บทที่ 17: กลุ่มพันธมิตร
บทที่ 17: กลุ่มพันธมิตร
ในท้ายที่สุด ซูฟ่านก็ไม่ยอมรับหินวิญญาณ 50 ก้อน เขาทำเพียงแค่ต้อนรับผางฟู่เข้ามาในห้องรับแขกเล็กๆ ของเขาเท่านั้น
“พี่ผาง ถ้าท่านมีอะไรอยากพูด ท่านก็พูดมาเถอะ” ซูฟ่านกล่าวขณะเตรียมชา
“น้องซู พวกเราศิษย์ชั้นนอกไม่ได้รับการสนับสนุน และในแต่ละปี เราก็ได้รับทรัพยากรเพียงเล็กน้อยจากการทำภารกิจอันเหนื่อนยาก”
“เพื่อที่จะบรรลุวิถีเซียน มันก็ยากที่จะบอกว่าเราต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด ดังนั้นแล้วข้าจึงต้องการจะรวมศิษย์ชั้นนอกที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเราไว้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
“เราจะสามารถแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ แบ่งปันข้อมูล หรือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ร่วมกันได้”
“อย่างน้อยๆ มันก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งสำหรับพวกเราในการเอาชีวิตรอดในฐานะศิษย์ชั้นนอก”
ผางฟู่ยกถ้วนชาที่ซูฟ่านรินให้และดื่มหมดในอึกเดียว ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจ นี่คือชาวิญญาณ!
เมื่อเห็นความทะเยอทะยานของผางฟู่ ซูฟ่านก็นึกถึงภูมิหลังของอีกฝ่าย ผางฟู่เป็นทายาทสายตรงจากตระกูลพ่อค้าผู้มั่งคั่ง การจะเรียกเขาว่าเป็นลูกเศรษฐีนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง
ซูฟ่านเคยได้รับเงินทานเล็กๆ น้อยๆ จากครอบครัวของเขาในช่วงแรกๆ ที่ยังเป็นขอทาน ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับผางฟู่มากกว่าใครๆ
“พี่ผางไม่ขาดการสนับสนุน พ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉูหยางย่อมมีพลังมากกว่าตระกูลผู้ฝึกตนโดยเฉลี่ย” ซูฟ่านหยอกล้ออีกฝ่ายเล็กน้อย
ตระกูลผางเป็นตัวอย่างของตระกูลค้าขายที่มีเมตตาค้ำจุนโลก พวกเขาต่างจากพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่ไร้ความปรานีคนอื่นๆ
“ศิษย์น้องซู เจ้ารู้เกี่ยวกับภูมิหลังของข้าได้อย่างไร?” ดวงตาของผางฟู่เป็นประกายด้วยความประหลาดใจ มีคนไม่มากนักในนิกายชั้นนอกที่จะรู้ตัวตนของเขา
“แน่นอนเพราะข้าบังเอิญโชคดีเคยได้อยู่ใต้ร่มบุญของครอบครัวท่านมาก่อนยังไงล่ะ” ซูฟ่านพูดติดตลก “เอาล่ะ เรามาหารือเรื่องสำคัญกันต่อเถอะ พี่ผาง ท่านต้องการจะก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรใช่ไหม?”
มีศิษย์ชั้นนอกมากกว่า 200,000 คนในนิกายเทียนฉัว ซึ่งคล้ายกับสังคมขนาดย่อม พวกเขามีกลุ่มพันธมิตรต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะตัว
กลุ่มพันธมิตรเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำงานร่วมกัน แบ่งปันข้อมูล หรือซื้อขายของเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นส่วนใหญ่
“มันก็ไม่ใช่กลุ่มพันธมิตรซะทีเดียว มันเหมือนกับการนำพี่น้องที่ไร้ที่พึ่งมาอยู่รวมกันซะมากกว่า มันดีกว่าที่เราจะต้องมาดิ้นรนอยู่ตัวคนเดียว” ผางฟู่กล่าวอย่างอดทน ถ้าซูฟ่านเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดา เขาก็คงจะไม่สนใจอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตาม ซูฟ่านสามารถจบมาจากวิชาปรุงยาได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถ่อมาเยี่ยมเยียนซูฟ่านเป็นการส่วนตัว
การผูกมิตรกับนักปรุงยาในวันนี้จะนำมาซึ่งชัยชนะในอนาคต!
มีคำพูดโบราณว่าไว้ในโลกแห่งการฝึกฝน เบื้องหลังพลังอันยิ่งใหญ่ทุกประการคือปรมาจารย์นักปรุงยาผู้ขับเคลื่อน
“น่าสนใจ แล้วกลุ่มพันธมิตรนี้จะให้ประโยชน์อันใดแก่ข้าได้บ้าง? และข้าจะต้องให้อะไรกลับไป?” ซูฟ่านถามด้วยความสนใจ แม้ว่าคำพูดของเขาอาจจะดูไม่สุภาพ แต่บางครั้งมันก็เป็นที่เข้าใจได้
“เจ้าสามารถเข้าถึงข่าวสารในนิกายโดยตรงได้ ท้ายที่สุดแล้ว มันก็มีผู้คนมากมายที่อยากจะผูกสัมพันธ์กับว่าที่นักปรุงยาในอนาคต”
“ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการอำนวยความสะดวกในการปรุงยาเล็กๆ น้อยๆ ให้กับพี่น้องในกลุ่มพันธมิตร”
“เมื่อน้องลู่กลายเป็นปรมาจารย์นักปรุงยาเมื่อไหร่ พี่น้องทุกคนในกลุ่มพันธมิตรก็จะเต็มใจที่จะติดตามผู้นำเช่นเจ้า”
“ในปัจจุบัน กลุ่มพันธมิตรก็มีสมาชิกรวมมากกว่า 40 คน พวกเรามีคนที่เตรียมพร้อมสอบเข้าโถงยุทธ์อยู่ 2 คน และคนที่เตรียมจะเป็นนักปรุงยาขั้นพื้นฐานอีกอย่างน้อย 2 คน”
“ข้าเชื่อว่าด้วยการเพิ่มเข้ามาของน้องลู่ กลุ่มพันธมิตรของเราก็จะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่นแน่นอน” ผางฟู่พูดอย่างกระตือรือร้น
ซูฟ่านเริ่มไตร่ตรอง โดยชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย
ผางฟู่เงียบและรอคำตอบของซูฟ่าน เขามั่นใจว่าอัจฉริยะผู้นี้จะตอบตกลง
“ข้าจะเข้าร่วมด้วย” ซูฟ่านกล่าว เขาได้ตัดสินใจแล้ว การเก็บตัวมากเกินไปนั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะไม่ออกไปเจอคนเลยได้ยังไง?
“ยอดเยี่ยม ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะเอาด้วย” ผางฟู่พูดอย่างมีความสุข จากนั้นเขาก็หยิบสิ่งประดิษฐ์ทรงกลมธรรมดาๆ ออกมาแล้วมอบให้ซูฟ่าน
“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ในการสื่อสารหรอ?” ซูฟ่านถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“กลุ่มพันธมิตรควรมีสไตล์เป็นของตัวเอง นี่คือผลงานจากนักสร้างสิ่งประดิษฐ์ฝึกหัดของเรา” ผางฟู่พูดด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ปรมาจารย์นักปรุงยาในอนาคตได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาแล้ว และหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาก็จะกลายเป็นนักปรุงยาขั้นหนึ่ง
“น่าประทับใจ” ซูฟ่านอุทาน
“สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้จะรับส่งข่าวสารล่าสุดและข้อมูลการซื้อขายจากกลุ่มพันธมิตรในแต่ละวัน และบางครั้ง มันก็มีการเผยแพร่ภารกิจด้วย”
ผางฟู่หยิบแผ่นหยกและป้ายตราออกมามอบให้ซูฟ่านแล้วกล่าวคำอำลาก่อนจะจากไป
ทันทีที่ซูฟ่านส่งผางฟู่เสร็จ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับคนที่เขาไม่ต้องการจะเจอมากที่สุด
“ศิษย์น้องซู เจ้าเพิ่งรับแขกเสร็จหรอ?” ซาหยานกล่าวด้วยดวงตาสงสัยใคร่รู้
ซูฟ่านมองเข้าไปในดวงตาคู่งามของซาหยานและการป้องกันของเขาก็พังทลายลง
“ใช่แล้ว ข้ามีพี่ชายมาเยี่ยมนิดหน่อย”
“น้องซู.. เจ้าจะไม่เชิญข้าเข้าไปหน่อยหรอ?” ซาหยานพูดด้วยรอยยิ้ม
...
ภายในศาลา ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน และซูฟ่านก็ยื่นชาที่เตรียมไว้ให้กับชาหยาน
“น้องซู ทำไมเจ้าถึงไม่อยากเข้าร่วมกับโถงยาวิญญาณกัน?”
“ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูก ทำไมเจ้าถึงไม่อยากได้พ่อของข้าเป็นอาจารย์กัน?”
ซาหยานจ้องมองไปที่ซูฟ่านแล้วพูด เธอได้พิจารณาถึงพรสวรรค์ด้านการปรุงยาของซูฟ่านแล้ว และพ่อของเธอก็ต้องการจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่โดยไม่คาดคิด ซูฟ่านก็ได้ปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ
ซูฟ่านมองไปที่พี่สาวคนสวยและคิดกับตัวเอง ‘ ข้าจะบอกออกไปดีไหมว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องการปรุงยามากขนาดนั้น ข้าสนใจการสร้างสิ่งประดิษฐ์มากกว่า’
“พี่สาว ข้าคุ้นเคยกับความอิสระและความเรียบง่าย ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการจะถูกควบคุม และการปรุงยาก็เป็นเพียงธุรกิจเสริมของข้าเท่านั้น” ซูฟ่านพูดอย่างขมขื่นในขณะที่เขาพยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาตอบปัญหา
ในขณะนี้ ซาหยานก็มองไปที่ซูฟ่านอย่างประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายคนนี้ถึงไม่ให้ความสำคัญกับโอกาสที่คนอื่นทำได้เพียงแต่ฝันถึง
“แต่น้องซู พรสวรรค์ในการปรุงยาของเจ้านั้นโดดเด่นมาก หากไม่มีคำแนะนำที่ดี พรสวรรค์ของเจ้าก็จะสูญเปล่าเอานะ”
“เส้นทางแห่งการปรุงยานั้นกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร และยังเป็นหนทางไปสู่การเป็นเซียนด้วย ตราบใดที่เจ้ากลายเป็นนักปรุงยาระดับสูงได้ การยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเซียนก็จะไม่ใช่ปัญหา” ซาหยานยังคงชักชวนต่อไป
ซูฟ่านมองไปที่พี่สาวคนสวยของเขาด้วยความปวดหัว หากเขารับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ แผนการพัฒนาตนของเขาก็อาจจะพังทลายลงได้
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องบอกความจริงบางอย่างออกไปแล้ว
“พี่หญิง ท่านเคยขึ้นไปบนเรือเหาะลอยร่องของนิกายเราหรือไม่?” ซูฟ่านถาม
“ข้าเคยขึ้นไปครั้งหนึ่ง เจ้าถามทำไมกัน?” ซาหยานถามอย่างสงสัย
“พี่หญิง นับตั้งแต่ที่ข้าเห็นเรือเหาะลอยร่องลำนั้นเป็นครั้งแรก ข้าก็ได้สาบานตนว่าในชีวิตนี้ ข้าจะต้องสร้างมันขึ้นมาให้ได้สักลำหนึ่ง”
“การปรุงยาเป็นเพียงทางผ่านสำหรับข้าในการสะสมหินวิญญาณในการขั้นแรก ข้าไม่อยากรับท่านจิงเทียนเป็นอาจารย์ก็เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถตอบแทนความเมตตาของเขาได้ในอนาคต” ซูฟ่านพูดจริงครึ่งหนึ่งและเท็จครึ่งหนึ่ง
เมื่อมาถึงจุดนี้ ซาหยานก็จ้องมองไปที่ซูฟ่านอย่างตกตะลึง สิ่งนี้ทำให้เธอนึกถึงพี่ใหญ่ของเธอที่บอกลาเธอและพ่อเพื่อไปที่ยอดเขาขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์
เธอยังจำสิ่งที่พี่ใหญ่ของเธอพูดได้ดีในรระหว่างการอำลาครั้งสุดท้าย
“ข้า ซาหยวนจะกลายเป็นปรมาจารย์นักสร้างสิ่งประดิษฐ์อันดับหนึ่งของนิกายเทียนฉัวให้ได้อย่างแน่นอน!”