ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 417 ลงมือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 419 วัดต้าหลัวยอมจำนน

MDB ตอนที่ 418 เครื่องรางเทพอัคคี


แม้ว่าโกลดี้จะยังห่างไกลจากการเป็นอีกาทองคำ แต่มันก็มีคุณสมบัติบางอย่างบ้างแล้ว นอกจากนั้น โกลดี้ก็ใกล้จะถึงจุดวิวัฒนาการอีกด้วย ดังนั้นการกระตุ้นที่ได้รับจากสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญเมื่อมันก้าวไปสู่ระดับสี่

โกลดี้ไม่มีเจ้าของพันธสัญญาโลหิต และมันก็ไม่ใช่สัตว์ปีศาจเช่นกัน แต่มันกลับครอบครองสายเลือดของสัตว์ในตำนาน พูดตามตรง ด้วยสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน ถ้ามันก้าวเข้าสู่ระดับสี่ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเทียบได้กับระดับห้าหรืออาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ

นี่คือเหตุผลที่หลินจินมีความมั่นใจที่จะเดินทัพบุกไปยังวัดต้าหลัว

เมื่อเห็นออร่าที่น่าสะพรึงกลัวนี้ พระภิกษุก็ตัวแข็งค้างด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าไก่ตัวนี้ดูแปลกประหลาดมากแค่ไหน แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้

“แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งปรัชญา จงออกมา เทพผู้พิทักษ์!” เจ้าอาวาสร่ายคาถาออกมา ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

จากนั้น แสงหลากสีพุ่งออกมาจากลูกประคำมาลา[1]ในมือของเขา ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง แนวหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นกลางอากาศ

หลังจากที่มันจางหายไป นกอินทรีสูงสิบเมตรที่มีร่างกายเป็นมนุษย์สวมชุดเกราะเต็มตัวก็ปรากฏตัวขึ้น มันกวัดแกว่งค้อนทองคำสองอัน ดูเหมือนหนึ่งในสิบสองแม่ทัพสวรรค์แห่งพระไภษัชยคุรุ[2]

สัตว์ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกบันทึกไว้ว่ามีอยู่ในตำนานพุทธศาสนา เป็นสัตว์ที่ได้รับการตรัสรู้จากพระพุทธเจ้าแล้วจึงบรรลุการหลุดพ้นได้

ผู้พิทักษ์นกอินทรีไม่เพียงแต่มีขนาดที่สูงตระหง่านเท่านั้น แต่ยังมีอาวุธหนักอีกด้วย บนหัวมีวงแหวนทองคำอันสง่างามสวมอยู่

ภายใต้หน้ากากของเขา หลินจินรู้สึกว่าเปลือกตาของเขากระตุกอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นสิ่งนี้

ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถูกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือไม่ควรดูเบาวัดต้าหลัว

“ภัณฑารักษ์ เราขอให้ท่านออกจากสถานที่ของเราซะ วัดต้าหลัวจะมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้”

เจ้าอาวาสที่เดินประสานมือและโค้งคำนับกล่าว หลินจินเยาะเย้ยในใจ การถอยกลับไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป จากการโจมตีของจื่อจาง จนถึงจุดที่เจ้าอาวาสเรียกสัตว์ผู้พิทักษ์ออกมา สถานการณ์ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

พวกเขาเพียงแต่เริ่มต้นเท่านั้น เช่นเดียวกับสองประเทศก่อนเกิดสงคราม ทั้งสองฝ่ายต้องแสดงแสนยานุภาพของตนออกมา และแม้ว่าสงครามจะยังไม่เริ่มต้น แต่นี่ก็ยังคงเป็นการแข่งขันที่สำคัญพอสมควร

พวกเขากำลังแข่งขันกันเพื่อดูว่าใครมีไพ่ให้เล่นมากกว่า และใครจะเผยไต๋ออกมาก่อน

หลินจินแน่ใจว่าวัดต้าหลัวเต็มไปด้วยยอดฝีมือ หากเขาต้องประกาศสงครามกับพวกเขาเต็มรูปแบบ ลืมเรื่องช่วยวานรยักษ์ขาวไปได้เลย แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะได้ที่นี่จะเป็นที่พำนักแห่งสุดท้ายของเขาไปด้วย

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาแค่ข่มขู่ หลินจินก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะหยิบออกมาใช้งาน

แรงจูงใจของเขานั้นเรียบง่าย และนั่นคือการข่มขู่คู่ต่อสู้ให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเขา หากพวกเขาไม่คิดจะหยุด ก็ให้หายนะไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย นี่คือสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากโลกของเขา

“วัดต้าหลัว พวกท่านช่างเป็นพวกไม่แยแสกับธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง และกำจัดสัตว์ปีศาจทันทีที่พบเห็นสินะ

พวกท่านกล่าวว่าสิ่งนี้มีไว้เพื่อรักษาความยุติธรรมสำหรับสวรรค์ เหตุใดพวกท่านจึงเมินเฉยต่อการกระทำชั่วช้าของมนุษย์กันเล่า?

ข้าอยากจะรู้นัก สิ่งเหล่านี้จะรักษาความยุติธรรมได้อย่างไร? ในเมื่อจิตใจของพวกท่านเต็มไปด้วยอคติเยี่ยงนี้?

การบ่มเพาะเป็นเรื่องยากสำหรับสัตว์ปีศาจ แน่นอนผู้ที่ทำเช่นนั้นย่อมมีทั้งผู้ที่มีอัธยาศัยดีและเลวทรามเช่นกัน แต่พระภิกษุของวัดต้าหลัวกลับปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ ข้าล่ะไม่เข้าจะพวกท่านจริง ๆ

มันเป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่พระภิกษุนับร้อยนับพันเอาแต่ท่องบทสวดมนต์สรรเสริญพระพุทธเจ้า แต่เขาเคยบอกให้พวกท่านทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้หรือไม่!?”

หลินจินกำลังโกรธมาก ดังนั้นเขาจึงขยายเสียงของเขาให้ดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาต้าหลัว

พระภิกษุทุกคนในวัดก็ได้ยินเสียงเขา

“บังอาจ! สิ่งที่เจ้าพูดมามันเหลวไหลสิ้นดี!” เจ้าอาวาสก็โกรธเช่นกัน คำกล่าวของหลินจินเป็นการดูหมิ่นต่อสาธารณะ แล้วเขาจะอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?

พระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็จ้องไปที่หลินจินอย่างโกรธเคืองราวกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ

ในขณะเดียวกัน บางคนก็พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองมีความชอบธรรมในการเล่นงานหลินจิน

“เจ้าปีศาจร้าย! การที่เจ้าปิดหน้าและมีสัตว์ปีศาจอยู่ในอ้อมแขนของเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนดีอย่างงั้นเหรอ!?”

“ท่านเจ้าอาวาส เพียงแค่ออกคำสั่งแล้วเราจะกวาดล้างคนร้ายนี้เพื่อทวงคืนความสงบสุขให้กับวัดของเรา”

พระภิกษุที่เดือดดาลดูเหมือนจะไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป

ทันใดนั้น หลินจินก็หยิบเครื่องรางออกมา

มันเป็น 'เครื่องรางของนิกายเมฆา' ที่หลินจนิเขียนเมื่อเช้านี้ที่เมืองหอคอยเมฆา

ก่อนหน้านี้หลินจินเคยใช้เครื่องรางขุนเขาสวรรค์เพื่อปราบราชางูเห่าตะวันตก คราวนี้หลินจินได้เขียนเครื่องรางเทพอัคคี

หลินจินได้เรียนรู้เครื่องรางแห่งธาตุทั้งห้าจากหวู่เฉียน ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าของนิกายเมฆาในตอนที่เขาอยู่ในเมืองหลวงรอบก่อน

ถึงกระนั้น คำว่า 'เรียนรู้' อาจจะไม่เหมาะสมในกรณีนี้ เนื่องจากความเข้าใจของหวู่เฉียน และระดับการค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องรางแห่งธาตุทั้งห้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับของหลินจินได้ ผู้เฒ่าเพิ่งแค่เกริ่นนำเขาในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

ในตอนนั้นเครื่องรางขุนเขาสวรรค์ถูกใช้เพื่อปิดผนึกสัตว์ร้ายไว้ใต้ภูเขา วันนี้หลินจินกำลังจะใช้เครื่องรางเทพอัคคีที่มีระดับพลังที่สูงกว่า

เขาจะอวด 'อาวุธนิวเคลียร์' ของเขา และดูว่าวัดต้าหลัวจะยังต้องการท้าทายเขาอีกหรือไม่?

เครื่องรางเทพอัคคีอยู่ในระดับที่สูงกว่าและแข็งแกร่งกว่าเครื่องรางขุนเขาสวรรค์มาก ดังนั้นหลินจินจึงไม่สามารถเปิดใช้งานด้วยตัวเขาเพียงได้ โชคดีที่เขาได้ลองฝึกซ้อมประสิทธิภาพของเครื่องรางนี้ในระหว่างทางมาที่นี่

เขาต้องการเพียงแหล่งกำเนิดเปลวไฟที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อเท่านั้นจึงจะมีโอกาสสำเร็จถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์

เสี่ยวฮั่วจะไม่สามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหันไปทางโกลดี้ เพื่อขอความช่วยเหลือจากมันเท่านั้น

“โกลดี้ ถึงตาแกออกโรงแล้ว!” หลินจินเรียกเจ้าไก่

โกลดี้ส่งเสียงร้องทันที มันกางปีกทะยานขึ้นไปเหนือวัดต้าหลัว หลินจินโยนเครื่องรางขึ้นและเรียกคาถาเพื่อเปิดใช้งาน

“จงสำแดงฤทธิ์เดช เครื่องรางเทพอัคคี!”

เครื่องรางเทพอัคคียิงขึ้นมาและติดเข้ากับโกลดี้ ราวกับว่าน้ำมันเบนซินถูกเทลงบนร่างนกไฟของโกลดี้ เปลวไฟบนร่างกายของเขาก็เริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ราวกับว่าดวงอาทิตย์ตกจากท้องฟ้า ก้อนไฟขนาดใหญ่ก็ลอยอยู่เหนือวัดต้าหลัว แม้ในระยะนี้ พระภิกษุเบื้องล่างก็พบว่าความร้อนที่แผดเผานั้นแทบทนไม่ไหว ในทางกลับกัน ผู้แสวงบุญและผู้นับถือศรัทธาต่างพากันหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว

คนที่ไม่เข้าใจปรากฏการณ์ประหลาดนี้ก็แค่ตะโกนทั้งน้ำตา

“เป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์! พระอาทิตย์กำลังจะร่วงหล่นลงมาแล้ว!”

วัดต้าหลัวทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหลอย่างสมบูรณ์ พวกพระภิกษุที่กำลังนั่งสมาธิหรือสวดมนต์อยู่ก็เริ่มตื่นตระหนก แม้แต่คนที่เข้าสู่ความสันโดษก็ยังเสียสมาธิเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

พระภิกษุผู้เจริญวิปัสสนามาอย่างชำนาญ แม้จะมีมีดจ่อที่คอ พวกเขาก็ยังสามารถรักษาความสงบได้

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าระดับการฝึกฝนของพวกเขาจะกล้าแกร่งมากเพียงใด พวกเขาก็ยังหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงเบื้องหน้าของพวกเขา

ไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญามากนักในการคิดว่าหากลูกไฟขนาดใหญ่ตกลงมา วัดต้าหลัวกับมรดกที่มีมายาวนานนับพันปี จะถูกทำลายจนย่อยยับ

บางทีพระภิกษุที่มีระดับพลังสูงกว่าอาจจะรอดจากหายนะนี้ได้ แต่วัดคงจะเหลือแต่เศษซากอย่างแน่นอน

ดังนั้น เมื่อเห็นทักษะขั้นสูงสุดของภัณฑารักษ์ เจ้าอาวาสผู้ดื้อรั้นก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป

“ภัณฑารักษ์ ได้โปรดหยุดก่อน!”

“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เรามาพูดจากันดี ๆ อย่างผู้มีอารยะกันเถอะนะ!”

ไม่ใช่แค่เจ้าอาวาสเท่านั้น แต่พระภิกษุคนอื่น ๆ ที่ต้องการจะบุกโจมตีหลินจิน ก็ยังยอมจำนนต่อการข่มขู่ของเขา แม้ว่าพวกเขาจะอดใจไม่ไหวที่จะฉีกภัณฑารักษ์นี้เป็นชิ้น ๆ ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่มีความกล้าหาญขนาดนั้น

หากหลินจินปล่อยลูกไฟยักษ์ลง วัดต้าหลัวก็จะถูกทำลายเป็นจุณ

แน่นอนว่าหลินจินจะไม่ทำลายวัดต้าหลัวจริง ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เขาได้พิจารณาเรื่องนี้มาก่อนแล้วจริง ๆ เขาคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับชางเอ๋อร์และวานรขาว วัดต้าหลัวจะต้องทนทุกข์จากความโกรธเกรี้ยวของเครื่องรางเทพอัคคีของเขาอย่างแน่นอน

ตอนนี้ชางเอ๋อร์กำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของเธอ ถ้าหลินจินสามารถรับประกันได้ว่าวานรยักษ์ขาวยังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะหยุดมือและวัดของพวกเขาก็จะไม่เสียหาย

ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเครื่องรางเทพอัคคีถูกปล่อยออกมา ทั้งเขาและวัดต้าหลัวจะไม่หยุดสู้จนกว่าอีกฝ่ายจะตายจากกัน

นี่เป็นทางเลือกสุดท้าย และถึงอย่างนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่หลินจินไม่พร้อมที่จะทำ

พระภิกษุอื่น ๆ อยู่นิ่ง ๆ เพื่อเฝ้ารอคำสั่งจากเจ้าอาวาส ทางด้านเจ้าอาวาสเขากำลังคิดหาทางออกอย่างกระวนกระวายใจ แม้ว่าเขาจะเกลียดชังหลินจินจนสุดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ภัณฑารักษ์มีพลังเกินกว่าเขาจะโค่นลงได้

ตั้งแต่เขาปรากฏตัวมาจนถึงตอนนี้ เขาได้ลงมือเพียงสามครั้งเท่านั้น

ครั้งแรกเป็นการทักทายด้วยการข่มเหงสัตว์วิเศษทั้งปวงที่เตร่อยู่ในวัดของตน

ครั้งที่สองคือตอนที่เขาจัดการกับจื่อจาง ชายคนนั้นเพียงแค่ยกนิ้วขึ้นเพื่อลบล้างคัมภีร์จ้าวอสูรของจื่อจาง

ครั้งที่สามคือตอนที่เขาเสกลูกไฟขนาดยักษ์ที่กำลังลอยอยู่เหนือหัวพวกเขา

หากพวกเขาทำผิดพลาดแม้แต่น้อย วันนี้อาจเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดที่วัดต้าหลัวเคยเผชิญมาในรอบพันปี!

[1] ลูกประคำมาลา คือลูกประคำแบบเดียวที่พบในตอนก่อนหน้านี้ ของสิ่งนี้ถูกพบบ่อยในพุทธศาสนา แต่ก็พบได้ในศาสนาอื่นด้วย

[2] เป็นหนึ่งในพระพุทธเจ้าตามความเชื่อในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน นิกายวัชรยาน หรือพุทธตันตระ พระนามของท่านหมายถึงพระตถาคตเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด