บทที่ 23: เพื่อนใหม่
บทที่ 23: เพื่อนใหม่
“ศิษย์นิกายชั้นนอก ซูฟ่าน”
ซูฟ่านมองดูเย่เสี่ยวเหยาอย่างระมัดระวัง และรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นตัวเอกได้
ด้วยรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลา แม้แต่ซูฟ่านก็ยังต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายด้อยกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในฐานะตัวเอกผู้ท้าทายสวรรค์ เขาก็ย่อมมีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ใคร
“ฮ่าฮ่า งั้นก็น้องซูสินะ”
ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเอกหยิบสิ่งประดิษฐ์ทรงกลมออกมาแล้วมอบให้ซูฟ่าน
“ในเมื่อเราได้พบกัน ไข่มุกวารีนี้ก็ถือซะว่าเป็นของขวัญจากข้าถึงเจ้า ข้าหวังว่าน้องซูจะไม่รังเกียจนะ”
ชายหนุ่มที่มีลักษณะเหมือนตัวเอกมองดูซูฟ่านอย่างมีนัยยะ ซึ่งบอกเป็นนัยอย่างชัดเจนว่าการยอมรับสิ่งประดิษฐ์นี้จะหมายถึงการที่เขาจะช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้
ซูฟ่านเพิกเฉยต่อคำพูดของชายหนุ่มที่ดูเหมือนตัวเอกและพยายามทดสอบเขาแทน
“คู่และคี่?”
“โชคลาภ?”
“แม่น้ำไหลไปทางทิศตะวันออก?”
“พระจันทร์สว่างส่องแสงลงที่หน้าต่าง?”
เย่เสี่ยวเหยารู้สึกงุนงงกับสี่ประโยคติดต่อกัน
“ศิษย์น้อง อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่ามันเล็กน้อยเกินไป” เย่เสี่ยวเหยากล่าวด้วยสีหน้าขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเย่เสี่ยวเหยา ซูฟ่านก็ค่อนข้างผิดหวังในขณะที่เขาหยิบไข่มุกวารีมาไว้ในมือ
“ข้าเข้าใจความตั้งใจของท่านแล้ว ขอบคุณสำหรับของขวัญ” ซูฟ่านตัดสินใจที่จะอยู่ให้ห่างจากตัวเอกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากการอยู่ใกล้อีกฝ่ายนั้นอาจจะนำมาทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่
โดยทั่วไปแล้ว พันธมิตรสองสามคนก็มักจะต้องตายเมื่ออยู่ใกล้ตัวเอก
ซูฟ่านจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงเช่นนั้น
“เห็นเจ้ารับของขวัญไปแบบนี้ข้าก็รู้สึกโล่งใจ”
จากนั้นเย่เสี่ยวเหยาก็ขึ้นขี่กระบี่บินที่ได้มาใหม่ และบินหายลับไปเป็นสายรุ้งยาว
“แล้วพบกันใหม่นะศิษย์น้องซู~~”
เมื่อได้ยินเสียงที่ยังคงดังก้องมาจากท้องฟ้า ซูฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แต่ข้าไม่อยากเจอโว้ย”
เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ซูฟ่านก็มองไปที่ทะเลสาบอีกครั้ง
“ข้าสงสัยจังว่ามีอะไรเหลืออีกบ้างในนั้น” ซูฟ่านตัดสินใจค้นหาอีกครั้ง
ซูฟ่านชี้มือของเขาไปที่ทะเลสาบ และปลาตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือก็กระโดดขึ้นมาจากน้ำ แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงส่องเข้าสู่ร่างกายของปลาตัวเล็ก จากนั้นก็ตามมาด้วยแสงอีกหลายดวง
ตอนนี้มันอยู่ภายใต้การควบคุมของซูฟ่านโดยสมบูรณ์แล้ว ปลาตัวเล็กว่ายกลับไปที่ทะเลสาบ
ภาพของโลกใต้น้ำปรากฏขึ้นในใจของซูฟ่านและเขาก็ควบคุมปลาตัวเล็กให้ว่ายไปทางก้นทะเลสาบ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซูฟ่านถอนหายใจและเลิกควบคุมปลาตัวเล็ก
“ให้ตายเถอะ มันเก็บกวาดซะสะอาดเลย จากสภาพนี้ พวกมันก็เอาไปแม้แต่สาหร่ายก้นบึง!”
ด้วยความรู้สึกผิดหวัง ซูฟ่านจึงเดินทางต่อไปเพื่อออกค้นหาสมบัติ
...
เมื่อเวลาผ่านไป ดินแดนลับก็เริ่มเข้าสู่ช่วงราตรี
ภายในห้องพักในกระท่อม ซูฟ่านหยิบสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้ออกมาและนับมันทีละอย่าง
“ข้ารวยแล้ว!”
ในขณะนี้ เสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น และอสูรหมาป่าหลายสิบตัวที่ซูฟ่านเลี้ยงไว้ก็เดินมาหาเขา
เมื่อเขาเปิดประตูออก ซูฟ่านก็เกือบจะตกใจเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวเรืองแสงมากกว่าสิบคู่
อสูรหมาป่าแต่ละตัวได้ลากห่อหนังที่พวกมันคาบเอาไว้ในปากมาส่งให้เขา
“ว้าว เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่เลยนะเนี่ย!”
ซูฟ่านหยิบห่อหนังสัตว์ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและเปิดมันออก
“หญ้าเกล็ดนภา ดอกไม้ไร้ราก ทองแดงม่วง ผลไม้วิญญาณและแม้แต่หินวิญญาณสองสามก้อน!”
“มีเหมืองหินวิญญาณอยู่ใกล้ๆ งั้นหรอ?” ซูฟานกล่าวอย่างตื่นเต้น
ซูฟ่านใช้เวลานานในการสอบปากคำพวกหมาป่า ซึ่งเขาก็ได้รู้ทีหลังว่ามัดหนังสัตว์นี้ถูกนำออกมาจากบนตัวศพมนุษย์
“เริ่มมีคนตายแล้วงั้นสินะ”
จากนั้นซูฟ่านก็เริ่มเปิดห่อหนังสัตว์อื่นๆ และนับของที่พวกหมาป่าปล้นมาจากคนตาย
“สิ่งเหล่านี้มีมูลค่าประมาณ 200 หินวิญญาณ ไม่เลวเลย”
เมื่อนำสิ่งของทั้งหมดมาแล้ว ซูฟ่านก็ส่งพวกมันกลับออกไปล่าสมบัติอีกครั้ง
“วันนี้ข้าจะนอนหลับฝันดีก่อนและจะจัดการกับส่วนที่เหลือในวันพรุ่งนี้”
เพื่อที่จะสร้างสิ่งประดิษฐ์ก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนลับ ซูฟ่านจึงได้ทำงานหนักอย่างไม่ลดละ
ด้านนอกกระท่อม มีวงเวทย์ปกคลุมทั่วทั้งกระท่อมเอาไว้ และหลังจากนั้นไม่นาน กระท่อมทั้งหลังก็หายลับไปจากที่เดิมอย่างเงียบๆ
...
ในตอนเช้า ซูฟ่านปรุงเนื้อไก่และทำโจ๊กข้าวและเพลิดเพลินกับมันอย่างเต็มที่ หลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน ซูฟ่านก็กลับมาถึงจุดสูงสุดพร้อมกับความหิวเล็กๆ น้อยๆ
'หวือ!'
เสียงของบางสิ่งที่ฉีกขาดดังขึ้น และแสงสีรุ้งก็ตกลงมาข้างซูฟ่าน
ซูฟ่านที่กำลังกินโจ๊กอยู่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น แค่ได้ยินเสียงเขาก็รู้แล้วว่ามันเป็นเย่เสี่ยวเหยาที่เขาเจอเมื่อวานนี้ เช่นเดียวกับเสียงรถยนต์ ผู้ฝึกตนทุกคนเองก็มีเสียงเฉพาะตัวเมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว
“ศิษย์น้องซู เป็นเจ้านี่เอง” เย่เสี่ยวเหยายิ้ม แต่สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่หม้อโจ๊กที่อยู่ข้างๆ ซูฟ่าน
ซูฟ่านวางชามข้าวของเขาลง ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า“ศิษย์พี่เย่ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ท่านก็มากินข้าวเช้าด้วยกันสิ”
ขณะที่เขาพูด ซูฟ่านก็หยิบชามออกมาจากพื้นที่เก็บของของเขาและเสิร์ฟโจ๊กส่วนหนึ่งให้กับเย่เสี่ยวเหยา
ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นเสนอหน้ามาหาเขาถึงที่แบบนี้ เขาก็คงหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว
ดวงตาของเย่เสี่ยวเหยาเป็นประกายในขณะที่เขาคว้าชามมาและเริ่มกิน
เขาค่อนข้างหิวจริงๆ นี่เป็นเพราะเขาลืมเอาอาหารติดตัวมาด้วย
“พี่เย่ ท่านนี่น่าทึ่งจริงๆ ท่านจะต้องเป็นศิษย์จากโถง A แน่เลยใช่ไหม?” ซูฟ่านถามแบบสบายๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว เขาก็แค่ต้องการที่จะดูว่าผู้ชายคนนี้เป็นตัวเอกจริงหรือไม่
“ไม่เลย ข้าเป็นศิษย์สำรองของยอดเขาหมื่นกระบี่ภายใต้การนำของผู้อาวุโสหยวนฮุ่ย” เย่เสี่ยวเหยาตอบด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเริ่มเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อมองไปที่ซูฟ่าน
“ผู้อาวุโสหยวนฮุ่ย เขาเป็นผู้ฝึกตนที่มีสายตาเฉียบแหลมและมักจะรวบรวมอัจฉริยะมาอยู่ใต้ร่มเงาของเขานี่ ศิษย์พี่เย่ อนาคตของท่านไร้ขีดจำกัดแล้วล่ะ” ซูฟ่านแสร้งทำเป็นอิจฉา
การมีอาจารย์ที่ทรงพลังแทบจะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในส่วนเสริมของตัวเอก
เมื่อมาถึงจุดนี้ รอยยิ้มของเย่เสี่ยวเหยาก็เริ่มขมขื่น และซูฟ่านก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ได้โดยทันที
“พี่เย่ ด้วยความสามารถพิเศษของท่านและการค้นพบสมบัติลับเมื่อเร็วๆ นี้ ท่านก็จะทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างแน่นอนเมื่อเรากลับไป” ซูฟ่านยังคงประจบประแจงต่อไป
“ข้าไม่กลัวที่จะถูกน้องซูหัวเราะเยาะหรอกนะ แต่ไม่กี่เดือนที่ก่อน ข้าก็ยังเป็นศิษย์ชั้นในขอบเขตก่อเกิดรากฐาน แต่กระนั้นการฝึกตนของข้าก็ได้หายไปอย่างลึกลับ และตอนนี้ ข้าก็ลดลงมาอยู่ที่ขอบเขตฝึกปราณขั้นเก้าเท่านั้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไง”
“ในตอนนี้ ข้าก็กำลังคิดที่จะสะสมสมบัติทางโลกให้ได้มากขึ้น เผื่อว่าวันหนึ่งที่ข้าจะกลายเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ข้าจะได้สามารถใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและหรูหราได้” เย่เสี่ยวเหยาถอนหายใจ
แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ยังไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสสูงสุดเพื่อจัดการกับสถานการณ์ของเขา แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซูฟ่านก็มองไปที่มือของเย่เสี่ยวเหยาทันที และแน่นอนว่ามันมีแหวนที่เรียบง่ายและไม่มีการตกแต่งใดๆ สวมอยู่
‘ ข้าเชื่อว่าเขาจะกลับมาสู่ตัวตนเดิมของเขาและนำความรุ่งโรจน์เดิมกลับคืนมาได้’
แต่ซูฟานก็คิดอยู่ในใจเท่านั้น ‘ ให้ตายเถอะ ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นตัวเอกอย่างแน่นอน ข้าจะต้องอยู่ให้ห่างจากเขาในอนาคต’
“ขอบคุณที่ปลอบใจข้า ศิษย์น้องซู ในอดีต เมื่อคนอื่นรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของข้า พวกเขาก็มักจะเยาะเย้ยและถากถางข้า แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต่ำกว่าข้า แต่พวกเขาก็ยังดีใจที่ได้เห็นข้าต้องทนทุกข์ทรมาน”
“ศิษย์น้องซู ตอนนี้เจ้าเป็นเพื่อนของข้าแล้ว” เย่เสี่ยวเหยากล่าวอย่างจริงใจ
‘ ก็แย่ละ! ข้าไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าสักหน่อย!’
ซูฟ่านแทบจะสำลักโจ๊กเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้...