ตอนที่แล้วบทที่ 108 – ผู้สาปแช่งที่ขุดหลุมฝังศพสองหลุม(4)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 110 – ผู้สาปแช่งที่ขุดหลุมฝังศพสองหลุม(6)

บทที่ 109 – ผู้สาปแช่งที่ขุดหลุมฝังศพสองหลุม(5)


บทที่ 109 – ผู้สาปแช่งที่ขุดหลุมฝังศพสองหลุม(5)

เหตุการณ์มันเริ่มขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน

ตราสัญลักษณ์จอมมารบนศพของริฟ หัวหน้านักผจญภัย ดันทาเลี่ยนและลาพิสนั้นได้ประชุมกันยาวนานในครั้งนั้น จอมมารและลูกครึ่งซัคคิวบัสได้พูดคุยถึงข้อตกลงที่ว่า ทุกๆกลุ่มที่มีหรือแค่อาจจะมีเจตนาร้ายต่อพวกเขาจะต้องถูกทำให้อ่อนแอลง

ทั้งสองต่างประซิบกระซาบในห้องจอมมารที่มีเพดานเป็นถ้ำ

“จากสถานะในปัจจุบันตอนนี้ พวกเราไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่า เบเลี่ยลนั้นเป็นผู้ให้การสนับสนุนริฟ หรืออาจจะเป็นเพียงหนึ่งในอุบายของไพมอนกันแน่ หรือถ้ากรณีที่เลวร้ายที่สุด ไพมอนอาจเป็นผู้ลงมือทำมันด้วยตัวเอง”

“ถูกต้องแล้วค่ะ”

ลาพิสเห็นด้วยแม้จะไม่เต็มใจ

“สำคัญกว่านั้นนะคะ ปัญหาคือ ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนน่ะทำตัวโดดเด่นเกินจำเป็น จอมมารตนแรกในประวัติศาสตร์ที่ฆ่าจอมมารด้วยความแค้นส่วนตัว ……ผู้คนย่อมต้องไม่สบายใจกับการมีอยู่ของท่านค่ะ”

“ข้าจะเบี่ยงเบนความสนใจสายตาของจอมมารกับพวกกลุ่มสังคมปีศาจไปก่อน ข้าจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างโอกาสที่จะขยี้ฝ่ายที่มีศักยภาพพอที่จะเป็นอันตรายต่อข้า ทำให้ข้าเชื่อว่า ข้านั้นไม่คู่ควรต่อความกังวลอีกต่อไป”

มันเป็นเวลาที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราถูกปลุกปั่นยุยงขึ้นด้วยบุคคลเพียงสองคนเท่านั้น

“ขายสมุนไพรดำให้กับบุคคลชั้นสูงของสังคมมนุษย์เท่านั้น พวกเขาน่ะสามารถจะทำกำไรและการทำแบบนั้นยิ่งก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างสามัญชนกับชนชั้นสูงอีกด้วย”

“ดิฉันได้ปล่อยข่าวที่ว่า ปีศาจเป็นสาเหตุให้เกิดกาฬโรค และยังมีข่าวลืออื่นที่ชนชั้นสูงมนุษย์จะช่วยกันเนื่องจากต้องการกลบเกลื่อนความผิดตัวเองแล้วค่ะ”

หลังจากที่ความเชื่อมั่นเชื่อใจของผู้คนในชาตินั้นดิ่งลงเหวเพราะโรคระบาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราชสกุลแต่ละประเทศนั้นก็จะส่งกองกำลังออกมาในข้ออ่างที่ว่า ‘เพื่อกำจัดจอมมารผู้เป็นเหตุให้เกิดคำสาปร้ายแรงนี่’ ทั้งหมดก็เพื่อฟื้นฟูความเชื่อใจของผู้คน

แต่ละกองทัพนั้นมีทหารสูงสุดราวๆ 2,000 ถึง 5,000 นาย แต่ทุกชาตินั้นต่างมาระดมกำลังทหารอย่างพร้อมเพรียงกัน ชาวประชาแห่งเผ่าปีศาจทำอะไรไม่ได้นอกจากวิตกกังวลว่า ‘ไอ้มนุษย์ระยำนั่น พวกมันวางแผนจะบุกโจมตีพวกเรา’

จอมมารจึงได้ตัดสินใจสู้กลับ แผนก็คือ การบุกโจมตีก่อนกองกำลังฝ่ายมนุษย์ พอจอมมารจากฝ่ายที่ราบได้เข้าสู่การสู้รบกับพวกมนุษย์ จอมมารก็จะเริ่มกังวลยิ่งขึ้น

จากจุดนี้ไปจะเป็นก้าวแรก

“ไม่ว่าจะจากมุมไหน การระดมพลของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นจะกลายเป็นการศึกเชิงรับ พวกเราจะทำด้วยแนวคิดที่ว่า เราต้องรุกก่อนไม่เช่นนั้นจะถูกทำร้ายเสียเอง

แต่ถึงอย่างนั้น หากไม่นับฝ่ายที่ราบของบาร์บาทอส ก็มีโอกาสสูงยิ่งที่พวกจอมมารทั้งหลายจะเพลย์เซฟ พวกเขานั้นจะลดการสูญเสียให้น้อยที่สุด ก่อนจะหยุดการสู้รบในที่สุด”

“จากจุดนั้นเอง ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจะเข้าร่วมกับฝ่ายที่ราบ ท่านจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น โดยการผลักดันฝ่ายที่ราบชนะได้อย่างรวดเร็วที่สุด สิ่งนั้นจะทำให้ราชสกุลของฝ่ายมนุษย์เป็นกังวล”

การที่ฝ่ายที่ราบได้รับมอบหมายให้จัดการกับจักรวรรดิฮับบวร์กนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ดันทาเลี่ยนบอกให้บาร์บาทอสหาทางทำอย่างไรก็ได้ให้ได้รับมอบหมายให้จัดการกับจักรวรรดิฮับบวร์ก นั่นคือ สิ่งที่บาร์บาทอสร้องขอต่อ จอมมารลำดับที่ 1 บาอัล

ตอนนั้นเองที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราจะก่อตัวขึ้น บาอัลและบาร์บาทอสได้ทำการแลกเปลี่ยนกัน:

“อันดับ 8 บาร์บาทอส”

“ข้ารอท่านเรียกจนหงุดหงิดแล้วเนี่ย ชัดเจนแน่แล้วว่า ข้าจะไปที่ไหนใช่ไหม?’

“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้บัญชาการภาค 6 จงนำทัพมุ่งไปยังจักรวรรดิ์ฮับบวร์ก ข้าอนุญาตให้เจ้าบัญชาการกองกำลังฝ่ายที่ราบทั้งหมด”

จุดหมายปลายทั้งที่เห็นพ้องต้องกันของจอมมารทั้งสองตน

เป็นไปดั่งแผนที่ดันทาเลี่ยนวางไว้

ิกองทัพภาค 6 แห่งทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นได้ถูกส่งไปยังฮับบวร์ก ตรงนี้เองที่ ดันทาเลี่ยนก็อบปี้กลศึกที่ประสบความสำเร็จใน  <Dungeon Attack> และได้รับชัยชนะที่ภูเขาดำ

……ข่าวที่รายงานว่า มอนสเตอร์นับพันตัวสามารถผ่านภูเขาดำไปได้ภายในเวลาแค่ 4 วัน นั้นสร้างความตกตะลึงให้กับพวกมนุษย์ยิ่งกว่าพวกปีศาจ

“กระจายข่าวลือไปโดยทันที บอกกับผู้คนทั้งหลายว่า กองทัพจอมมารนั้นจะไม่ฆ่ามนุษย์ในดินแดนที่พวกเขาพิชิตได้ แต่กลับกันจะให้สมุนไพรดำฟรีๆแทนด้วยซ้ำ”

“ท่านต้องทำอย่างนั้นจริงนะคะ”

“อ้า แน่นอน ข้าทำอยู่แล้ว”

ทีแรกนั้น ดันทาเลี่ยนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับการสู้กับมาร์คกราฟในการรบ เขาได้หว่านล้อมให้บาร์บาทอสพิชิตดินแดนมาได้โดยไม่เสียเลือดสักหยด

ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เพียงแต่แจกจ่ายสมุนไพรดำเพื่อเพิ่มความเชื่อใจจากประชาชน แต่เขานั้นยังช่วยกำจัดมอนสเตอร์ชนเผ่าที่อยู่ละแวกข้างเคียงให้ด้วย ดังนั้นสามัญชนทั้งหลายต่างเต็มใจที่จะยกบาร์บาทอสขึ้นเป็นเอิร์ลคนใหม่ของพวกเขา

ข่าวที่ว่า กองทัพจอมมารนั้นได้เดินทัพผ่านภูเขาดำด้วยความเร็วเหลือเชื่ออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประกอบทั้งความจริงเรื่องที่ว่า พวกจอมมารนั้นยอมรับประชาชนเป็นพลเมือง ส่งผลกระทบหนักกับสังคมมนุษย์

กองทัพภาค 6 ของทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราอาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ ความจริงมันเป็นภัยคุกคามอันใหญ่ยิ่งต่อการมีอยู่ของราชวงศ์ในแต่ละชาติ

ความเชื่อใจของผู้คนต่างตกลงสู่จุดต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่เกิดกาฬโรค ดังนั้นไม่สำคัญเลยว่า ผู้ที่แบ่งปันแบ่งจ่ายนั้นจะเป็นจอมมารอะไรใครก็ตาม ความจริงที่ว่า ผู้มอบสมุนไพรดำนั้นเป็นดั่งโอเอซิสท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้งสำหรับผู้ที่ลูกชายและสามีกำลังจะตาย

จนถึงตอนนี้ เหล่ามนุษย์ชาตินับตั้งแต่จักรพรรดิไปจนถึงข้าทาสทั้งหลายต่างร่วมใจกันสู้รบกับกองทัพพันธมิตร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากที่จะสมานสามัคคีได้แล้วในครั้งนี้

ความแตกแยกกันระหว่างชนชั้นสูงกับสามัญชนเริ่มรุนแรงมากขึ้น มากยิ่งขึ้นไปอีก สามัญชนและทาสนั้นก่อจราจลด้วยความที่ต้องการสมุนไพรดำในขณะที่เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายกักตุนไว้อย่างไร้เมตตา คำพูดที่ว่า ‘เพื่อมนุษยชาติ’ นั้นใช้ไม่ได้ผลกับสถานการณ์นี้

มันเป็นความจริงที่ว่า มาร์คกราฟ โรเซนเบิร์กนั้นต้องลี้หนีไปจากดินแดนตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มสู้สักนิดเลยด้วยซ้ำ

กองกำลังยิ่งใหญ่ของเขา จากเดิม 30,000 นาย หดเล็กลงจนเหลือ  10,000 นาย ในชั่วพริบตาเดียว ซึ่งก็เห็นได้ชัดแล้วว่า หากไม่นับอัศวินประจำตัว พวกทหารเกณฑ์ ทหารรับจ้างทั้งหลายต่างไม่อยากแสดงความภักดีต่อชาติตน

สุดท้ายแล้ว ทั้ง 12 ชาติ ก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า จากประวัติศาสตร์  2,000 ปีที่ผ่านมา การระดมกำลังพลทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 8 นี้ เป็นอันตรายมากที่สุด

จากจุดนั้นก็ไปสู่ขั้นที่สองต่อ

“ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ การที่พวกเราต้องตัดทอนกำลังของทั้งสองฝ่าย ทั้งกองกำลังฝ่ายจอมมาร และทั้งกองกำลังฝ่ายมนุษย์ให้ได้มากที่สุดค่ะ…….”

“ใช่แล้ว พวกเราจะต้องทำให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายมุ่งเป้าไปสู่สถานที่แห่งเดียว”

สงครามที่ใส่หนักกันไม่หยุด!

ดันทาเลี่ยนหวังว่า ทั้งสองฝ่ายนั้นจะแลกหมัดกันให้หนักถึงตายเพื่อที่เขาจะได้ซื้อเวลาให้ตัวเองได้เติบโตขึ้น เพื่อการณ์นั้น

ทั้งสองฝ่ายจะต้อง ‘คุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่’ แล้วสาดเททุกอย่างออกมาจนหมดหน้าตัก

ให้พวกจอมมารทั้งหลายคิดว่า พวกเขาจะพ่ายแพ้หากไม่สามารถทะลวงพื้นที่ตรงนี้ได้

ให้พวกมนุษย์ทั้งหลายคิดว่า พวกเขาจะถูกกวาดล้างหากพวกเราไม่สามารถปกป้องพื้นที่ตรงนี้ได้

แล้วต้องทำอะไร มันจึงจะสัมฤทธิ์ผลตามนั้นล่ะ?

“เมื่อพวกมนุษย์ได้รับข่าว ว่ากองทัพพันธมิตรมาถึงแล้ว พวกเขาก็อยากไปเข้าร่วมสงครามกับกองทัพจอมมารที่อาจจะมาบุกโจมตีประเทศของพวกเขา”

ไม่ใช่ทุกชาติหรอกที่มีพรมแดนติดกับจอมมาร ยกเว้น ราชอาณาจักรทิวทัน,จักรวรรดิฮับบวร์ก,ราชอาณาจักรโพลิช-ลิทัวเนีย และ ราชอาณาจักรมอสโคว ชาตินอกเหนือจากชาติพวกนี้น่ะ ต่างห่างไกลจากดินแดนของจอมมารทั้งสิ้น

หากกองทัพจอมมารต้องการจะบุกจักรวรรดิแฟร้งค์ พวกเขาก็ต้องพิชิตจักรวรรดิฮับบวร์ให้ได้ก่อน

นับเป็นโชคเหลือหลาย ที่จักรวรรดิแฟร้งค์นั้นต้องการจัดการกับเหล่าจอมมารในฮับบวร์กแทนที่จะมาจัดการในเขตแดนของตัวเอง พวกเขาอยากจัดการให้ได้ก่อนที่จักรวรรดิฮับบวร์กจะล่มสลาย

การสงครามนั้นสร้างความเสียหายให้แก่ผืนดิน ที่เข้าไปทำการปะทะ ดังนั้นก็ดีกว่าอยู่แล้วที่จะสู้กันบนผืนดินของประเทศอื่นแทนที่จะเป็นประเทศตน

จักรวรรดิแฟร้งค์,สาธารณรัฐบัทตาเวีย,ราชอาณาจักรบริททานี่ ราชอาณาจักรแคสไทล์ และ ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย

(The Frankish Empire, the Batavia Republic, the Kingdom of Brittany, the Kingdom of Castile, and the Kingdom of Sardinia)

รวมทั้งหมด 5 ชาติ เคลื่อนกองทัพในทันทีที่ป้อมปราการทั้งหลายแห่งภูเขาดำแตกพ่าย

พวกเขาอาจคิดว่า นั่นเป็นโชคดี ที่พวกเขาได้เตรียมทหารแนวหน้าไว้ ซึ่งนั่นเป็นหน่วยทหาร 2,000 ถึง 5,000 นาย ที่พวกเขาได้ส่งไปพิชิตปราสาทจอมมารก่อนที่ กองทัพพันธมิตรจะได้ก่อตัวขึ้น ชาติเหล่านั้นได้ให้ทัพแนวหน้าเดินทัพมาถึงก่อนที่กองกำลังหลักของจริงจะตามมาสมทบด้วย

แต่ละหน่วยต่างเดินทัพมายังชายแดนฮับบวร์ก พวกเขาส่งคำขอมายังจักรวรรดิฮับบวร์กเพื่อขออนุญาตให้เขานั้นสามารถเดินทัพมายังดินแดนแห่งนี้ได้

แต่ถึงกระนั้น ทั้งมกุฏราชกุมารและเจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิต่างปฏิเสธคำขอของพวกเขา

มกุฏราชกุมารทำแบบนั้นก็เพราะต้องการจะผูกขาดความสำเร็จไว้กับตัวเอง ในขณะที่เจ้าหญิงลำดับสามทำเพื่อที่จะได้มีโอกาสร่างสัญญาสงบศึกกับกองกำลังจอมมาร

……ชาติต่างๆถึงกับงง พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัดนัก แต่พวกเขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมทั้งที่จอมมารนั้นบุกเข้ามาแล้ว!

ดันทาเลี่ยนเข้าใจถูกต้อง

“หากมีข้ออ้างอันชอบธรรม พวกเขาก็ย่อมต้องยกทัพมาที่ฮับบวร์กโดยไม่ต้องรอการอนุญาต”

“ถูกแล้วค่ะ แล้วท่านตั้งใจจะสร้างข้ออ้างนั้นได้อย่างไรกันคะ?”

“มีเหตุผลที่ว่า ทำไมข้าถึงเลือกจักรวรรดิฮับบวร์ก”

ผมยิ้มชั่วร้าย

“ในตอนนี้ มีการต่อสู้กันทางการเมืองอย่างดุเดือดระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ราชสกุลจะเข้ามาดึงอำนาจทางการทหารเผื่อไว้ในกรณีเกิดสงครามขึ้น

สำหรับลอร์ดทั้งหลาย การสงครามนั้นเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสที่จะฮุบอำนาจการบัญชาการทหารอย่างถูกกฏหมาย”

“……ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

ลาพิสพยักหน้า

“ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงของจักรวรรดิ ท่านก็สามารถหาข้ออ้างได้หากสามารถจับกุมใครสักคนมาได้”

“ถูกต้องแล้ว”

การศึกที่ออสเตอร์ลิทช์นั้นทำให้สงครามประสาทระหว่างจักรวรรดิฮับบวร์กกับชาติอื่นนั้นตึงเครียดหนักขึ้น

มกุฏราชกุมารได้โผล่ตัวออกมาอย่างที่ดันทาเลี่ยนคาดการณ์ไว้ กองทหารของจักรวรรดิพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์

กุญแจที่สำคัญหนึ่งในการรบที่ออสเตอร์ลิทซ์นั้น คือ ความจริงที่ว่า กองทัพจอมมารนั้นไม่ได้ใช้ทหารขี่สัตว์เลย

ซึ่งความจริงแล้วดันทาเลี่ยนกับบาร์บาทอสนั้นเตรียมกองกำลังไว้ต่างหาก เผื่อกรณีที่หัวหน้าฝ่ายศัตรูเกิดหนีรอดไปได้ พวกเขาจะใช้กองกำลังติดตามนั้นส่งไปรอบๆสมรภูมิเพื่อจับกุมตัวหัวหน้าที่พยายามจะหนีไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นทันทีเมื่อสามารถจับกุมมกุฏราชกุมารได้ง่ายถึงเพียงนั้น

สิ่งนั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างง่ายดายขึ้นมาก

ในขณะที่บาร์บาทอสชุบชีวิตกองพันอมตะและจอมมารฝ่ายที่ราบกำลังเกณฑ์ทหารมาจากมอนสเตอร์ตามหมู่บ้าน

ดันทาเลี่ยนก็ส่งข้อความถึง ชาติต่างๆ มันเป็นวิดีโอที่มกุฏราชกุมารอยู่ในลูกแก้วเวทย์มนตร์แล้วส่งไป

–ข้า รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก ผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมในการปกครองจักรวรรดิ ฮับบวร์ก และผู้หนึ่งผู้เดียวเท่านั้นในบัลลังค์อันศักดิ์สิทธิ์

มันช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกินที่ข้าต้องกล่าวเช่นนี้ แต่จักรวรรดิของข้าในตอนนี้ประสบกับภัยอันตรายร้ายแรงใกล้เข้ามา

ดังนั้น ตัวข้า รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก จึงขอส่งคำขอร้องไปยังผู้ปกครองชาติต่างๆที่เชื่อในความรักและความเป็นมิตรแห่งมนุษยชาติ…….

