ตอนที่ 39 คิดจะกลืนวิญญาณข้ารึ? (อ่านฟรีวันที่ 20/04/2567)
แฮ่ก แฮ่ก
“ดูเหมือนจะ..จบแล้ว?” ผู้ฝึกตนในเหตุการณ์คนหนึ่งกล่าวออกมา
“สมกับเป็นเถ้าแก่จริงๆ แต่ข้าว่าพวกเราเถ้าแก่เรียกแล้วค่อยเข้าไปจะดีกว่า” หานจุนหมิงกล่าวออกมา
ผู้ฝึกตนฝั่งโรงเตี๊ยมพลบคล่ำหอบหายใจกันอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนต่างใช้พลังลมปราณช่วยยิงสนับสนุนตลอดการต่อสู้ แม้มันจะทำอะไรสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ไม่มากนักแต่ก็ก่อกวนได้เป็นอย่างดี
“นี่สินะ หนังสือแห่งมรณา” ชายหนุ่มยกรถเข็นเซียนที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาวางไว้ด้านข้าง บริเวณด้านล่างหลุมมีหนังสือสีดำสนิท ดูเก่าแก่เป็นอย่างมากวางเอาไว้
ดูเหมือนว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายด้วยรถเข็นเซียนเสริมด้วยปราณและแรงเหวี่ยงตัวสุดกำลัง จะทำให้ร่างเนื้อที่หนังสือแห่งมรณาครอบงำสลายไปในการโจมตีเดียว ไม่มีโอกาสให้ฟื้นพลังอีก
“ก็แค่หนังสือเก่า ๆ เป็นถึงหนังสือระดับเซียนจริงรึ?” ชายหนุ่มหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาเขย่าไปมา ทันใดนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น
[“ไอ้มนุษย์โสโครก เจ้าหลงกลข้าแล้ว!! ข้าจะยึดวิญญาณของเจ้าซะ!!”] เป็นเสียงเย่อหยิ่งถึงขั้นสุดเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของชายหนุ่ม ฉับพลันนั้นหนังสือในมือก็กลายเป็นละแสงสีดำสนิทพุ่งเข้าสู่ศีรษะของเย่ซี
“นายท่าน!!” ปลาปากเสียที่ตอนนี้มันเริ่มฟื้นฟูร่างกายขึ้นมาได้นิดหน่อยเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
มันตะโกนออกมาเสียงดังแล้วรีบวิ่งไปหานายท่านของมันด้วยความเร่งรีบ สิ่งของวิเศษก็ไม่กินเข้าไป เพราะมันกลับว่าจะเสียเวลาเกินไปที่จะไปชายชายหนุ่ม ความเป็นห่วงเจ้านายที่เหนือสิ่งอื่นใดทำให้สมองของมันทำงานช้าลงไปหลายส่วนเลยทีเดียว
“อะไรอีก?” ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสงสัย หนังสือในมือมันพุ่งเข้าไปในหัวของเขาแบบนี้จะเป็นอะไรไหม?
[“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเข้ามาในร่างของเจ้าได้แล้ว เจ้ามันประมาทเกินไป! ข้าจะดูดกลืนวิญญาณ ยืดร่างของเจ้าซะ ด้วยร่างที่แข็งแกร่งขนาดนี้ข้าจะกลายเป็นผู้ปกครองของจักรวาลแห่งนี้”] เสียงเย่อหยิ่งจองหองดังขึ้นอีกหน ทำให้ชายหนุ่มอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งกำลังพยายามจะแตะต้องวิญญาณของเขา ถึงจะบรรยายออกมาเป็นความรู้สึกไม่ได้ก็เถอะ
[“เจ้าจะทำอะไร ออกมาซะเถอะ วิญญาณข้าไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะยุ่งวุ่นวายได้!”] ชายหนุ่มสื่อจิตตอบกลับไป ความจริงเขาก็แค่ขู่ไปเท่านั้น เพราะค่าสถานะในส่วนของจิตวิญญาณของเขา มันแสดงคำว่า ????? ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าคงมีบางอย่างแน่ๆ
[“อย่ามาขู่ข้าไปหน่อยเลย! เจ้าจงหายไปเสียเถอะ!!”] มันตอบกลับมาแล้วรีบพุ่งเข้าสู่ทะเลจิตวิญญาณของชายหนุ่มทันที
[“อ๊ากกกกกกกกกกกก”] แต่ผ่านไปไม่นานก็ได้มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บถึงขีดสุดดังขึ้นในหัวของชายหนุ่ม
[“เจ้าเป็นใครกัน มันเป็นไปไม่ได้ ไม่.........”] เสียงที่เคยเย่อหยิ่งจองหองก่อนหน้านี้ กลายเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันกรีดร้องออกมาด้วยความไม่ยินยอมก่อนที่จะเงียบหายไป
[“ติ๊ง! จิตวิญญาณของชุดคลุมจักรวาล เก้าภพได้ร้องขอหนังสือแห่งมรณาจากท่าน ท่านต้องการจะยกให้มันหรือจะเก็บไว้เอง”] เสียงของระบบดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย
ถ้าเขาเก็บหรือเรียกใช้จะกลายร่างเป็นแบบไอ้ตัวประหลาดเมื่อสักครู่รึเปล่า? แต่ถ้ายกให้ชุดคลุมไปก็อาจจะดีกว่า อย่างน้อยเขาก็สวมใส่มันทุกวัน ส่วนตัวเลือกอย่างการเอาไปขาย เลิกคิดไปได้เลย
[“ยกให้มันไป”] ชายหนุ่มกล่าวตอบระบบในใจ
[“ยกระดับ ชุดคลุมจักรวาล เก้าภพ...สำเร็จ”] พลันสิ้นเสียงของระบบ ชายหนุ่มก็พบว่าชุดคลุมที่เขากำลังสวมอยู่เหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป มันเริ่มให้ความรู้สึกถึงจิตวิญญาณที่กำลังฟื้นฟู
[“ตรวจสอบ”] ชายหนุ่มเรียกใช้ทักษะทันที
ชุดคลุมจักรวาล เก้าภพ (จิตวิญญาณเริ่มฟื้นฟู(1/9)) ชุดคลุมไหมนิลดำ
ระดับ : ระดับจักรพรรดิ(???)
ความสามารถ : -ใช้พลังปราณแห่งความตายได้บางส่วน (ใหม่)
–อื่น ๆยังไม่ปรากฏ(ถูกผนึก)
“นายท่าน!!” มีเสียงตะโกนดังขึ้น เมื่อหันไปก็พบเข้ากับปลาตัวใหญ่ที่สภาพยับเยินกำลังรีบคลานมาหา ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ใช้เท้ายันไว้ไม่ให้มันเข้ามากอดเขา
“ข้าสบายดี เจ้ารีบฟื้นฟูตัวด้วยสินค้าของร้านก่อน” ชายหนุ่มกล่าวจบก็โยนสินค้าต่างๆไปให้
“นายท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ข้าก็เป็นห่วงท่านแทบแย่ นึกว่าจะถูกมันกลืนวิญญาณแล้วเสียอีก!” ปลาปากเสียยังคงปากเสียเหมือนเดิม แต่มันก็กินทุกอย่างที่ชายหนุ่มโยนมาให้จนหมด
ผัวะ!
“ข้าดูเหมือนคนที่ถูกกลืนวิญญาณมากไหมล่ะ?” ชายหนุ่มซัดหมัดเข้าหัวมันไปหนึ่งหมัด ทำให้เจ้าปลาต้องดิ้นพล่านไม่หยุด
“พวกเจ้าเข้ามาได้แล้ว!” ชายหนุ่มตะโกนเรียกคนของฝั่งโรงเตี๊ยมพลบคล่ำให้เข้ามา
เมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มทุกคนก็พากันถอนหายใจ ดูเหมือนการต่อสู้จะจบลงแล้วจริงๆ แม้ฝั่งพวกเขาจะสูญเสียผู้คนไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็แค่ประมาณสิบคน ไม่เหมือนฝั่งตระกูลฉู่ที่ถูกกลืนหายไปทั้งหมด!
“เถ้าแก่ ท่านจะทำอะไรต่อ” หานจุนหมิงกล่าวถามออกมา
“ข้าอยากจะออกเดินทางให้เร็วที่สุด เจ้ามีความเห็นอะไรไหม?” เย่ซีกล่าวถามกลับ
“ข้าว่าเดี๋ยวคงมีพวกทหารหรือผู้ฝึกตนของทางเขตไม่ก็ผู้แทนเมืองหลวงมาที่นี่ พวกเราคงต้องบอกกล่าวเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาสักหน่อย” เจ้าของโรงเตี๊ยมพลบค่ำตอบกลับมา
สถานที่เละเทะไปหมดแบบนี้ ยังไงก็ต้องมีผู้คนมาตรวจสอบอยู่แล้ว ที่ตอนแรกไม่มีใครพบเห็นก็เพราะเขตแดนของสัตว์เลี้ยงเถ้าแก่ แต่เมื่อเขตแดนสลายไป การต่อสู้หนักหน่วง คงมีคนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
“ที่เจ้าว่ามาข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้ารีบจากไปเลยอาจมีปัญหาตามาทีหลัง” ชายหนุ่มกล่าวออกมาหลังจากที่ครุ่นคิดตามที่หานจุนหมิงบอก
ตอนนี้เหลือแต่ฝั่งของพวกเขาที่ยังรอดชีวิต แถมตระกูลฉู่ก็ตายกันไปหมดไม่เหลือแม้แต่ศพ ถ้าพวกเขารีบร้อนเดินทางทันทีอาจกลายเป็นผู้ต้องสงสัยได้ ถึงแม้ตัวเขาจะแข็งแกร่งแต่ก็อาจมีพวกที่เก็บตัว สุ่มซ่อนอยู่อีกก็ได้ ไม่ประมาทจนเกินไปจะดีกว่า
“เจ้าไปเรียกทุกคนมาหน่อย ใครบาดเจ็บหรือเป็นอะไรข้าจะได้ช่วยเหลือ ส่วนคนที่เสียชีวิตก็นำผลึกบางส่วนไปมอบให้ครอบครัวหรือคนรักของพวกเขาแทน” ชายหนุ่มกล่าวออกมา คนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เช่นกัน เขาจะไม่ให้คนเหล่านี้ต้องเสียเปรียบมากนัก
“ไม่จำเป็นหรอกเถ้าแก่ ข้าจะออกค่าสินค้าและค่าชดเชยของผู้เสียชีวิตเอง ยังไงข้าก็เป็นคนจ้างพวกเขามา แถมพวกเขาก็อยู่กับข้ามานานแล้วด้วย” หานจุนหมิงรีบกล่าวออกมา เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนเถ้าแก่เลย
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร
หลังจากที่ผู้คนของโรงเตี๊ยมพลบค่ำเดินเข้ามาหาชายหนุ่มกันครบแล้ว ชายหนุ่มก็แจกสินค้าไปตามอาการของแต่ละคนโดยเก็บค่าใช้จ่ายจากหานจุนหมิง ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึงกับสรรพคุณของสินค้าเป็นอย่างมาก แม้จะได้กินแค่ชนิดละหนึ่งอัน แต่มันก็ส่งผลดียิ่งกว่าโอสถใดๆที่พวกเขาเคยกินซะอีก
หลังฟื้นฟูสภาพร่างกายกันได้บางส่วนแล้ว พวกเขาก็พากันตรวจเช็คข้าวของที่นำมา พบว่าไม่มีอะไรเสียหายมากนัก พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อ
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
หลังเวลาผ่านไปได้สองก้านธูปก็มีเงาร่างมากมายปรากฎตัวขึ้นล้อมรอบขบวนของโรงเตี๊ยมพลบค่ำ กลุ่มคนเหล่านี้สวมชุดเกราะสีดำที่ลำตัว ส่วนแขนและขาจะเป็นเกราะสีแดง มีลวดลายมังกรป้องปราสาทประดับอยู่บนเกราะด้านหลัง
“พวกเราเป็นทหารของราชวงศ์ ขอสอบถามทุกท่านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะได้หรือไม่?” มีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น กล่าวถามออกมาด้วยเสียงเยือกเย็น
ชุดเกราะของนางเป็นสีขาวดุจหิมะ แต่ที่น่าแปลกใจคือผิวของนางซึ่งขาวยิ่งกว่าชุดเกราะซะอีก เรือนผมสีขาวยาวสลวยถูกมัดเป็นมวยไว้ที่ด้านหลังศีรษะ ใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา เหมือนไม่อาจมีสิ่งใดสั่นคลอนนางได้
“พวกข้าคือ...” นางกล่าวออกมายังไม่ทันจบก็มีเสียงอันร่าเริงดังขึ้นขัดจังหวะ
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ ไหนว่าจะเดินทางไปเมืองหลวงไง ในเมื่อยังไม่ไปก็พาข้าไปด้วยสิ เดี๋ยวข้าพาท่านไปหาสมบัติเอง!” เมื่อหันไปมองก็พบเข้ากับแม่นางผมสีฟ้า ใบหน้างมงามแต่แฝงด้วยความซุกซน หยางเสียนั่นเอง