Chapter 490 หนึ่งฝ่ามือปลุกฉินเห่าหราน.
เมืองเจิ้นหยาง มนทลเจิ้นหยาง ภายในตำหนักที่ใหญ่โตและมีสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน.
ที่นี่คือที่พักของผู้พิทักษ์มนทล จะเรียกที่นี่เป็นวังหลวงก็ว่าได้.
เห็นจากที่พักอาศัยที่ใหญ่โตโอ่อ่า เห็นได้ชัดเจนว่าผู้พิทักษ์มนทลเจิ้นหยางนั้นมีความทะเยอทะยานขนาดใหน ที่พักของเขาเวลานี้ไม่ได้ด้อยกว่าที่พักของราชาเลย.
ราวกับว่าเขาไม่ได้พอใจแค่ผู้พิทักษ์มนทล.
ในเวลานี้ภายในห้องโถงที่หรูหรา มีชายวัยกลางคนที่มีอายุ 30-40 ปี นั่งอยู่บนบัลลังก์.
โจวเฉาชุน ผู้พิทักษ์มนทลเจิ้นหยาง.
ใบหน้าที่ไว้เคราแหลมสองข้าง ดูบ้าคลั่ง แววตาที่เป็นประกายราวกับพยัคฆ์ร้าย ร่างกายแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมาตลอดเวลา.
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเพียงแค่ภาพลักษณ์ของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานแล้ว.
ทว่าที่ด้านล่างนั้น มีเหล่าแม่ทัพและกุนซือที่กำลังก้มหน้า หัวใจกำลังสั่นไปมา.
บรรยากาศในห้องโถงที่ดูอึมครึมเป็นอย่างมาก.
ในเวลานี้ ศีรษะของไป่รุ่ยหู่ที่วางไว้ในกล่องวางอยู่กลางห้อง.
“แก๊ก!”
โจวเฉาชุนที่ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ เอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ทัพสามแสนคน ไม่เพียงไม่สามารถยึดเมืองชิงหยาง ยังถูกจับ แม้แต่ศีรษะยังถูกกุดอีก!”
ผู้พิทักษ์มนทลที่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก.
ต้องไม่ลืมว่า กองกำลังพยัคฆ์ขาวเป็นหนึ่งในสี่ทัพใหญ่ ตอนนี้ถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว.
“ผู้พิทักษ์!”
แม่ทัพที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อยกมือประสานเอ่ยออกมาว่า “แม่ทัพผู้นี้ยินดีนำกองกำลังเต่าดำ ไปทำลายล้างมนทลชิงหยาง และนำศีรษะของเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งกลับมาให้!”
“กองกำลังมังกรเขียวยินดีรับหน้าที่ครั้งนี้!”
“กองกำลังหงส์แดงของข้าขอนำทัพออกไปเอง!”
กองกำลังพยัคฆ์ขาวที่ถูกทำลาย ไม่เพียงแค่ผู้พิทักษ์มนทลโกรธเกรี้ยว อีกสามกองกำลังก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากเช่นกัน.
สามกองกำลังรวมกัน อย่างน้อยก็มีทหารกว่าล้านคน หากเข้าโจมตีเมืองชิงหยางพร้อมกัน แน่นอนว่าเจ้าสำนักจุนคงลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย.
แม้นว่าโจวเฉาชุนจะโกรธเกรี้ยวจนหนวดกระตุก ทว่าเขาก็ยังคงข่มใจให้สุขุมลงได้ “เวลานี้มนทลเจิ้นหยางของพวกเราต้องรับศึกหลายด้าน มีหลากหลายมนทลใหญ่ที่ไม่พอใจพวกเรา ไม่สามารถที่จะใช้ทัพขนาดใหญ่เพื่อเข้าโจมตีดินแดนเล็ก ๆ นั่นได้.”
สำนักไท่กู่เจิ้งปกป้องเมืองชิงหยาง ทำลายกองกำลังพยัคฆ์ขาวของเขาจนสิ้น แม้แต่ส่งศีรษะของแม่ทัพกลับมา เห็นชัดเจนว่านี่เป็นการเตือน.
ศัตรูของเขาหากมีเพียงสำนักไท่กู่เจิ้ง แน่นอนว่าโจวเฉาชุนย่อมไม่ต้องคิดอะไรมาก.
ทว่าตอนนี้ หลากหลายดินแดน ต่างก็จับจ้องมองมายังมนทลเจิ้นหยางแล้ว ทำให้เขาต้องคิดใคร่ครวญให้ดี.
อีกอย่าง กองกำลังพยัคฆ์ขาวที่ถูกจัดการไปทั้งหมด นั่นก็แสดงว่าสำนักไท่กุ่เจิ้ง มีความแข็งแกร่งเช่นกัน การยกทัพเข้าปะทะต้องเสียหาย ไม่น้อยก็มาก.
อีกอย่างหนึ่งเป้าหมายของเขาก็คือการขยายดินแดน ดินแดนระดับเก้านั้นไม่ได้มีทรัพยากรมีค่าอะไร ไม่คุ้มค่าอย่างรุนแรงที่เขาจะต้องทุ่มกำลังเข้าโจมตี.
โจวเฉาชุนนั้นไม่ได้ดื้อรั้นไร้สมอง ที่จะแข็งขืนทำอะไรไร้ความหมาย ไม่ยอมที่จะทำเรื่องอะไรขาดทุนอย่างแน่นอน.
และสิ่งที่เขาต้องทำที่สุดเวลานี้คือจัดการดินแดนขนาดใหญ่ที่จ้องมองดินแดนของเขา หากจัดการปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ค่อยคิดว่าจะโจมตีมนทลชิงหยางอีกครั้งก็ได้.
และนี่ก็เป็นไปตามที่เจ้าสำนักจุนหวัง.
เพราะว่า ตอนนี้เขาขาดแค่เวลาเท่านั้น หากมีเวลาเพียงพอ เขาสามารถที่จะยกระดับสำนัก ที่จะมีพลังเพียงพอ ที่จะทำให้ทั่วโลกหวั่นเกรงได้!
......
“เจ้าไม่ได้ยินรึอย่างไร กองกำลังพยัคฆ์ขาว ได้นำทัพ 300,000 บุกมนทลชิงหยาง ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ไม่มีโอกาสแม้แต่เข้าไปในเมืองชิงหยางได้เลย!”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่ได้ยินได้อย่างไร นอกจากนี้ข้ายังรู้ด้วยว่า แม่ทัพที่นำทัพไปนั้นคือแม่ทัพไป๋รุ่ยหู่ ตอนนี้ถูกกุดศีรษะแล้วส่งคืนมนทลเจิ้นหยางด้วย!”
“โอ้วสวรรค์ หนึ่งในสิบแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของจังหวัดซีเหนียนหยาง คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกกุดหัวที่เมืองชิงหยาง!”
เรื่องที่น่าตื่นตะลึงนี้ได้กระจายไปทั่วจังหวัดซีเหนียนหยางอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก!
โดยเฉพาะเรื่องที่พวกเขารู้ว่ามาอีกว่า คนที่รับผิดชอบปกป้องเมืองชิงหยางนั้น เป็นสำนักไท่กู่เจิ้ง แววตาของทุกคนยิ่งเผยความไม่อยากเชื่อออกมาอีก!
พวกเขาที่ได้ยินเกี่ยวกับสนามประลองแห่งความตายมาก่อน ในเวลานั้นก็ทำให้พวกเขาตื่นตกใจแล้ว เวลานี้สำนักไท่กู่เจิ้งที่เข้าร่วมสงครามฆราวาสอีก แม้แต่ทำลายกองกำลังพยัคฆ์ขาวจนย่อยยับ ทำให้กลายเป็นที่พูดคุยของผู้คนอีกครั้ง.
ไม่ว่าจะเป็นใคร ตระกูลใหญ่ที่ใหนต่างก็พูดคุยเรื่องเดียวกัน.
แม้แต่เรื่องต่าง ๆ ที่อื้อฉาว ทั้งเรื่องพ่อบ้านและภรรยาน้อยประมุข ที่เป็นชู้กัน ยังถูกกลบด้วยข่าวสำนักไท่กู่เจิ้ง.
ที่น่าตื่นเต้นที่สุด คงจะเป็นเจ้าเมืองอีกเจ็ดเมืองของมนทลชิงหยาง เมื่อได้รับข่าว พวกเขาถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที.
เมืองชิงหยางคือเมืองหลักของมนทลแห่งนี้ ได้รับการปกป้องจากสำนักไท่กู่เจิ้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหายนะครั้งนี้ได้ถูกปัดเป่าไปแล้ว.
มนทลเจิ้นหยางดินแดนระดับหก.
พวกเขาไม่ได้ไร้เทียมทานอีกต่อไป!
ข่าวชัยชนะของมนทลชิงหยาง เวลานี้ทำให้ประชาชนทุกคนได้ออกมากระจายข่าวไปทั่ว แม้แต่ออกมาตีฆ้องประกาศฉลองชัยครั้งใหญ่เลยทีเดียว.
ผู้คนมากมายถึงกับคุกเข่าคำนับไปยังทิศทางของเทือกเขาไท่กู่กันมากมาย.
หากมนทลชิงหยางตกอยู่ในมือศัตรู ไม่ต้องบอกเลยว่าพวกเขาจะต้องกลายเป็นทาส ด้วยการที่สำนักไท่กู่เจิ้ง เจ้าสำนักจุนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อพวกเขา ทำให้ประชาชนทั้งหมดเต็มไปด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง.
หากว่าว่ามีรูปปั้นจุนซ่างเซียวตั้งขึ้น คงจะมีคนมากมายมาจุดธูปเพื่อคารวะขอพรเป็นแน่.
......
ห้องโถงสำนักเห่าฉี.
หลังจากฉินเห่าหรานได้รับข่าว เขาถึงกับทำลายจดหมาย นั่งงงงวยไปชั่วขณะ ผ่านไปนานถึงจะกลับคืนสู่ความเป็นจริง.
สำนักไท่กู่เจิ้ง ต้านทัพ 300,000 คนได้อย่างงั้นรึ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร!
หากไม่เพราะว่าเขาได้ตรวจสอบข่าวหลายครั้งแล้ว ผู้นำฉินคงคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่!
มนทลเจิ้นหยางบุกมนทลเหอหยางและฮวยหยาง เขาก็ได้รับข่าว เวลานั้นเขาได้ปรึกษากับเหล่าพันธมิตรท้ายที่สุดก็สรุปว่าพวกเขาจะเก็บตัว ทำให้กลายเป็นที่จับจ้องของทุกคนทั่วมนทลชิงหยาง.
จากนั้นสำนักเห่าฉีและพันธมิตรได้ปิดประตูสำนัก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจของปุถุชน.
เมื่อมนทลชิงหยางมีอันตราย พวกเขาก็ปิดประตูสำนัก วางตัวเป็นกลางเช่นนี้ ทำให้พวกเขาโดนดูถูกอย่างหนัก.
และที่หนักยิ่งกว่านั้นก็เพราะจุนซ่างเซียวได้นำศิษย์ออกมาปกป้องเมืองชิงหยาง ต้านทัพของมนทลเจิ้นหยาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขานั้นเหมือนกับถูกตบหน้าอย่างรุนแรง.
เสียงของฝ่ามือนี้ดังลั่น หากแต่ฉินเห่าหรานก็ยังคงแกล้งหลับไม่ยอมตื่น.
ท้ายที่สุดเขาก็ตระหนักได้ในที่สุด ตัวตนของสำนักไท่กู่เจิ้งนั้น ทำให้พันธมิตรของเขาตกต่ำลงเรื่อย ๆ!
นับตั้งแต่ท้าทายนิกายเซิ่งชวน.
การประลองแห่งความตายกับหอเทพสังหาร.
ตอนนี้ยังรับมือกับทัพใหญ่ของมนทลระดับหก.
ทุกการกระทำที่เกิดขึ้น ทำให้ฉินเห่าหรานถูกหักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า.
หากแต่พวกเขาจะทำอะไรได้.
แม้นว่าจะโต้กลับก็ทำได้เพียงแค่ฝันเท่านั้น.
ก่อนหน้านั้นสำนักไท่กู่เจิ้งต่อหน้าฉินเห่าหรานและพันธมิตร เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น.
ตอนนี้กลับกลายเป็นยักษ์ใหญ่ ที่พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามอง.
แม้แต่ไม่สามารถมองเห็นแผ่นหลังได้อีกต่อไป.
…
เมื่อเถาหยวนยอมรับจุนซ่างเซียว ทหารกองกำลังเหนือพยัคฆ์ 2472 คนก็ได้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งด้วย.
สมาชิกครบ 5000 พัน ได้กระตุ้นภารกิจสำนักขึ้น!
เมื่อเหล่าสมาชิกทำภารกิจเสร็จ ยกระดับสี่ก่อสร้าง สมาชิกสำนักก็จะเพิ่มขึ้นอีก.
สำนักไท่กู่เจิ้งเวลานี้เทียบกับนิกายระดับห้าแล้ว!
ทำไม?
เพราะว่าการเติบโตของพวกเขา เหลือเพียงสมาชิกครบหนึ่งหมื่นคน เวลานี้เจ้าสำนักก็มีระดับกษัตริย์ยุทธ์และศิษย์สิบบรรพชนยุทธ์ตลอดอาจารย์ยุทธ์หนึ่งพันก็เข้าเงื่อนไขเรียบร้อยแล้ว.
กล่าวได้ว่าเหลือเพียงสมาชิกเพียงพอ ก็จะทำเรื่องยกระดับสำนักได้.
แน่นอนว่าการรับศิษย์นั้นไม่มีปัญหา!
เพราะว่าทหารที่เถาหยวนเคยฝึกเวลานี้ได้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว เพราะว่าจำนวนสมาชิกที่รับเข้ามาจำกัด จึงยังไม่ได้รับเข้ามาทุกคน.
ขอเพียงจุนซ่างเซียวไม่สนใจรากวิญญาณ การจะยกระดับสำนักไท่กู่เจิ้ง เป็นนิกาย ก็เป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ.