ตอนที่ 53 พนักงานขายหญิงที่หยิ่งผยอง
“เสี่ยวเหวิน เราควรไปหาร้านอื่นกันดีกว่านะ เสื้อผ้าที่นี่แพงมาก”
“ก็คือ.. เพียงเสื้อผ้าตัวหนึ่งก็หลายหมื่นแล้ว มันเกินจริงเกินไป”
ซู กว่างเซิง และอู๋เจวียน ตกใจกับราคาเสื้อผ้า จึงส่ายศีรษะ และรีบพูดออกไป
แต่ก่อนที่ ซูเหวิน จะทันพูดอะไร พนักงานขายก็มีสีหน้ามืดลง แล้วเธอกล่าวว่า : “ฉันขอถามหน่อยว่าพวกคุณจะซื้อหรือไม่ซื้อกันแน่?”
“ถ้าพวกคุณไม่ซื้อฉันก็จะได้ไม่ต้องแนะนำมันอีกต่อแล้ว”
เธอถามด้วยความไม่พอใจบนใบหน้า, และน้ำเสียงของเธอก็.. เต็มไปด้วยความดูถูก
ขณะพูดไปอย่างนั้นก็พลางมองไปที่พ่อแม่ของ ซูเหวิน อีกครั้ง แล้วบ่นพึมพําขึ้นว่า : “รู้ว่าตัวเองไม่มีเงินก็ไม่ควรเข้ามา และนี่อะไรไม่ดูเลยเหรอไงว่านี้มันยุคสมัยไหนแล้ว ยังแต่งตัวโทรมขนาดนี้อยู่ได้”
พนักงานขายหัวเราะเยาะ เสียงของเธอไม่ใหญ่ไม่เล็ก
แต่บังเอิญว่าสมาชิกทั้งสามคนในครอบครัว ซูเหวิน ต่างก็ได้ยิน
ทันใดนั้น พ่อแม่ของ ซูเหวิน ก็รู้สึกอับอายทันที
“เราเพิ่งเข้ามาในร้านได้แค่ 1-2 นาทีเอง, ทำไมคุณถึงใจร้อนขนาดนี้?”
“คนที่ไม่มีความอดทนอย่างคุณสามารถมาเป็นพนักงานขายได้ มันนับได้ว่า แปลกประหลาดมาก!”
ซูเหวิน ที่เห็นเขาดูประหลาดใจ แล้วพลางทำให้รู้สึกพูดไม่ออกทันที
“ปัญหาคือ ฉันได้แนะนำแล้ว พวกคุณล่ะ ..สามารถซื้อมันได้หรือไม่?”
“แล้วมันก็เห็นอยู่อย่างชัดเจนว่าพวกคุณมันยากจนแค่ไหน และนี่อะไรยังอยากที่จะซื้อเสื้อผ้าตัวละหมื่นหยวนพวกนี้อีก ถามหน่อยเหอะ ไม่คิดว่ามันตลกบ้างเหรอ?”
ราวกับไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกตอบโต้กลับ, พนักงานขายก็มีสีหน้ามืดลง, และยิ่งทำเสียงหยิกหยอกมากขึ้น (กระเซ้าเย้าแหย่)
ในเวลานี้ ประตูของร้าน Official Store ถูกเปิดอีกครั้ง
ทันใดนั้นก็เห็นคู่รักคู่หนึ่งที่ใส่เสื้อผ้าหรูหราเดินเข้ามา บวกกับอารมณ์ที่ไม่ธรรมดา ..และนี่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการมาซื้อเสื้อผ้าที่นี่ (เดี๋ยว เฮ้ๆ ก็เขาเดินเข้ามาอ่ะ พี่ชาย)
พนักงานขายหญิงคนนั้นมอง ซูเหวิน และคนอื่นๆ ทันที พร้อมกับพูดจาดูถูกเหยียดหยามไปว่า : “พวกคุณจะซื้อหรือไม่นั้น ฉันขี้เกียจเกินกว่าจะไปสนใจพวกคุณแล้ว และฉันจะไปต้อนรับลูกค้าคนอื่น”
ขณะพูดไปก็คลี่ยิ้มอย่างสดใส และเดินไปทางประตู
หลังจากเธอเพิ่งจากไปไม่นาน พ่อแม่ของ ซูเหวิน ก็อยากจะจากไปเช่นกัน
ทันใดนั้น พนักงานขายอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลางมอง ซูเหวิน และคนอื่นๆ : “สวัสดีคะ มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ?”
เมื่อเห็นมีคนเข้ามา ซูเหวิน จึงได้กล่าวถึงความต้องการในการซื้อเสื้อผ้าของพ่อแม่อีกครั้ง
น่าประหลาดใจที่หลังจากได้ยินสิ่งนี้แล้ว พนักงานขายหญิงคนนี้ไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจพ่อแม่ของ ซูเหวิน แต่กลับยังกล่าวแนะนำเสื้อผ้าทุกชุดให้อย่างกระตือรือร้น
เมื่อเทียบพนักงานขายคนนี้ ทัศนคติของเธอช่างแตกต่างจากพนักงานขายคนก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
แม้ว่าเสื้อผ้าทุกชุดที่เธอกล่าวแนะนํายังคงมีราคาแพงมาก
แต่เธอกลับอธิบายวัสดุ และคุณภาพของเสื้อผ้าแต่ละชิ้นออกมาอย่างละเอียด ทําให้ผู้คนเกิดความปรารถนาในการอยากจะซื้อมันจริงๆ
“คุณครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“เงินเดือนของพนักงานขายอย่างพวกคุณ ขึ้นอยู่กับค่าคอมมิชชั่นหรือเปล่าครับ?”
ในขณะที่พนักงานขายยังคงกล่าวแนะนําอยู่ ซูเหวิน ก็พูดถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ได้แน่นอนคะ เงินเดือนพื้นฐานบวกค่าคอมมิชชั่นค่ะ”
แม้จะไม่รู้ว่าทําไมลูกค้าถึงถามคำถามแบบนี้ แต่เธอก็ยังคงตอบตามความจริง
“ค่าคอมมิชชั่นที่ว่าส่วนตัว หรือแบบรวม?”
ซูเหวิน ยังคงถามต่อ
“ร้านเราเสนอค่าคอมมิชชั่นไปตามรายบุคคลคะ ใครขายได้เยอะกว่า ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นที่สูงกว่าค่ะ”
“แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าร้านค้าบางแห่งเองก็รับค่าคอมมิชชั่นรวม..”
พนักงานขายหญิงยังคงกล่าวตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้.. เป็นแบบนี้!” ซูเหวิน พยักหน้าอย่างเข้าใจ
จากนั้นเขาก็มองไปที่พนักงานขายหญิงคนดังกล่าว แล้วพูดว่า : “เสื้อผ้าที่คุณเพิ่งกล่าวแนะนําไปเมื่อครู่ มีหลายตัวที่พ่อแม่ของผมบอกว่าไม่เลว.. งั้นเอาแบบนี้ผมต้องการทุกตัวที่คุณกล่าวมาทั้งหมด”
ซูเหวิน กล่าวออกไปอย่างตรงไปตรง และเด็ดขาดมาก
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา
ซู กว่างเซิง อู๋เจวียน และพนักงานขายหญิงคนดังกล่าวต่างตกตะลึง
ขณะที่พ่อแม่ของ ซูเหวิน กําลังจะพูด ซูเหวิน ก็โบกมือเพื่อหยุดพวกเขา แล้วพูดไปว่า : “พ่อ กับแม่ หยุดพูดเถอะครับ ถ้าพวกคุณชอบก็แค่ซื้อ!”
“หาเงินมาได้แล้วไม่ใช้ แล้วจะหาเงินไปทําไม?”
ประโยคเดียวนี้ก็ทำให้พ่อแม่ของเขารู้สึกพูดอะไรไม่ออก..
และพอพนักงานขายได้ยินสิ่งที่ ซูเหวิน พูดแบบนี้ เธอก็แทบที่จะกระโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันที
โอ้ว.. พระเจ้า!
ในบรรดาเสื้อผ้าแบรนด์ที่เธอกล่าวแนะนำไปเมื่อกี้ ผู้อาวุโสทั้งสองท่านนี้ถูกใจหลายตัวอยู่นะ!
ถ้าพวกเขาซื้อทั้งหมด.. งั้นนี่แสดงว่าเธอทำยอดขายหลักแสนได้ในวันเดียวไม่ใช่เหรอไง?
ยังไม่ทันรอให้เธอหายจากความตื่นเต้นในใจ ซูเหวิน ก็เอ่ยปากขึ้นว่า : “พ่อ กับแม่ ถ้าพวกคุณชอบก็เลือกต่อเถอะ”
“หลังจากเลือกเสร็จแล้ว ค่อยมองหาให้ ปู่ กับย่า และคนอื่นๆ ด้วย เลือกเสื้อผ้าดีๆ สักสองสามตัวแล้วส่งกลับไปให้พวกเขา ให้พวกเขาได้ลองใส่เสื้อผ้าแบรนด์เหล่านี้ด้วย”
ซูเหวิน กล่าวแนะนำ
“อืม ก็ได้ งั้นก็เลือกให้พ่อแม่ฉันสักสองสามตัวแล้วกัน”
ซู กว่างเซิง และอู๋เจวียน พูดคุยกันพลางพยักหน้า แต่คราวนี้พวกเขาไม่ปฏิเสธแล้ว
นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเกินไปจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาได้ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมไปหลายแบรนด์ด้วยตัวเอง และจะไม่ซื้อให้ พ่อแม่ และผู้ใหญ่ที่บ้านคนอื่นๆ ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าผู้เฒ่าต่างก็อายุเยอะ หากไม่ใส่ตอนนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว อย่าง คุณตา คุณยาย เช่นกัน พวกท่านก็จากไปก่อนแล้วด้วยวัยชรา เฮ้ออ!
จากนั้นพวกเขาก็หยิบเสื้อผ้าให้เหล่าผู้เฒ่าของตัวเองอีก
ผ่านไปอีกสิบนาที จึงเลือกเสื้อผ้าเสร็จ
นับแล้วก็เท่ากับซื้อเสื้อผ้าให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวทั้งหมด 5-6 ตัว หากแบ่งแล้วก็คนละ 2-3 ตัว
บวกกับของพ่อแม่ ซูเหวิน เอง พอนับแล้วที่พวกเขาเลือกมาทั้งหมดก็ต้องมีมากกว่าสิบชิ้น
ในขณะนี้..
แม้แต่พนักงานขายก็ดูเหมือนจะไม่คิดว่าลูกค้าในครั้งนี้จะร่ำรวยขนาดนี้ และเธอ.. อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ทันที
ขณะเดียวกันเธอก็รีบห่อเสื้อผ้าที่เลือกมาทั้งหมด แล้วพาทุกคนไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ เพื่อชำระเงิน
มีเสื้อผ้ามากกว่าสิบชิ้น ในมือมีทั้งถุงใหญ่ และเล็กอยู่เต็มมือ และที่ยังถือไม่ได้ที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะอีก
สถานการณ์เช่นนี้ย่อมดึงดูดสายตาของลูกค้า และพนักงานขายคนอื่นๆ ภายในร้านไปได้ทันที
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพนักงานขายหญิงคนที่กล่าวดูถูกครอบครัวของ ซูเหวิน เวลานี้เธอตกตะลึงไปแล้วจริงๆ
เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าครอบครัวที่ดูยากจนข้นแค้นแบบนั้นจะสามารถซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมได้มากมายขนาดนี้.. ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เสื้อผ้าของที่นี่แพงมาก
และการซื้อมากขนาดนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีราคาอย่างน้อยสองถึงสามแสนหยวน ใช่ไหม?
แม้แต่เจ้านายสาวที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเผยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นมัน..
ว้าว! นี่คือลูกค้ารายใหญ่!
“สุภาพบุรุษท่านนี้ เมื่อครู่นี้ท่านเพิ่งซื้อเสื้อผ้าในร้านของเราไปทั้งหมด 13 ตัว ราคารวมคือ ..หยวนค่ะ”
“ร้านของเราสามารถให้ส่วนลด 9.5% แก่คุณได้ ซึ่งหมายความว่าคุณเพียงแค่จะต้องจ่าย …หยวนเท่านั้น”
“นอกจากนี้ คุณยังสามารถทำบัตรสมาชิกกับทางเราได้อีกด้วยคะ, หากคุณเติมเงิน 100,000 หยวน ได้รับส่วนลด 9.2%, เติมเงิน 200,000 หยวน ได้รับส่วนลด 9.5%, เติมเงิน 500,000 หยวน จะได้รับส่วนลด 10% ค่ะ”
เจ้านายสาวพูดอย่างสุภาพด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าของร้านพึ่งจะสแกนรหัสเพื่อลงทะเบียน และบันทึกลงคอมพิวเตอร์ ..ในเวลานี้เอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น หยุด.. เจ้านายสาวเอาไว้ว่า : “เดี๋ยวก่อนคะ เจ้านาย ลูกค้าท่านนี้ตอนเข้ามาใหม่ๆ เป็นฉันที่ได้ออกไปต้อนรับ”
“ตอนนี้ลูกค้าท่านนี้ซื้อเสื้อผ้ามาเยอะขนาดนี้ คำสั่งซื้อนี้ก็ควรเป็นของฉัน ถูกต้องไหมคะ?”
คนที่พูดขึ้นมาก็คือ พนักงานขายหญิง คนก่อนหน้านี้..
ในขณะนี้ เมื่อเธอเห็น ซูเหวิน และคนอื่นๆ ซื้อเสื้อผ้ามากมายขนาดนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะอิจฉา แล้วจึงรีบวิ่งออกมาพูด
“ตกลงแล้วมันยังไงกัน?”
เจ้านายสาวกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจทันที
จากนั้นเธอก็มองไปที่พนักงานหญิงอีกคนหนึ่ง แล้วพูดว่า : “เสี่ยวเหมียว สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง?”
“ฉัน...ฉันไม่รู้คะ!”
ในขณะนี้ผู้หญิงที่ชื่อ เสี่ยวเหมียว มึนงงสับสนไปหมดแล้ว
เธอไม่ได้คาดหวังเลยว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะได้รับการต้อนรับจาก พี่เถา มาก่อน
ตอนนั้นเธอเห็นพนักงานขายคนอื่นๆ ดูแลลูกค้าอื่นอยู่ และคิดว่าคนกลุ่มนี้อาจถูกละเลย หรือไม่มีใครสนใจ เธอจึงเข้ามา..
ซึ่งเธอไม่เคยคาดคิดก่อนเลยว่ามันจะกลายมาเป็น ..แบบนี้
“ฮ่าฮ่าๆ เจ้านาย เลิกถามเธอได้แล้ว”
“ถึงถามเธอไป แน่นอนว่าเธอก็จะตอบได้แค่ว่า ..ฉันไม่รู้”
“ที่ร้านของเราก็มีกฎเขียนอยู่อย่างชัดเจน ห้ามพนักงานขายคนใดสามารถตัดสินใจไปโดยไม่ได้รับอนุญาต และแย่งลูกค้าจากพนักงานขายคนอื่นๆ มิฉะนั้นคําสั่งซื้อนี้จะถือเป็นของพนักงานขายเดิม”
“ตอนนี้เธอแย่งลูกค้าของฉันไปแล้ว ยอดขายจะต้องนับเป็นของฉันถึงจะถูกต้อง”
พนักงานขายหญิงคนก่อนคนนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง
เธอนั้นมีทัศนคติที่หยิ่ง และมีน้ำเสียงแข็งกร้าวมาก..