Chapter 493 ลู่เชียนเชียน ดูแลตัวเองด้วย.
หลังจากได้รับอาวุธจิตวิญญาณ เหล่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งเริ่มทำพันธะสัญญากับอาวุธในทันที.
ด้วยอาวุธที่พิเศษเหล่านี้ มันจะกลายเป็นของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ เพราะว่าด้วยการมีจิตวิญญาณที่มีอยู่คนที่ไม่ใช่เจ้าของ ก็จะไม่สามารถใช้งานได้.
กระบี่หานเฟิงและหอกผู้พิชิต ที่เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว เวลานี้กลายเป็นอาวุธจิตวิญญาณเทียมก็ยิ่งแข็งแกร่งมากกว่าเดิม!
กล่าวตามจริง อาวุธจิตวิญญาณเทียมนั้น จัดเป็นของวิเศษอย่างหนึ่ง.(ของวิเศษ ก็คือสิ่งของที่มีพลังพิเศษ เช่นแหวนมิติ.)
จุนซ่างเซียวที่มอบอาวุธจิตวิญญาณเทียมให้กับศิษย์มากมาย ก็เท่ากับมอบของวิเศษให้กับพวกเขา.
นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก.
เย่ซิงเฉินนั้นรู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!
อาวุธที่มีจิตวิญญาณเทียมด้านใน ในอดีตเขาย่อมเคยเห็น ทว่ามันคือสุดยอด ของหายาก คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักจะมอบให้ศิษย์ราวกับหัวกระหล่ำปลี!
ดินแดนเบื้องบน.
แน่นอนว่าต้องมาจากดินแดนเบื้องบน!
ฟู่ ฟู่!
ฟิ้ว ฟิ้ว---
ที่ลานฝึกฝนด้านนอกนั้น ซูเซียวโม่และศิษย์คนอื่น ๆ ที่สื่อสารกับจิตวิญญาณเทียมของตน.
พริบตานั้น ธาตุเพลิงสีแดง ธาตุวารีสีฟ้าคราม ธาตุไม้สีเขียว ธาตุดินสีน้ำตาล ธาตุโลหะสีเหลืองอร่าม คุณสมบัติของธาตุที่ฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ ทำให้ห้วงอากาศสั่นไหวเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก.
ในมุมมองของเขา อาวุธของแต่ละคนต่างก็มีพลังที่แตกต่างหลากหลาย.
ในขณะที่ศิษย์มากมายกำลังทดสอบพลังใหม่ของตัวเองอยู่นั้น!
เหออู๋ตี้ที่เสร็จสิ้นการฝึกฝนก้าวออกมาจากห้องปั้นกล้ามเนื้อ เห็นซูเซียวโม่และศิษย์คนอื่น ๆ ที่กำลังถืออาวุธที่ร้ายกาจ ดวงตาของเขาที่เบิกกว้างกลมโต “นี่....อาวุธจิตวิญญาณเทียมอย่างงั้นรึ?”
ร้ายกาจมาก
ในโลกของเขานั้น อาวุธจิตวิญญาณเทียมถือว่าเป็นอาวุธระดับสูง หากไม่ใช่ยอดฝีมือแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะมีมันได้.
อย่างไรก็ตาม ในพิภพแห่งนี้ เพียงแค่ระดับอาจารย์ยุทธ์กับมีอาวุธจิตวิญญาณเทียมแล้ว นี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!
“นี่ต้องเป็นสิ่งที่ปราชญ์จ้าวเจ็ดลึกล้ำทิ้งเอาไว้อย่างแน่นอน!”
เย่ซิงเฉินคิดว่าอาวุธนี้มาจากดินแดนเบื้องบน ส่วนเหออู๋ตี้ที่เป็นคนจากดินแดนเบื้องบน คิดว่าเป็นของที่ปราชญ์จ้าวเจ็ดทิ้งเอาไว้ ต่างคนต่างก็เข้าใจไปคนละอย่าง.
......
ฟิ้ว!
ฟิ้ว!
บนลานยุทธ์ ธาตุทั้งห้าที่ลอยฟุ้ง สีที่ต่างกันสะท้อนไปมาบนท้องฟ้าดูงดงามเป็นอย่างมาก.
ซูเซียวโม่ ลี่เฟยและศิษย์อีกหลายคนที่ใช้จิตวิญญาณเทียมเปลวเพลิง ทว่าเปลวเพลิงนั้น ส่งพลังออกมาพร้อมกับปลดปล่อยพลังระเบิดที่รุนแรงออกมา.
หลงจื่อหยางและซ่งเสวียนโจวที่ใช้จิตวิญญาณโลหะ หอกและดาบของพวกเขาที่แหลมคมสามารถตัดผ่านพลังป้องกันที่หนาได้อย่างง่ายดาย.
หยางยูฮัวที่ผสานจิตวิญญาณไม่ใช้อาวุธ ทว่ากับเป็นโล่ เพราะว่าจิตวิญญาณธาตุปฐพีหลังจากกระตุ้นแล้ว จะทำให้พลังป้องกันเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ.
ส่วนธาตุไม้และธาตุวารีนั้น เป็นธาตุที่ช่วยเสริมการต่อสู้ ดังนั้นจึงเหมาะกับสตรี.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า.
เย่ซิงเฉินที่ได้รับจิตวิญญาณธาตุวารีมา ทำให้เขาแทบพ่นโลหิตล้มลงทั้งยืน.
เห็นศิษย์ที่กำลังทดสองอาวุธอยู่ จุนซ่างเซียวก็เดินกลับไปยังห้องโถงด้วยรอยยิ้ม.
ด้วยการเปิดใช้งานฟังก์ชันรวมจิตวิญญาณ การเพิ่มพลังให้กับอาวุธของศิษย์ จะทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขายกระดับไปอีกขั้น.
อีกอย่าง อาวุธที่มาจากระบบ มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว การผสานจิตวิญญาณเข้าไป ก็ยิ่งทำให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม.
“น่าเสียดาย กระบี่หานเฟิงและหอกผู้พิชิตนั้นเป็นเพียงอาวุธระดับต้น จึงทำให้เพิ่มจิตวิญญาณได้หนึ่งขั้นเท่านั้น.”เจ้าสำนักจุนที่รู้สึกยังไม่พอใจนัก.
เขาที่เปิดฟังก์ชันหอรวมจิตวิญญาณขึ้นมา เขาที่พบว่ากระบี่หานมั่งที่เป็นอาวุธระดับกลางนั้นสามารถที่จะผสานได้สองขั้น หมายความว่าสามารถใส่จิตวิญญาณเทียมได้สองดวงอย่างงั้นรึ?
“ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธาตุเพลิงและเป็นมือกระบี่ด้วย ก็ควรจะเลือกธาตุเพลิงและธาตุโลหิตสองอันสินะ.”จุนซ่างเซียวที่กล่าวเสียงเบา.
ในเวลานั้น ลู่เชียนเชียนที่ก้าวมาจากลานด้านใน เขาที่เอ่ยออกมาว่า “เชียนเชียน นำกระบี่หานมั่งของเจ้ามา เปิ่นจั้วจะช่วยเจ้ายกระดับมัน.”
น่าเสียดายที่ไม่มีจิตวิญญาณน้ำแข็ง ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม.
ลู่เชียนเชียนที่ก้าวเข้ามา ทว่าไม่ได้นำกระบี่ออกมา นางเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนัก ศิษย์จะออกไปหาประสบการณ์ด้านนอก.”
ก่อนหน้านี้นางได้เอ่ยเรื่องนี้แล้ว แต่เพราะว่ามนทลเจิ้นหยางกำลังรุกรานจึงอยู่ในช่วงเวลาไม่ดีนัก ตอนนี้เรื่องดังกล่าวแก้ไขได้ชั่วคราว ตอนนี้นางควรจะออกไปยังจังหวัดตงเป่ยลู่ได้แล้ว.
“ตกลง.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เปิ่นจั้วอนุญาตให้เจ้าออกไปหาประสบการณ์.”
เขาย่อมไม่ห้ามศิษย์ออกไปหาประสบการณ์.
“...”
จุนซ่างเซียวเอ่ยเพิ่ม “นำกระบี่หานมั่งของเจ้าออกมา.”
ออกไปหาประสบการณ์ก็ไม่มีปัญหา ทว่าก็ควรผสานจิตวิญญาณเข้าไปในอาวุธก่อน อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ และความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น.
ลู่เชียนเชียนที่ส่งกระบี่หานมั่งออกมา.
ลู่เชียนชียนไม่ได้ปฏิเสธจิตวิญญาณเทียม ทว่านางกลับเลือกจิตวิญญาณเพลิงและจิตวิญญาณวารี.
เพราะว่าไม่มีจิตวิญญาณน้ำแข็ง ทำให้นางเลือกจิตวิญญาณวารีซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม ทว่าการที่นางเลือกจิตวิญญาณเพลิงผสานเข้าไปด้วย เรื่องนี้เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก.
วันถัดมา.
จุนซ่างเซียวที่ส่งอาวุธคืนให้ลู่เชียนเชียน พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “จะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
“วันนี้.”ลู่เชียนเชียนเอ่ย.
“เร็วเพียงนี้เลยรึ?”
จุนซ่างเซียวที่ครุ่นคิดเล็กน้อยและพยักหน้ารับ.
......
สำนักไท่กู่เจิ้ง ประตูด้านนอก.
หลงจื่อหยางและเซียวจุ้ยจื่อตลอดจนศิษย์อีกหลายคนที่มาส่งนางด้วยตัวเอง.
แม้นว่าลู่เชียนเชียนจะเต็มไปด้วยความเย็นชา ทว่านางก็คือศิษย์คนโตของสำนักไท่กู่เจิ้ง แน่นอนว่าย่อมเป็นที่เคารพของทุกคน.
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่!”
หลิวหว่านซีที่ร้องไห้เอ่ยออกมาว่า “ดูแลตัวเองด้วย!”
ตอนแรกนั้นนางรู้สึกหวาดกลัวลู่เชียนเชียนเป็นอย่างมาก ต้องไม่ลืมว่านางที่ถูกกระบี่จ่อคอเอาไว้เมื่อครั้งเข้ามาสำนักครั้งแรก.
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เป็นศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว มีเรื่องใดที่ไม่เข้าใจในวิถียุทธ์ ศิษย์พี่หญิงใหญ่จะคอยชี้แนะนางตลอด แม้ว่าจะเอ่ยด้วยคำพูดที่เหน็บแนม ทว่ากับชี้จุดอ่อนให้กับนางเห็น ทำให้นางได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมาก.
ด้วยการรู้จักเป็นเวลานาน หลิวหว่านซีที่ตระหนักได้ว่า ศิษย์พี่หญิงใหญ่แม้นว่าจะเย็นชา แต่กลับเป็นคนที่ใจดีคนหนึ่ง.
หลิงหยวนเสวี๋ยและศิษย์หญิงคนอื่น ๆ ที่จ้องมองศิษย์หญิงใหญ่ลงเข้าไป ด้วยแววตาใจหายเล็กน้อย.
“ศิษย์พี่รอง.”
ซูเซียวโม่ “เจ้าสำนักล่ะ?”
หลี่ชิงหยางที่ส่ายหน้าไปมา เอ่ยออกมาว่า “ข้าเองก็ไม่รู้.”
จุนซ่างเซียวไม่ได้ออกมาส่งศิษย์หญิงใหญ่ ทว่าเขานั่งอยู่บนหลังคาห้องโถง ภายในใจที่ครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมา.
“ข้าจะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.”
นั่นคือคำพูดที่ลู่เชียนเชียนเอ่ยกลับเขาครั้งแรก.
ในเวลานั้น เจ้าสำนักจุนที่เพิ่งมาจากต่างโลก อยู่ในสภาพอัตคัด และได้รับอาหารจากป้าหวังเพื่อปะทังชีวิต ไม่ต้องบอกว่าเขาอยู่ในสภาพอนาถขนาดใหน.
“เจ้านะรึ? เจ้าสำนัก?”
“ข้าขอถอนตัวจากสำนัก.”
ด้วยท่าทางของลู่เชียนเชียนเวลานั้น จุนซ่างเซียวที่ชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อรั้งให้นางอยู่ต่อ.
หลังจากนั้น พวกเขาทั้งคู่ก็เดินทางไปยังงานรับศิษย์ร้อยสำนักที่เมืองชิงหยางด้วยกัน ถึงนางจะเป็นศิษย์ หากแต่คำพูดคำจาของนางกับร้ายกาจเป็นอย่างมาก ทิ่มแทงเขาครั้งแล้วครั้งเล่า.
“มารดาเถอะ.”
จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมา สลัดความคิดทั้งหมดออกไป “ไม่ได้ลาออกไปซะหน่อย ทำใมต้องใจหายด้วย.”
เขาที่ยืนขึ้น จ้องมองไปยังร่างของนางที่ค่อย ๆ หายไปลับตา เขาที่ส่งเสียงผ่านวิญญาณออกไป “ลู่เชียนเชียน จำคำพูดของเปิ่นจั้วเอาไว้ เจ้าคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักไท่กู่เจิ้งตลอดไป!”
ลู่เชียนเชียนที่กำลังลงเขา ทว่ากับไม่ได้ตอบสนองอะไร.
“หากพบเข้ากับปัญหาด้านนอก อย่าได้เสียเวลา เร่งรีบขอกำลังเสริมจากสำนักทันที เปิ่นจั้วและศิษย์น้องของเจ้า จะยืนอยู่ข้างหลังสนับสนุนเจ้าเสมอ!”
จุนซ่างเซียวที่ส่งเสียงผ่านวิญญาณเอ่ยกล่าวกับนาง.
ลู่เชียนเชียนที่หยุดที่เชิงเขา จ้องมองขึ้นไปยังประตูสำนัก เหล่าศิษย์น้องที่โบกมือ พร้อมกับเผยยิ้มร่ำลานาง.
ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งนางถูกไล่ออกจากนิกาย ไม่มีใครปลอบใจ ไม่มีใครเห็นใจนางเลย.
ตอนนี้ นางออกไปหาประสบการณ์ ที่ไม่รู้ว่าจะนานเท่าใด ไม่รู้จะได้กลับหรือไม่? เหล่าศิษย์น้องของนางกับมายืนส่งนาง ทำให้นางแทบไม่อยากจากไป.
ในเวลานี้ จิตใจของนางที่สั่นไหวเป็นระลอกคลื่น.
“ต้องการที่จะมีจิตใจใสเหมือนแม่น้ำ เป็นเรื่องยากนัก....”แววตาของนางที่เต็มไปด้วยความขมขื่น ก่อนที่จะหันหน้าจากไปไม่หันกลับมา.
วันนี้ ศิษย์หญิงใหญ่ของสำนักไท่กู่เจิ้ง ได้ลงเขา ออกไปหาประสบการณ์ ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่.