MDB ตอนที่ 418 เครื่องรางเทพอัคคี
แม้ว่าโกลดี้จะยังห่างไกลจากการเป็นอีกาทองคำ แต่มันก็มีคุณสมบัติบางอย่างบ้างแล้ว นอกจากนั้น โกลดี้ก็ใกล้จะถึงจุดวิวัฒนาการอีกด้วย ดังนั้นการกระตุ้นที่ได้รับจากสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญเมื่อมันก้าวไปสู่ระดับสี่
โกลดี้ไม่มีเจ้าของพันธสัญญาโลหิต และมันก็ไม่ใช่สัตว์ปีศาจเช่นกัน แต่มันกลับครอบครองสายเลือดของสัตว์ในตำนาน พูดตามตรง ด้วยสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน ถ้ามันก้าวเข้าสู่ระดับสี่ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเทียบได้กับระดับห้าหรืออาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
นี่คือเหตุผลที่หลินจินมีความมั่นใจที่จะเดินทัพบุกไปยังวัดต้าหลัว
เมื่อเห็นออร่าที่น่าสะพรึงกลัวนี้ พระภิกษุก็ตัวแข็งค้างด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าไก่ตัวนี้ดูแปลกประหลาดมากแค่ไหน แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งปรัชญา จงออกมา เทพผู้พิทักษ์!” เจ้าอาวาสร่ายคาถาออกมา ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
จากนั้น แสงหลากสีพุ่งออกมาจากลูกประคำมาลา[1]ในมือของเขา ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง แนวหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หลังจากที่มันจางหายไป นกอินทรีสูงสิบเมตรที่มีร่างกายเป็นมนุษย์สวมชุดเกราะเต็มตัวก็ปรากฏตัวขึ้น มันกวัดแกว่งค้อนทองคำสองอัน ดูเหมือนหนึ่งในสิบสองแม่ทัพสวรรค์แห่งพระไภษัชยคุรุ[2]
สัตว์ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกบันทึกไว้ว่ามีอยู่ในตำนานพุทธศาสนา เป็นสัตว์ที่ได้รับการตรัสรู้จากพระพุทธเจ้าแล้วจึงบรรลุการหลุดพ้นได้
ผู้พิทักษ์นกอินทรีไม่เพียงแต่มีขนาดที่สูงตระหง่านเท่านั้น แต่ยังมีอาวุธหนักอีกด้วย บนหัวมีวงแหวนทองคำอันสง่างามสวมอยู่
ภายใต้หน้ากากของเขา หลินจินรู้สึกว่าเปลือกตาของเขากระตุกอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นสิ่งนี้
ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถูกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือไม่ควรดูเบาวัดต้าหลัว
“ภัณฑารักษ์ เราขอให้ท่านออกจากสถานที่ของเราซะ วัดต้าหลัวจะมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้”
เจ้าอาวาสที่เดินประสานมือและโค้งคำนับกล่าว หลินจินเยาะเย้ยในใจ การถอยกลับไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป จากการโจมตีของจื่อจาง จนถึงจุดที่เจ้าอาวาสเรียกสัตว์ผู้พิทักษ์ออกมา สถานการณ์ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
พวกเขาเพียงแต่เริ่มต้นเท่านั้น เช่นเดียวกับสองประเทศก่อนเกิดสงคราม ทั้งสองฝ่ายต้องแสดงแสนยานุภาพของตนออกมา และแม้ว่าสงครามจะยังไม่เริ่มต้น แต่นี่ก็ยังคงเป็นการแข่งขันที่สำคัญพอสมควร
พวกเขากำลังแข่งขันกันเพื่อดูว่าใครมีไพ่ให้เล่นมากกว่า และใครจะเผยไต๋ออกมาก่อน
หลินจินแน่ใจว่าวัดต้าหลัวเต็มไปด้วยยอดฝีมือ หากเขาต้องประกาศสงครามกับพวกเขาเต็มรูปแบบ ลืมเรื่องช่วยวานรยักษ์ขาวไปได้เลย แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะได้ที่นี่จะเป็นที่พำนักแห่งสุดท้ายของเขาไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาแค่ข่มขู่ หลินจินก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะหยิบออกมาใช้งาน
แรงจูงใจของเขานั้นเรียบง่าย และนั่นคือการข่มขู่คู่ต่อสู้ให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเขา หากพวกเขาไม่คิดจะหยุด ก็ให้หายนะไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย นี่คือสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากโลกของเขา
“วัดต้าหลัว พวกท่านช่างเป็นพวกไม่แยแสกับธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง และกำจัดสัตว์ปีศาจทันทีที่พบเห็นสินะ
พวกท่านกล่าวว่าสิ่งนี้มีไว้เพื่อรักษาความยุติธรรมสำหรับสวรรค์ เหตุใดพวกท่านจึงเมินเฉยต่อการกระทำชั่วช้าของมนุษย์กันเล่า?
ข้าอยากจะรู้นัก สิ่งเหล่านี้จะรักษาความยุติธรรมได้อย่างไร? ในเมื่อจิตใจของพวกท่านเต็มไปด้วยอคติเยี่ยงนี้?
การบ่มเพาะเป็นเรื่องยากสำหรับสัตว์ปีศาจ แน่นอนผู้ที่ทำเช่นนั้นย่อมมีทั้งผู้ที่มีอัธยาศัยดีและเลวทรามเช่นกัน แต่พระภิกษุของวัดต้าหลัวกลับปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ ข้าล่ะไม่เข้าจะพวกท่านจริง ๆ
มันเป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่พระภิกษุนับร้อยนับพันเอาแต่ท่องบทสวดมนต์สรรเสริญพระพุทธเจ้า แต่เขาเคยบอกให้พวกท่านทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้หรือไม่!?”
หลินจินกำลังโกรธมาก ดังนั้นเขาจึงขยายเสียงของเขาให้ดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาต้าหลัว
พระภิกษุทุกคนในวัดก็ได้ยินเสียงเขา
“บังอาจ! สิ่งที่เจ้าพูดมามันเหลวไหลสิ้นดี!” เจ้าอาวาสก็โกรธเช่นกัน คำกล่าวของหลินจินเป็นการดูหมิ่นต่อสาธารณะ แล้วเขาจะอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?
พระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็จ้องไปที่หลินจินอย่างโกรธเคืองราวกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ
ในขณะเดียวกัน บางคนก็พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองมีความชอบธรรมในการเล่นงานหลินจิน
“เจ้าปีศาจร้าย! การที่เจ้าปิดหน้าและมีสัตว์ปีศาจอยู่ในอ้อมแขนของเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนดีอย่างงั้นเหรอ!?”
“ท่านเจ้าอาวาส เพียงแค่ออกคำสั่งแล้วเราจะกวาดล้างคนร้ายนี้เพื่อทวงคืนความสงบสุขให้กับวัดของเรา”
พระภิกษุที่เดือดดาลดูเหมือนจะไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
ทันใดนั้น หลินจินก็หยิบเครื่องรางออกมา
มันเป็น 'เครื่องรางของนิกายเมฆา' ที่หลินจนิเขียนเมื่อเช้านี้ที่เมืองหอคอยเมฆา
ก่อนหน้านี้หลินจินเคยใช้เครื่องรางขุนเขาสวรรค์เพื่อปราบราชางูเห่าตะวันตก คราวนี้หลินจินได้เขียนเครื่องรางเทพอัคคี
หลินจินได้เรียนรู้เครื่องรางแห่งธาตุทั้งห้าจากหวู่เฉียน ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าของนิกายเมฆาในตอนที่เขาอยู่ในเมืองหลวงรอบก่อน
ถึงกระนั้น คำว่า 'เรียนรู้' อาจจะไม่เหมาะสมในกรณีนี้ เนื่องจากความเข้าใจของหวู่เฉียน และระดับการค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องรางแห่งธาตุทั้งห้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับของหลินจินได้ ผู้เฒ่าเพิ่งแค่เกริ่นนำเขาในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
ในตอนนั้นเครื่องรางขุนเขาสวรรค์ถูกใช้เพื่อปิดผนึกสัตว์ร้ายไว้ใต้ภูเขา วันนี้หลินจินกำลังจะใช้เครื่องรางเทพอัคคีที่มีระดับพลังที่สูงกว่า
เขาจะอวด 'อาวุธนิวเคลียร์' ของเขา และดูว่าวัดต้าหลัวจะยังต้องการท้าทายเขาอีกหรือไม่?
เครื่องรางเทพอัคคีอยู่ในระดับที่สูงกว่าและแข็งแกร่งกว่าเครื่องรางขุนเขาสวรรค์มาก ดังนั้นหลินจินจึงไม่สามารถเปิดใช้งานด้วยตัวเขาเพียงได้ โชคดีที่เขาได้ลองฝึกซ้อมประสิทธิภาพของเครื่องรางนี้ในระหว่างทางมาที่นี่
เขาต้องการเพียงแหล่งกำเนิดเปลวไฟที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อเท่านั้นจึงจะมีโอกาสสำเร็จถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
เสี่ยวฮั่วจะไม่สามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหันไปทางโกลดี้ เพื่อขอความช่วยเหลือจากมันเท่านั้น
“โกลดี้ ถึงตาแกออกโรงแล้ว!” หลินจินเรียกเจ้าไก่
โกลดี้ส่งเสียงร้องทันที มันกางปีกทะยานขึ้นไปเหนือวัดต้าหลัว หลินจินโยนเครื่องรางขึ้นและเรียกคาถาเพื่อเปิดใช้งาน
“จงสำแดงฤทธิ์เดช เครื่องรางเทพอัคคี!”
เครื่องรางเทพอัคคียิงขึ้นมาและติดเข้ากับโกลดี้ ราวกับว่าน้ำมันเบนซินถูกเทลงบนร่างนกไฟของโกลดี้ เปลวไฟบนร่างกายของเขาก็เริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง
ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ราวกับว่าดวงอาทิตย์ตกจากท้องฟ้า ก้อนไฟขนาดใหญ่ก็ลอยอยู่เหนือวัดต้าหลัว แม้ในระยะนี้ พระภิกษุเบื้องล่างก็พบว่าความร้อนที่แผดเผานั้นแทบทนไม่ไหว ในทางกลับกัน ผู้แสวงบุญและผู้นับถือศรัทธาต่างพากันหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว
คนที่ไม่เข้าใจปรากฏการณ์ประหลาดนี้ก็แค่ตะโกนทั้งน้ำตา
“เป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์! พระอาทิตย์กำลังจะร่วงหล่นลงมาแล้ว!”
วัดต้าหลัวทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหลอย่างสมบูรณ์ พวกพระภิกษุที่กำลังนั่งสมาธิหรือสวดมนต์อยู่ก็เริ่มตื่นตระหนก แม้แต่คนที่เข้าสู่ความสันโดษก็ยังเสียสมาธิเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
พระภิกษุผู้เจริญวิปัสสนามาอย่างชำนาญ แม้จะมีมีดจ่อที่คอ พวกเขาก็ยังสามารถรักษาความสงบได้
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าระดับการฝึกฝนของพวกเขาจะกล้าแกร่งมากเพียงใด พวกเขาก็ยังหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงเบื้องหน้าของพวกเขา
ไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญามากนักในการคิดว่าหากลูกไฟขนาดใหญ่ตกลงมา วัดต้าหลัวกับมรดกที่มีมายาวนานนับพันปี จะถูกทำลายจนย่อยยับ
บางทีพระภิกษุที่มีระดับพลังสูงกว่าอาจจะรอดจากหายนะนี้ได้ แต่วัดคงจะเหลือแต่เศษซากอย่างแน่นอน
ดังนั้น เมื่อเห็นทักษะขั้นสูงสุดของภัณฑารักษ์ เจ้าอาวาสผู้ดื้อรั้นก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป
“ภัณฑารักษ์ ได้โปรดหยุดก่อน!”
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เรามาพูดจากันดี ๆ อย่างผู้มีอารยะกันเถอะนะ!”
ไม่ใช่แค่เจ้าอาวาสเท่านั้น แต่พระภิกษุคนอื่น ๆ ที่ต้องการจะบุกโจมตีหลินจิน ก็ยังยอมจำนนต่อการข่มขู่ของเขา แม้ว่าพวกเขาจะอดใจไม่ไหวที่จะฉีกภัณฑารักษ์นี้เป็นชิ้น ๆ ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่มีความกล้าหาญขนาดนั้น
หากหลินจินปล่อยลูกไฟยักษ์ลง วัดต้าหลัวก็จะถูกทำลายเป็นจุณ
แน่นอนว่าหลินจินจะไม่ทำลายวัดต้าหลัวจริง ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เขาได้พิจารณาเรื่องนี้มาก่อนแล้วจริง ๆ เขาคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับชางเอ๋อร์และวานรขาว วัดต้าหลัวจะต้องทนทุกข์จากความโกรธเกรี้ยวของเครื่องรางเทพอัคคีของเขาอย่างแน่นอน
ตอนนี้ชางเอ๋อร์กำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของเธอ ถ้าหลินจินสามารถรับประกันได้ว่าวานรยักษ์ขาวยังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะหยุดมือและวัดของพวกเขาก็จะไม่เสียหาย
ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเครื่องรางเทพอัคคีถูกปล่อยออกมา ทั้งเขาและวัดต้าหลัวจะไม่หยุดสู้จนกว่าอีกฝ่ายจะตายจากกัน
นี่เป็นทางเลือกสุดท้าย และถึงอย่างนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่หลินจินไม่พร้อมที่จะทำ
พระภิกษุอื่น ๆ อยู่นิ่ง ๆ เพื่อเฝ้ารอคำสั่งจากเจ้าอาวาส ทางด้านเจ้าอาวาสเขากำลังคิดหาทางออกอย่างกระวนกระวายใจ แม้ว่าเขาจะเกลียดชังหลินจินจนสุดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ภัณฑารักษ์มีพลังเกินกว่าเขาจะโค่นลงได้
ตั้งแต่เขาปรากฏตัวมาจนถึงตอนนี้ เขาได้ลงมือเพียงสามครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกเป็นการทักทายด้วยการข่มเหงสัตว์วิเศษทั้งปวงที่เตร่อยู่ในวัดของตน
ครั้งที่สองคือตอนที่เขาจัดการกับจื่อจาง ชายคนนั้นเพียงแค่ยกนิ้วขึ้นเพื่อลบล้างคัมภีร์จ้าวอสูรของจื่อจาง
ครั้งที่สามคือตอนที่เขาเสกลูกไฟขนาดยักษ์ที่กำลังลอยอยู่เหนือหัวพวกเขา
หากพวกเขาทำผิดพลาดแม้แต่น้อย วันนี้อาจเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดที่วัดต้าหลัวเคยเผชิญมาในรอบพันปี!
[1] ลูกประคำมาลา คือลูกประคำแบบเดียวที่พบในตอนก่อนหน้านี้ ของสิ่งนี้ถูกพบบ่อยในพุทธศาสนา แต่ก็พบได้ในศาสนาอื่นด้วย
[2] เป็นหนึ่งในพระพุทธเจ้าตามความเชื่อในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน นิกายวัชรยาน หรือพุทธตันตระ พระนามของท่านหมายถึงพระตถาคตเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค