Chapter 476 คำมั่นของลูกผู้ชาย
การที่เจ้าสำนักจุนต้องการเชิญวังเมี่ยวฮัวมาช่วย เพราะว่าต้องการคนที่มาคอยรั้งนิกายหลิงชวนและวังต้วนสุ่ยเอาไว้ก่อนนั่นเอง.
หากมีคนมาช่วยถ่วงเวลาไว้ ก็จะทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับมนทลเจิ้นหยางได้อย่างเต็มกำลัง.
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลานั้นมาถึง เมื่อทัพหลายแสนคนบุกมา เพียงแค่หอขี่หมาป่าพันคน แน่นอนว่าคงไม่สามารถรับมือได้แน่.
“ทำอย่างไร เขาต้องทำอย่างไร?”
ระหว่างทางกลับนั้น จุนซ่างเซียวที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว.
ในเวลานี้ เขาก็ตระหนักได้ว่า คนของเขานั้นยังไม่เพียงพอ.
หากว่าเขามีกองกำลังขนาดใหญ่ ก็ไม่ต้องหวาดกลัวมนทลเจิ้นหยางแม้แต่น้อย.
ระบบเอ่ย “วิธีแก้ปัญหาก็คงต้องเป็นการเจรจาด้วยสันติ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “กับคนที่กำลังเข้าห้ำหั่นสังหารอีกฝ่าย ยังจะมีเวลามาฟังพวกเราพูดถึงสันติได้อย่างงั้นรึ?!”
“......”
ระบบเอ่ย “กับมนทลระดับหก มีสิ่งใดบ้างที่โฮสน์เหนือกว่าพวกเขา?”
“จะให้ข้าแนะนำล่ะก็”
ระบบที่กล่าวเพิ่ม “เมืองชิงหยางนั้นเป็นดินแดนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง แห้งแล้งไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์นัก เพื่อที่จะพัฒนาสำนักอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง ทำไมต้องแบกรับแต่ปัญหาที่นี่ด้วยล่ะ.”
“ดังนั้นเจ้ากำลังจะบอกให้ข้าอพยพสินะ เพ่ย ถึงจะพูดกับเจ้าเรื่องมิตรภาพ ดูเหมือนว่าเครื่องจักรเช่นเจ้าคงจะไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ อยู่ดี.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เมื่อครั้งสำนักไท่กู่เจิ้งลำบาก เจ้าเมืองเซี่ย พร้อมจะนำประชาชน 3.6 ล้านคน ยื่นมือเข้ามาช่วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า.
นี่สิ ที่เรียกว่า มิตรสหาย.
ตอนนี้เขาและประชาชน 3.6 ล้านคนกำลังลำบาก เขาจะเอาตัวรอดแต่คนเดียวได้อย่างไร แล้วป้ายสำนักไท่กู่เจิ้ง ที่แขวนไว้นั้นยังจะมีศักดิศรีเหลืออยู่รึ?!
“มารดาเถอะ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “อย่างน้อย หากเหล่าจื่อไม่ต้องพัฒนาสำนัก คงจะใช้เงินจำนวนมากสร้างกองทัพขึ้นมา เพื่อช่วยรับมือกองกำลังมนทลเจิ้นหยางเอาไว้ได้แน่!”
เขาที่พร้อมจะจ่ายไปด้วยราคามหาศาล เพื่อที่จะรักษาเมืองชิงหยาง เพราะว่าเขานั้นได้รับปากเซี่ยกวนคุนเอาไว้แล้ว.
นี่ล่ะคือคำมั่นของลูกผู้ชาย!
“ทราบแล้ว.”
ระบบเอ่ย “โฮสน์คือวีระบุรุษผู้กล้าสินะ.”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “รีบหาวิธีเร็วเข้า ทำอย่างไรถึงจะรับมือกับมนทลเจิ้นหยางได้.”
“โฮสน์ไม่มีวิธีเลยรึ?”
“ข้าก็คิดอยู่นี่ไง!”
ระบบเอ่ย “โฮสน์ไม่ได้บอกว่าพร้อมจะใช้จ่ายด้วยเงินจำนวนมากเพื่อเตรียมสงครามหรอกรึ?”
“ข้ากล่าวผิดอะไร ความหมายของข้าคือพร้อมจะใช้จ่ายด้วยทรัพย์สินที่มีทั้งหมดออกมา.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ระบบเอ่ย “หากโฮสน์ต้องการที่จะรักษาเมืองชิงหยาง ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คงต้องเสียสละไปทุกอย่าง.”
“บัดซบ!”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ข้าต้องการให้เจ้าแนะนำวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่ามากล่าวเหน็บข้า!”
“ข้าพร้อมที่จะสนับสนุนโฮสน์เสียสละทุกอย่าง ใช้จ่ายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเพื่อทำสงครามกับมนทลระดับหก!”ระบบเอ่ย.
“ไปไกล ๆ เท้าเลย.”
“ไม่.”
......
หากว่าเขาสามารถใช้จ่ายด้วยเงินทั้งหมดเพื่อรับมือสงคราม และหยุดมนทลระดับหกได้ จุนซ่างเซียวต้องทำอย่างแน่นอน ปัญหาคือเขามีเวลาเหลือเพียงแค่สองเดือน.
ในเวลาสั้น ๆ เช่นนั้น จะสร้างกองกำลังขึ้นรับมือกับทัพมนทลเจิ้นหยางได้อย่างไร ไม่เห็นแววเลยแม้แต่น้อย.
“ในเมื่อขอความช่วยเหลือจากวังเมี่ยวฮัวแล้ว ทำไมไม่ลองไปหาดินแดนใหญ่อื่นบ้างล่ะ?”
ภายในสมองของจุนซ่างเซียวที่ครุ่นคิดไปมาในทันที.
ใครพอที่จะรับมือกับมนทลเจิ้นหยางได้ ใครกันที่จะทรงพลังพอในจังหวัดซีเหนียนหยางแห่งนี้.
“โฮสน์ไม่รู้จักใครเลยอย่างงั้นรึ?”ระบบเอ่ย.
“ข้า......”
ในเวลานั้นดวงตาของจุนซ่างเซียวที่เป็นประกาย ”ข้ารู้จักประมุขหลง เมืองหลงหยาง ด้วยความแข็งแกร่งของเขานับว่าไม่ธรรมดา.
ระบบเอ่ย “ไปพบประมุขหลง แล้วคิดว่าจะมีสิ่งใดที่จะสามารถโน้มน้าวเขามาได้บ้างล่ะ.”
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก.
เป็นความจริง ที่เขาคิดเอาแต่ได้แต่ฝ่ายเดียว!
ระบบเอ่ยกล่าวออกมา “เพราะว่าสำนักของโฮสน์ตอนนี้อ่อนแอเกินไป ไม่มีพลังพอที่จะโน้มน้าวกลุ่มอิทธิพลใหญ่ให้มาช่วยได้.”
แม้นว่าคำพูดดังกล่าวจะเป็นจริง ทว่าก็แทงใจเขาเป็นอย่างมาก.
ไม่ต้องบอกว่า เจ้าสำนักจุนเป็นกษัตริย์สองวิถี ยุทธ์และกระบี่ ทว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักกับยังอ่อนแอมาก.
“น่ารังเกียจ!”
จุนซ่างเซียวที่กำหมัดแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “หากมีเวลาพัฒนาอีกสักสองสามปีล่ะก็ ข้าจะไม่ยอมแพ้ใครเลย!”
......
สำนักไท่กู่เจิ้ง.
จุนซ่างเซียวที่กลับมาด้วยความเศร้า.
“เจ้าสำนัก!”
ขณะที่เขานั่งลงภายในห้องโถง หลี่ชิงหยางก็เร่งรีบเข้ามาหา เอ่ยออกมาว่า “ศิษย์น้องเล็กปลุกร่างกำเนิดมารขึ้นมา!”
“ร่างกำเนิดมารอย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่เผยความประหลาดใจออกมา.
เจียงเซี่ยที่เข้ามาด้วย พร้อมกับอธิบายเรื่องต่าง ๆเกี่ยวกับเหยาเมิ่งหยิงให้เขาฟัง.
“หากเป็นเช่นนั้น.”
หลังจากที่จุนซ่างเซียวได้ยิน เขาที่สีคางไปมา “ร่างกำเนิดมารทรงพลังอย่างงั้นรึ?”
“ทรงพลังมาก.”
เจียงเซี่ยเอ่ย “คนที่มีกายาเช่นนี้ เมื่อบ่มเพาะวิถีมาร ในอนาคตข้างหน้าจะต้องกลายเป็นราชันย์มารอย่างแน่นอน!”
จุนซ่างเซียวที่ดวงตาเป็นประกาย “เด็กสาวผู้นี้มีประสิทธิภาพเช่นนี้ นับว่าเป็นโชคลาภของสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว.”
“โชคลาภอย่างงั้นรึ?”
เจียงเซี่ยที่มุมปากกระตุกเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนัก ผู้ฝึกตนมารในทวีปชิงหยุนนั้นเป็นที่เกลียดชังของชาวยุทธ์ ยิ่งเหยาเมิ่งหยิงปลุกกายากำเนิดมารด้วยแล้ว หากข่าวแพร่ออกไป จะต้องนำพาหายนะมาหาพวกเราอย่างแน่นอน.”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เจียงเซี่ยที่เอ่ยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องของราชันย์มารในอดีต ตลอดจนบัญชาสังหารเหล่าผู้ฝึกยุทธ์มารในยุทธ์ภพให้เขาฟัง.
หลังจากได้ยินแล้ว จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาว่า “ดูเหมือนจะเป็นปัญหาเหมือนกัน.”
เจียงเซี่ยเอ่ย “หมื่นปีมานี้ มีแปดคนที่ปลุกร่างกำเนิดมารขึ้นมาได้ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องตกตายไปในทันที ถูกทำลายทั้งตระกูลและสำนัก.”
“เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มารนั้นถือว่าเป็นมารร้ายที่ทุกคนทั่วแผ่นดินจะต้องกำจัดอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เจียงเซี่ยส่ายหน้าไปมา “เหล่าสำนักมาร ผู้ฝึกตนมารก็เหมือนกับผู้ฝึกตนปิศาจนั่นล่ะ โดยปรกติแล้ว ผู้คนก็จะไม่ไล่ล่าพวกเขาอย่างไร้เหตุผล พวกเขาเองก็ไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัวเช่นกัน.”
นิกายโม่เซี่ย ที่แข็งแกร่งก็ไม่ได้มีคนร่วมมือกันเพื่อไล่ล่าแต่อย่างใด.
ผู้ฝึกยุทธ์มารนั้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุผลมีอย่างเดียวเพราะคำพูดของราชันย์มารในอดีต ทีเอ่ยกล่าวเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่พวกเขาสามารถกลายเป็นราชันย์ได้โดยไม่ผูกมัด.
แน่นอนว่าเหล่ากลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ที่เกรงว่าจะเสียสมดุลของพลัง ทำให้พวกเขาร่วมมือกัน ไล่ล่าสังหารผู้ฝึกยุทธ์มารนั่นเอง!
ผู้ฝึกยุทธ์มารนั้นแม้นว่าจะเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ปิศาจ ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ปิศาจนั้นจะฝึกฝนและเพิ่มพลังบ่มเพาะได้เร็วมาก ทว่ากับมีอายุไขในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จะตกตายและสิ้นอายุขัยไปอย่างรวดเร็วกว่าคนปรกติมาก ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ปิศาจไม่ได้เป็นภัยคุกครามกับพวกเขาอย่างแท้จริง.
จุนซ่างเซียวขมวดคิ้วไปมา “ในเมื่ออย่างไรพวกเราก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงเหล่าคนชั่วร้ายได้ ทำไมต้องสนใจเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย.”
เจียงเซี่ยเอ่ย “เจ้าสำนัก ข้าเกรงว่าสำนักไท่กู่เจิ้งจะไม่สามารถรับเรื่องนี้ไหว.”
“กลัวคนรู้อย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เจียงเซี่ยเอ่ย “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ในเมื่อเหยาเมิ่งหยิงปลุกร่างกำเนิดมารขึ้นมาได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าสักวันหนึ่งเรื่องนี้จะมีคนอื่นรู้ หากเป็นเช่นนั้น สำนักไท่กู่เจิ้งของพวกเราอาจจะถูกทำลายพังทลายไปเป็นร้อยครั้งอย่างแน่นอน.”
“อีกอย่าง.”
หากมีคนรู้ ไม่เพียงแต่นิกายระดับหนึ่ง แม้แต่ราชันย์ยุทธ์ก็อาจจะลงมือด้วยตัวเอง!”
“เย็ดเข้.”
จุนซ่างเซียวถึงกับหวาดผวา.
ต่อหน้ามนทลระดับหกและสองนิกายระดับสี่ เขาก็คิดจนหัวแทบแตกเพื่อจะรับมือ หากเป็นนิกายระดับหนึ่งและราชันย์ยุทธ์ลงมือ เขาต้องตายอย่างแน่นอน!”
“แล้วเมิ่งหยิงล่ะ?”
“อยู่ในตึกที่พัก.”
จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนที่จะตรงไปยังห้องของเหยาเมิ่งหยิง.
เด็กสาวที่กำลังนั่งคอตกอยู่ด้านใน.
“เจ้าสำนัก.....”
เหยาเมิ่งหยิงที่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ กัดริมฝีปาก ดวงตาที่กลายเป็นสีแดงคลอเบ้า.“ท่าน...ท่านกำลังจะไล่ข้าไปแล้วใช่หรือไม่?”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ทำไมข้าต้องไล่เจ้าไปด้วยล่ะ?”
เหยาเมิ่งหยิงสะอื้น “ข้าปลุกกายกำเนิดมารขึ้นมา....ข้าเป็นคนไม่ดี...ที่จะนำหายนะมาให้กับสำนัก.”
“ใครบอกเจ้า?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เหยาเมิ่งหยิงที่เอาศีรษะซุกไปที่หว่างขาเอ่ยออกมาว่า “ข้าฝัน ในฝันข้าเห็นคนเลวมากมาย ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงถูกสังหารเป็นทะเลโลหิต ข้าเห็นเจ้าสำนักที่ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาของข้า.”
“คนเลวเหล่านั้นเรียกข้าว่าอสุรกาย บอกว่าข้าเป็นมารร้าย แม้แต่เจ้าสำนักก็ไม่สามารถปกป้องข้าได้ ทุกคนในสำนักไท่กู่เจิ้งตายไปทั้งหมด.”
“เพียงแค่ฝัน.”
จุนซ่างเซียวก้าวเข้าไปหา กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ทำไมต้องใส่ใจด้วย.”
เขาที่ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนาง เอ่ยออกมาว่า “เป็นศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งวันหนึ่ง ก็เป็นศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งตลอดชีวิต ขอเพียงเจ้ายินดีอยู่ที่นี่ เปิ่นจั้วจะไม่มีทางไล่เจ้าไปอย่างแน่นอน.”
“ฮือฮือ.....”
เหยาเมิ่งหยิงที่ร้องไห้สะอื้นเสียงดัง “ในฝันเจ้าสำนักก็บอกกับคนเลวเช่นนี้ บอกว่าเป็นศิษย์สำนักไท่กุ่เจิ้งหนึ่งวันก็เป็นศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งตลอดชีวิต จะไม่ให้ใครทำร้ายข้าได้!”