Chapter 16: พันตรี
พันตรี!
มีคนเพียงคนเดียวที่ใช้คำนำหน้าชื่อเช่นนี้และมีการติดต่อกับอีแร้ง น่าจะสายลับจากกลุ่มกบฏ ฉินหรานมองหน้าจอโทรศัพท์ หรี่ตาเพื่อปรับสายตากับความสว่างของจอภาพ เขาอยากจะปฏิเสธสายเรียกเข้า เขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มกบฏและสงครามเมือง เขารู้ดีมากว่าการฆ่าอีแร้งก็เท่ากับเขาเพิ่งตกลงเป็นฝ่ายต่อต้านกบฏ หากเกิดอะไรผิดพลาดเพียงนิด ก็จะจบลงที่การรบกัน
ฉินหรานไม่สามารถนิ่งนอนใจได้เพียงเพราะเขาจัดการกับอีแร้งได้อย่างง่ายดาย เขาทำตามเป้าหมายนี้ได้สำเร็จเพราะว่าศัตรูประมาทและเขามีสกิลที่แข็งแกร่ง
ตั้งแต่ต้น อีแร้งไม่ได้เห็นเขาเป็นตัวอันตราย ฉินหรานใช้เรื่องนี้ฉวยโอกาสปลิดชีวิตมัน แต่เรื่องก็จะต่างออกไปเมื่อมีกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง กองทัพมีระเบียบวินัยเข้มงวดย่อมไม่ทำผิดพลาดแบบโจรระดับล่างพวกนี้ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับทั้งกองทัพที่มีอุปกรณ์ที่ดีกว่ารวมทั้งมีจำนวนคนมากกว่ามาก อีกอย่าง เขามีแค่คอลลีนที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน สถานการณ์แบบนั้นมันสิ้นหวังเกินไป
เขากำลังจะปฏิเสธสายเรียกเข้าอยู่แล้ว แต่นิ้วของเขาก็ชะงักไปเสียก่อน เขานึกถึงเหตุผลที่เข้าเล่นเกมนี้ ก็เพื่อเก็บเงินให้พอเข้ารับการรักษาโรค เขามีเวลาเก็บรวบรวมเงินเหลืออีกราว ๆ หนึ่งปีก่อนที่จะตาย มันไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนักต่อให้เป็นเวลาในเกมก็ตาม เขาจำเป็นต้องคว้าทุกโอกาสที่จะพาเขาเข้าใกล้จุดมุ่งหมาย เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยเพื่อที่จะมีความก้าวหน้ามากขึ้นในเกม โอกาสหนึ่งนั้นมาปรากฏต่อหน้าฉินหราน ก็คือคนที่รออยู่อีกปลายสาย พันตรีแห่งกองกำลังกบฏ
การสังหารหัวหน้ากลุ่มโจรคนหนึ่งกับหัวหน้ากองกำลังกบฏนั้นเป็นสองเรื่องที่ต่างกัน การระดับการประเมินที่ได้หลังจบดันเจี้ยนย่อมต่างกันแน่นอน
แม้ว่านี่จะเป็นการเล่นเกมแนวฝ่าดันเจี้ยน (dungeon-base) ครั้งแรกของเขา เขาก็รู้ว่าถ้าเขาสามารถสังหารหัวหน้ากองกำลังกบฏได้ ระดับการประเมินหลังจบเกมของเขาต้องสูงขึ้นมาก
เขาขมวดคิ้วอย่างลังเล รางวัลอาจจะใหญ่ แต่กระบวนการก็อาจจะคร่าชีวิตเขาได้ ถ้าเขาตายในเกม เขาก็อาจจะตายในชีวิตจริงด้วย ความมีเหตุมีผลของเขาบอกให้เขากดวางสาย แต่ลึกลงไปในใจ เขาไม่อยากขว้างโอกาสนี้ทิ้งไป
เขาถามตัวเอง "ถ้าฉันปล่อยโอกาสครั้งนี้หลุดไป ใครจะรู้ว่าโอกาสครั้งหน้าจะมาอีกเมื่อไหร่?" ถึงอย่างไรมันก็ต้องมีโอกาสครั้งที่สองอยู่แล้ว แต่ว่าความขลาดกลัวก็อาจจะทำให้เขาทิ้งมันอีก เขาจะมัวหนีไม่ได้ เขามีเวลาให้เสียไปอีกไม่มาก เวลาของเขาจำกัดที่หนึ่งปี
"ยังไงฉันก็ต้องตายอยู่แล้วถ้าเก็บเงินได้ไม่ครบในหนึ่งปี... งั้นทำไมไม่เป็นตอนนี้เลยล่ะ ทำได้ หรือไม่ก็ตายซะ!" เขากัดฟันและกดรับสายโทรศัพท์
"ฉันหวังว่ามันจะคุ้มกับการรอนะ! มีข่าวดีอะไรว่ามา!" เสียงเรียบเย็นไร้ชีวิตดังมาจากอีกปลายสาย ฉินหรานคิดภาพของนายทหารผู้เยือกเย็นคนหนึ่งกำลังพูดโทรศัพท์ "แกรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแกไม่ส่งของใช่ไหม?" เสียงนั่นพูดขึ้นมาก่อนที่ฉินหรานจะทันได้พูดอะไร น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์แต่ให้ความรู้สึกคุกคามเหมือนสิงโตที่กำลังขยับเข้าใกล้สุนัขจิ้งจอก ถ้านี่เป็นท่าทีของชายคนนี้ทุกครั้งที่พวกเขาติดต่อกัน อย่างนั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่าแสดงว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน มันเหมือนอีแร้งเป็นลูกน้องของคนผู้นี้ บางที ตำแหน่งของอีแร้งตอนก่อนเกิดสงครามจะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แบบนี้ฟังดูมีเหตุผลมากกว่า ถ้านายทหารระดับพันตรีกับหัวหน้ากลุ่มโจรมีการติดต่อสื่อสารแบบคนระดับเดียวกัน อย่างนั้นคงต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน แต่ถ้าอีแร้งเป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่ง อีแร้งน่าจะต้องเตรียมอะไรที่มากกว่าแค่ผู้หญิงให้กองกำลังกบฏ
"มีค่าพอที่จะรอ? ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้หญิงที่พวกมันไล่จับมา น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า!" ฉินหรานคิด เขามองไปทางผู้หญิงที่ถูกมัดมืดมัดปากอยู่บนเตียง เธอย่อมไม่ใช่สินค้าที่พวกเขากำลังพูดถึง เขาย่นคิ้วเล็กน้อย ยังคงพยายามคาดเดาความตั้งใจของผู้ชายในสาย
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาในสมอง เขาจำคำแนะนำของเกมได้: "สงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่มีใครทันได้เตรียมตัวเผชิญหน้ากับสงคราม!"
ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างไม่มีวี่แวว จะมีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่จะเอาสมบัติติดตัวไปด้วยได้?
คำตอบคือ ไม่มี
พวกเขาต้องโชคดีสุด ๆ แล้วที่มีชีวิตรอดผ่านสงครามได้ อย่าได้คิดจะเอาสมบัติพัสถานไปด้วยเลย คนคนหนึ่งไม่สามารถร้องขออะไรมากไปกว่าขอให้รอดชีวิตในช่วงเวลาอันเลวร้ายแบบนี้ แต่ตรงหน้าฉินหราน มีข้อยกเว้นหนึ่ง
พันตรีคนนี้มีตำแหน่งหน้าที่ อำนาจ และผู้ใต้บังคับบัญชา และมันก็มากเกินพอให้เขาได้สิ่งที่ผู้อื่นไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง ฉินหรานมองเห็นแค่ส่วนหนึ่งของภาพรวม แต่เขาก็มุทะลุพอที่จะเดินตามแผนการที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัว
"คุณถามหาอีแร้งเหรอ?" เขาถามนายทหาร "โอ้ ขอโทษทีนะ ผมคิดว่าคุณต้องไปหาที่อื่นแล้วแหละ ตอนนี้ผมคุมที่นี่ ตั้งแต่นี้ไปทุกอย่างอยู่ใต้อาณัติของผมแล้ว" ฉินหรานพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวด แกล้งทำตัวเป็นโจรคนหนึ่งที่เพิ่งได้ 'เลื่อนตำแหน่ง' และเข้าครอบครองฐานที่มั่นของอีแร้งได้
ผู้ชายคนนั้นเงียบไป ผ่านไปสามวินาที เขาถึงได้ตอบกลับมา "ฉันไม่สนว่าแกเป็นใคร แต่ถ้าแกคิดว่าชีวิตของแกมีค่า ทางที่ดีแกก็ส่งของที่อีแร้งตกลงกับฉันไว้มา" เสียงของเขายังแข็งทื่ออย่างกับเสียงหุ่นยนต์ ต่อให้เขารู้แล้วว่าตอนนี้กำลังพูดอยู่กับคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนน้ำเสียงแต่อย่างใด
"คุณขู่ผมเหรอ?" ฉินหรานตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับก่อนหน้า
"อย่าลืมว่าอาหารที่แกกิน น้ำที่แกดื่มล้วนได้จากฉัน" ผู้ชายคนนั้นตอบ ฉินหรานทำเป็นเงียบ และไม่ตอบอะไรอีก เขาอยากทำตัวเหมือนเป็นหัวหน้าที่เพิ่งรับตำแหน่งที่ลำพองใจในตำแหน่งใหม่นี้ แต่คำพูดของผู้ชายคนนั้นไม่ปล่อยให้เขาได้ภูมิใจในสถานะใหม่ที่เพิ่งได้รับมาเลย หากไม่มีเสบียงที่พันตรีจัดเตรียมให้ ก็ไม่มีใครควบคุมและสั่งการโจรพวกนี้ได้
ฉินหรานบอกไม่ได้ว่าการแสดงของเขาสมบูรณ์แบบหรือเปล่า แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่เขาจะรับมือกับสถานการณ์ได้ เขาจำเป็นต้องทำให้ผู้ชายคนนี้เชื่อว่าเขายังอยู่ในการควบคุม เพื่อที่คนผู้นี้จะยังส่งผ่านทุกอย่างที่อีแร้งเคยได้ให้เขาด้วย เขาไม่ต้องการให้กองกำลังกบฏเข้ามาทำลายฐานที่มั่นภายใต้การดูแลของเขา
"ทีนี้แกคงเข้าใจสถานะของกแล้วนะ?" นายทหารถามเยาะ ๆ
"ได้ ได้ คุณคือเจ้านาย ผมจะส่งสิ่งที่อีแร้งเตรียมไว้ให้ ก็แค่พวกผู้หญิง ผมก็มีคนหนึ่งในห้องเนี่ย" ฉินหรานตอบด้วยความตั้งใจที่จะล้วงความลับ
"ผู้หญิง?" พันตรีแค่นเสียงก่อนจะพูดต่อ "ที่ฉันต้องการคืออัญมณีและรูปภาพ... ในเมื่อแกอยู่ในห้องของอีแร้ง แกก็ควรจะได้เห็นพวกมัน ฉันจะส่งคนเข้าไปเอาพรุ่งนี้เช้าและจะเอาเสบียงเข้าไปให้แกเพิ่ม" เมื่อพูดจบ เขาก็วางสายโทรศัพท์ทันที
"อย่างที่คิดเลย!" ฉินหรานพูดในขณะมองที่โทรศัพท์ มันไม่เคยเป็นเรื่องผู้หญิง สิ่งที่พวกมันแลกเปลี่ยนกันที่จริงแล้วคือทรัพย์สมบัติที่อีแร้งปล้นมาจากในเมือง ฉินหรานมองเข้าไปในห้องอีกครั้ง ที่อีกด้านของเตียงมีตู้เก็บของขนาดใหญ่สองหลัง พวกมันคือที่ที่เดียวในห้องที่สามารถเก็บของไว้ได้
ส่วนกรงเหล็กที่อีกด้านของห้องนะเหรอ? ฉินหรานเข้าใจดีเลยว่ามันมีไว้เพื่ออะไร เขากลับไปที่ผู้หญิงที่ถูกมัดไว้อีกครั้ง
"ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ ผมจะเอาผ้ามัดปากออกให้ แต่คุณต้องรับปากผมว่าจะไม่กรี๊ดหรือทำเสียงใด ๆ แม้ว่าอีแร้งจะตายไปแล้ว แต่ยังมีผู้ชายอีกหลายคนที่ข้างนอกนั่น ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็พยักหน้า" หลังจากเขาพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้า
"ดีมาก"
.
.
.
.