดกลัว โชคดีที่หลังจากได้ติดตามฉินจวินทุกวันนี้ สิ่งต่างๆ ก็ผ่อนคลายลงมาก ฉินจวินในโลกนี้มักจะเล่าเรื่องตลกเป็นครั้งคราวทำให้นางและต้าจี๋ได้หัวเราะอยู่บ่อยครั้ง เป็นผลทำให้ความรักของนางที่มีต่อฉินจวินเพิ่มขึ้นทุกวัน
“ในที่สุดเราก็มาถึง”
ฉินจวินพึมพำ ตราบใดที่ฉางเฉียนเฉียนถูกส่งกลับไปยังนิกายซวนหลิง เขาก็จะได้รับรางวัลและดึงเอาทักษะมาใช้ไปพร้อมๆ กันได้
เพราะทุกวันนี้เขายังไม่มีวิธีโจมตีอย่างอื่นนอกจากใช้เจ้าปืนพกเดสเซิร์ทอีเกิลป้องกันตัวเอง
ผู้บ่มเพาะใช้วิชาและศิลปะการต่อสู้ต่างๆ ในการปกป้องตนเอง แต่เขายังไม่สามารถสู้กับคนแบบประชิดตัวได้เลยสักครั้ง
พลังของปืนพกเดสเซิร์ทอีเกิลก็มีขีดจำกัดเพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เคลื่อนไหวรวดเร็วพวกเขาก็จะสามารถหลบกระสุนได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ฉินจวินจึงกระตือรือร้นคิดค้นทักษะที่จะทำให้โลกตะลึง
คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงยังประตูเมืองชิงถานที่มีกำแพงสูงเจ็ดถึงแปดเมตร ประตูเมืองสูงห้าเมตรและกว้างสี่เมตร การจราจรคับคั่งไปด้วยผู้คนดูมีชีวิตชีวามาก
ทหารทั้งสองฝั่งยืนคุมอยู่หน้าประตูเมือง เมื่อฉินจวินและคนอื่นๆ เดินเข้าใกล้ ก็มีทหารคนหนึ่งหยุดพวกเขาก่อนเอ่ยขึ้น
“สี่คนและสุนัขหนึ่งตัว สิบเหรียญทองแดง”
นี่เราต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าเมืองหรือ
ฉินจวินขมวดคิ้วทันที กฎนี้ไม่มีในอาณาจักรเฉียนเยว่ สิ่งที่พวกเขาทำได้มากสุดคือตรวจสอบตัวตนของผู้จะเข้าไปข้างในเท่านั้น
ฉางเฉียนเฉียนเคยชินกับมันแล้ว นางหยิบเหรียญทองแดงสิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าที่ห้อยอยู่ตรงเอวแล้วยื่นส่งไปอย่างเช่นทุกครั้ง
จากนั้นกลุ่มคนทั้งสี่พร้อมกับสุนัขหนึ่งตัวก็เดินเข้าไปในเมืองชิงถาน ทันทีที่ผ่านเข้าไปข้างในฉินจวินก็ถูกชนเข้ากับร่างเล็กของใครบางคนโดยไม่ตั้งใจ