มันก็คือ การขอกำลังเสริมนั่นแหละ

มกุฏราชกุมารน่ะถูกฆ่าตายไปแล้ว และตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตุ๊กตาที่ชุบชีวิตขึ้นมาด้วยเวทย์มนตร์ของบาร์บาทอส

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางมองออก ผ่านลูกแก้วเวทย์มนตร์ได้หรอก ไม่สิ ต่อให้มองออกหรือรู้ แล้วยังไงกันล่ะ? พวกเหล่าผู้ปกครองชาติต่างๆก็ไม่สนอยู่ดี

ชาติอื่นๆที่กำลังกลัวว่า ชาติตัวเองจะล่มจมเป็นชาติต่อไปหลังจากจักรวรรดิฮับบวร์ก จึงส่งเสียงเชียร์ตะโกนดีใจออกมาเมื่อได้รับข้อความดังกล่าว

เอกสารที่ส่งมากับลูกแก้วนั้น ไม่ได้มีการประทับด้วยตราลัญจกรของมกุฏราชกุมาร พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่า ผู้ปกครองจักรวรรดิฮับบวร์กตอนนี้คือ อลิซาเบธ เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิ

แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ตอนนี้พวกเขามีข้ออ้างอันชอบธรรมอยู่ในมือแล้ว!

ไม่เพียงแค่ชาติทั้งหลาย แต่ดันทาเลี่ยนได้ส่งข้อความเหล่านั้นไปถึงมาร์คกราฟแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กด้วย

โดยเฉพาะกับมาร์คกราฟที่สาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อ ผู้สืบทอดราชบัลลังค์คนแรก ก็ได้ตอบรับในทันที พวกเขาทำตัวเหมือนไก๊ด์นำทางโดยมาพร้อมกับกองกำลังของชาติอื่น

จากจุดนี้ก็ไปถึงส่วนที่สาม

“……ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนช่างเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงค่ะ”

ลาพิสนั้นถอนหายใจแล้ว ถอนหายใจอีกทั้งที่ก่อนหน้าก็ถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง

“ไม่มีใครจะสร้างแผนการที่อลังการขนาดนี้หรอกค่ะ ใครจะไปคิดไปนึกได้ว่าต้นกำเนิดแผนทั้งหมดจะเกิดจากสมองของบุคคลเดียว”

“ถ้ามันสำเร็จล่ะก็นะ”

“ตัวดิฉันผู้นี้ไม่กล้าที่จะการันตีความสำเร็จหรอกนะคะ แต่ถึงอย่างนั้น”

ลาพิสมองตรงมายังผม

“ดิฉันยินดีเดิมพันกับอายุขัย 200 ปี ว่าฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน”

“มั่นใจเป็นที่สุดเลยสินะ ใช่แล้วล่ะ ข้าเชื่อว่า ผู้ที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย คือ ข้าเองนี่แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะกลับไปโลกปีศาจแล้วดำเนินการแผนแรกในทันทีนะคะ ……มีอีกอย่างหนึ่งค่ะ ฝ่าบาทคะ ท่านจะให้ชื่อ แผนปฏิบัติการใหญ่นี้ว่าอย่างไรคะ?”

“เราเรียกมันว่า ปฏิบัติการณ์มิเนอร์ว่าก็แล้วกัน(Operation Minerva)”

แล้วบริษัทเคียนคุสก้าก็ได้มีบทบาทสำคัญยิ่งในแผนอลังการนี้

ไม่มีกลุ่มใดที่จะสามารถกระจายข่าวลือ และให้สินบนต่อผู้นำระดับสูงของชาติมนุษย์ได้ดีไปกว่าที่บริษัทเคียนคุสก้าทำได้อีกแล้ว

ปัญหาใหญ่ ถึงแม้ว่า ลาพิสจะคอยช่วยเหลืออย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ก็ยังมีคำถามว่า ทั้งบริษัทเคียนคุสก้านั้นจะเล่นไปตามแผนของดันทาเลี่ยนหรือไม่

แน่นอน ดันทาเลี่ยนรู้ว่า พวกเขาช่วยแน่

อิวาร์ ล็อดบรอค แวมไพร์ลอร์ดผู้เป็นเจ้าของบริษัทเคียนคุสก้าที่ดูถูกจอมมารยิ่งกว่าใครๆทั้งปวง!

อิวาร์ ได้มาพบกับดันทาเลี่ยนอย่างลับๆ

พวกเขาพูดคุยกันอย่างจริงจังยาวนานหลายชั่วโมง สีหน้าของอิวานนั้นย้อมไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะกลายเป็นสีหน้าจริงจัง ก่อนจะจบลงด้วยการมองที่เยือกเย็น

เธอเข้าใจแผนการนี้ดีว่า จะมีผลคุกคามต่อจอมมารทั้งหลาย

อิวาร์พูดพึมพัมอะไรบางอย่างออกมา

“……จอมมารผู้ยิ่งใหญ่แห่งอังกอมัวร์  (Great Demon Lord of Angolmois)”

“หืมม?”

ดันทาเลี่ยนมองอิวาร์ ด้วยความฉงนสงสัย อิวาร์ได้แต่ส่ายหัว

“ไม่มีอะไร เรานั้นระลึกถึงบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

อันตัวเรานี้ อิวาร์ ล็อดบรอค อาจจะด้อยไปบ้าง แต่เราขออุทิศการให้การสนับสนุนสุดกำลังเพื่อแผนการของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน”

เป็นที่แน่นอนว่า อิวาร์คนนี้นี่แหละที่เตรียมไวน์อันสุดจะแพงแสนแพงตอนที่ไปแวะเยี่ยมเยียนบาร์บาทอส

ความจริงแล้วทั้งหมดเป็นแผนของดันทาเลี่ยน เขามั่นใจในแผนการของเขาว่า จะสามารถล่อกองกำลังของมนุษย์มาได้ แต่เขาไม่รู้ว่า จะล่อกองกำลังจอมมารนอกเหนือจากกองทัพภาค 6 มาได้อย่างไร

ตอนนั้นเองที่เขานึกถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาถูกไล่บี้จากเหล่ามนุษย์ทั้งหลายตอนที่หนีกลับออกมาจากภูเขาดำ

ตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับแผนการณ์ที่ไพมอนคิดจะทรยศกองทัพจอมมาร

―ดันทาเลี่ยนตื่นเต้นมาก เขาสุดแสนจะดีใจจนต้องเอาไวน์ทั้งหมดที่มีอยู่ออกมาดื่มด้วยกันกับลอร่า

ทำไมเขาจะไม่ทำอย่างนั้นล่ะ?

ก็ในเมื่อขั้นตอนที่สี่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย อยู่ๆมันก็สำเร็จด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น!

“ไพมอน! ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้!”

เขาระเบิดหัวเราะออกมา

“นี่เธอได้ช่วยเหลือแผนการข้าตั้งแต่เริ่มจนจบเลย!”

ดันทาเลี่ยนนั้นปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลไปยัง มาร์บาส แห่งกองทัพภาค 2 , อกาเรสแห่งกองทัพภาค 3 ,เวสซาโก้แห่งกองทัพภาค 4 และกามิกินแห่งกองทัพภาค 5 เพื่อแจ้งให้รู้ว่า ไพมอนแห่งกองทัพภาค 1 วางแผนจะโจมตี บาร์บาทอสแห่งกองทัพภาค 6 อย่างไร

จอมมารโดยมากแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อข้อมูลที่ปล่อยออกมาจากดันทาเลี่ยนนัก พวกเขาคิดว่า มันไร้สาระสิ้นดี

แต่ถึงอย่างนั้น จอมมารลำดับ 5 มาร์บาส ผู้ซึ่งดันทาเลี่ยนเคยไปเพิ่มแต้มค่าความชอบไว้ในช่วงพิจารณาคดี ในราตรีวีลเพอกีสได้เอาคำพูดของดันทาเลี่ยนไปคิดอย่างจริงจัง

ที่สำคัญที่สุด มาร์บาสรู้จักบุคลิกของไพมอนเป็นอย่างดี เขาไตร่ตรองตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่า เป็นไปได้อย่างมาก

มาร์บาสจึงหยุดเดินกองทัพภาค 2 แล้วจับตาดูความเคลื่อนไหวของกองทัพภาค 1

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น การเคลื่อนไหวของกองทัพ ภาค 1 นั้นแปลกประหลาด จริงอยู่ที่ฝ่ายภูเขาไม่ชอบสงครามนัก แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นออกจะดูขี้เกียจนิ่งเฉยมากเกินไป และพอกองทัพภาค 1 ยอมเคลื่อนย้ายกองทัพตน พวกเขากลับมุ่งตรงไปยังจักรวรรดิฮับบวร์ก มิใช่ราชอาณาจักรทิวทัน

“……ดันทาเลี่ยนพูดถูก”

มาร์บาสกลืนน้ำลาย

และไม่ใช่แต่เพียงมาร์บาสเท่านั้น ผู้บัญชาการคนอื่นต่างรับข้อมูลไปใคร่ครวญอย่างจริงจัง หรืออย่างน้อยๆก็ส่งสายลับไปยังกองทัพภาค 1 แล้วข่าวที่ว่ากองทัพภาค 1 มุ่งหน้าไปยังฮับบวร์กก็ส่งตรงถึงเหล่าผู้บัญชาการของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราในทันที

จอมมารระดับสูงทั้งหลายผู้ปกครองเหล่าปีศาจจึงได้มาพร้อมกับการตัดสินใจแล้วว่า

“ทุกคน เกิดเหตุบางอย่าง พวกเราจะมุ่งหน้าไปฮับบวร์ก”

-จอมมารลำดับ 5 มาร์บาส, ผู้บัญชาการกองทัพภาค 2

“อิย๊าาาาา ไพมอน ยัยหนูนี่ ข้าได้ยินเสียงสมองของนางหมุนติ้วๆๆจากที่นี่เลยล่ะ ข้าจะไม่ปล่อยให้นางได้สนุกคนเดียวหรอก! ไปกันเล้ยยย!”

-จอมมารลำดับ 2 อกาเรส, ผู้บัญชาการกองทัพภาค 3

“พวกเราจะเปลี่ยนทิศทางการเดินทัพ”

-จอมมารลำดับ 3 เวสซาโก้, ผู้บัญชาการภาค 4

“เฮ่ออออ เป็นปัญหาอีกจนได้ ข้าก็ว่าอยู่แล้วว่าช่วงนี้รู้สึกไม่ดีเลย”

-จอมมารอันดับ 4 กามิกิน, ผู้บัญชาการภาค 5

กองทัพภาค 2 , 3 , 4 และ 5  ที่เป็นกองกำลังหลักของทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังฮับบวร์กในทันที พวกเขาไม่ต้องการให้ไพมอนได้รับความสำเร็จของทัพพันธมิตรไปเพียงแต่ผู้เดียว

ไพมอนในตอนนี้กำลังอึ้งกับการปรากฏตัวของมาร์บาส แต่หากเธอรู้ว่า สามผู้บัญชาการต่างก็กำลังเดินทัพเข้ามาใกล้ เธอคงเป็นลมสลบไป

นับถอยหลังสู่สงครามที่ดันทาเลี่ยนกำลังเฝ้ารออยู่

สงครามที่ว่านั่นกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด