ตอนที่ 59 เจ้าช่างโง่เขลามากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
เย่เฉินเข้าใจทันทีว่าฉียู่นั้นต้องการที่จะทําอะไร เขาอาจต้องการหาเวลาที่จะพูดคุยกับตัวเขาเอง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จู่ๆ เย่เฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
เขาไม่ชอบปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างเป็นทางการแบบนี้มากที่สุด และเขาอาจจะสับสนถ้าเขามีความพยายามแบบนั้น
เย่เฉินกล่าวว่า "ข้าขอโทษด้วยประธานฉี ข้าจะต้องไปแลกเปลี่ยนหินวิญญาณหลังจากนี้น่ะ"
"อ่า เรื่องนี้ง่ายมาก ให้ข้าได้ช่วยเถอะนะ!"
ฉียู่รีบพูดอย่างกระตือรือร้น
"งั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนประธานฉีแล้วล่ะ"
เย่เฉินไม่ได้ปฏิเสธ
ฉียู่และเย่เฉินเดินเคียงข้างกันไป: "เย่เฉินเจ้าต้องการที่จะจะแลกเปลี่ยนหินวิญญาณกี่ก้อนกันล่ะ"
"อืมสักเจ็ดสิบล้านเหรียญน่ะ"
ในตอนนี้เย่เฉินนั้นมีเงิน 78 ล้านอยู่ที่ตัวเขาเอง
เย่เฉินตั้งใจที่จะเอาเงิน 70 ล้านออกมาใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับหินวิญญาณเกรดต่ำทั้งหมด สําหรับหินวิญญาณระดับกลางนั้นไม่มีทางที่จะแลกเปลี่ยนได้
และที่เหลืออีก 8 ล้านเย่เฉินจะเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
"เจ็ดสิบ เจ็ดสิบล้าน..."
ใครจะรู้ว่าฉียู่ตกตะลึงหลังจากได้ยินจำนวนที่เย่เฉินพูดออกมา
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเย่เฉินจะรวยมากขนาดนี้!
"โชคดีที่สมาคมวิญญาจารย์เพิ่งเพิ่มเตรียมของสํารองเอาไว้เมื่อสองวันก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่เพียงพอ"
ฉียู่ชื่นชมยินดีภายในใจของเขา
จากนั้นเขาก็พูดว่า: "เจ็ดสิบล้านนั้นเป็นจํานวนที่เยอะมาก และมันสะดุดตาอย่างมาก หรือ... ข้าจะหาคนไปส่งของให้เจ้าเมื่อเตรียมของพร้อมแล้วดีไหมล่ะ?"
เย่เฉินคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าต้องรบกวนประธานฉีด้วยแล้วล่ะ"
หากถูกนําออกไปตอนนี้ คาดว่าจะมีกล่องมากกว่าหนึ่งโหล และรถคงไม่สามารถใส่ไปได้ทั้งหมดเลย
มันจะช่วยประหยัดปัญหาได้มากสําหรับฉียู่ที่จะทําเช่นนั้น
"ประธานฉี ถ้าเช่นนั้นข้าจะต้องขอตัวกลับไปก่อนนะ" เย่เฉินกล่าว
"โอเค แล้วเจอกัน"
...
ห้องโถงสมาคมวิญญาณ
"หลิวหยู เจ้าเลิกงานหรือยัง"
หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาถาม
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับจากก่อนหน้านี้เธอกำลังทำท่าบิดขี้เกียจอยู่: "ใช่แล้วล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว"
งานประจําวันของเธอคือการทักทายและแนะนำเส้นทางแก่ลูกค้าทุกคน
แม้ว่างานจะไม่ใช่งานที่ซับซ้อนมากนัก แต่ในฐานะคนทั่วไปแล้ว เธอก็พอใจกับมันเป็นอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้ว รายได้ของงานนี้สูงกว่าบริษัทภายนอกหลายแห่งเลยทีเดียว ซึ่งเพียงพอที่จะทําให้เธอนั้นพึงพอใจกับมันได้
และถ้าหากว่าเธอนั้นโชคดีพอที่จะได้รับความโปรดปรานจากเหล่าวิญญาจารย์แล้ว เธอก็จะสามารถกําจัดสถานะของชนชั้นล่างสุดไปได้อย่างสมบูรณ์
"ทําไมเจ้าถึงได้เหนื่อเช่นนี้กันล่ะ เมื่อคืนเจ้านัดกับแฟนหนุ่มมหาวิญญาจารย์คนนั้นของเจ้าหรือเปล่า"
ผู้หญิงคนนั้นพูดแซวติดตลก
หลิวหยูแบะริมฝีปากของเธอแล้วตอบ: "ข้าอยากทําเช่นนั้นเหมือนกันแหละ แต่ไม่มีใครที่มาชอบข้าน่ะสิ"
"ข้าจะไม่บอกเจ้าอีกแล้ว ข้าต้องไปซื้ออาหารโดยเร็วแล้วล่ะ และเมนูพิเศษมันจะหายไปถ้าไปสายน่ะ"
หลิวหยูโบกมือให้ผู้หญิงอีกคน และเมื่อเธอกําลังจะจากไป เธอก็เหลือบไปเห็นฉียู่ที่ทางเดินจากมุมสายตาของเธอ
"ประธานฉี?!"
หลิวหยูกลับมามีกําลังใจในการทำงานและล้มเลิกแผนที่จะเลิกงานในทันที
นี่คือผู้นําระดับสูงของสมาคมวิญญาจารย์ ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มสมาพันธ์ใหญ่ของหยางเฉิงนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับเขา หลังจากที่ได้ทํางานมาแล้วครึ่งปี เธอจะพลาดโอกาสที่ดีในการโชว์ตัวในครั้งนี้ไปได้อย่างไรกัน?
"หลิวหยู เจ้าไม่ได้เลิกงานแล้วงั้นเหรอ"
ผู้หญิงคนนั้นกําลังวางแผนที่จะรับช่วงต่อ และถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
หลิวหยูไม่ได้สนใจเธอ แต่เธอยังคงมองไปที่ฉียู่โดยเจตนาต่อไป
แต่วินาทีต่อมา หลิวหยูก็ต้องตัวสั่น
เพราะเธอพบว่าชายหนุ่มที่ได้บอกว่าเขานั้นต้องการที่จะมารับตรามหาวิญญาจารย์นั้นอยู่ด้วยกันกับประธานฉีงั้นเหรอ? !
ไม่เพียงแค่นั้นหลิวหยูยังสังเกตุเห็นว่า ประธานฉีที่แสนจะโดดเด่นนั้นสุภาพกับชายหนุ่มคนนั้นมากแค่ไหนอีกด้วย!
เห็นได้จากทั้งคําพูดและการกระทำเลยทีเดียว!
"เขา เขามารับตราของมหาวิญญาจารย์จริงๆ งั้นเหรอ"
หลิวหยูรู้สึกได้ประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัวของเธอ ซึ่งทําให้ตัวของเธอนั้นชาจากบนลงล่างในทันที
หากเป็นแบบนี้จริง การได้เป็นมหาวิญญาจารย์ในวัยเพียงเท่านี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างมาก!
เขาช่างเป็นคนที่มีเบื้องหลังน่ากลัวมาก!
มิฉะนั้นฉียู่คงจะไม่กระตือรือร้นมากถึงเพียงนี้นัก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หลิวหยูก็รู้สึกเสียใจและอยากที่จะร้องไห้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม มันไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจได้อีกแล้ว และเมื่อหลิวหยูรู้สึกหดหู่อยู่นั้น ฉียู่และเย่เฉินก็ได้เดินผ่านเธอไปแล้ว
แต่หลิวหยูนั้นพบว่ามันช่างน่าเศร้านัก ที่ทั้งคู่ต่างไม่ได้มองมาที่เธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่อาจเป็นเพราะสถานะของเธอหรือเปล่า หรือบางทีการมีอยู่ของเธอนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ช่องว่างขนาดใหญ่นี้ทําให้หลิวหยูต้องเสียสติไปเลย
"เย่เฉิน ถ้าอย่างนั้นแล้วค่อยเจอกันใหม่นะ ข้าจะส่งของไปให้ไวที่สุดเอง อย่าลังเลที่จะติดต่อข้าถ้าเจ้าต้องการอะไรล่ะ"
หลังจากส่งไปที่ประตูแล้ว ฉียู่ก็พูดออกมา
"โอได้เลย ประธานฉี ข้าคงจะต้องรบกวนท่านสําหรับเรื่องที่เหลือจากนี้แล้วล่ะ"
เย่เฉินโบกมือให้กับฉียู่เพื่อจากลา
หลังจากที่ฉียู่ขึ้นไปชั้นบน ในที่สุดผู้หญิงเพื่อนของหลิวหยูก็กลับมามีสติและพูดอย่างตื่นเต้น: "หลิวหยู หลิวหยู เจ้าเห็นประธานฉีแล้วใช่ไหมล่ะ เป็นไงบ้าง"
หลิวหยูพยักหน้าด้วยความผิดหวัง
ผู้หญิงคนนั้นไม่เห็นความผิดปกติของหลิวหยูแต่มองออกไปข้างนอก ใบหน้าของเธอแดงด้วยความตื่นเต้น: "เจ้าเห็นชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่ถัดจากประธานฉีไหมล่ะ เขาหล่อมากเลยล่ะ"
"และเจ้าได้สังเกตไหมว่าประธานฉีดูเหมือนจะสุภาพกับเขามากด้วยล่ะ เขาควรจะเป็นลูกหลานคนสำคัญของตระกูลใหญ่นะ บางทีเขาอาจมาจากมณฑลก็เป็นได้"
เมื่อได้ยินคําพูดของผู้หญิงคนนั้น หลิวหยูก็อยากที่จะตาย และพูดเบาๆว่า "เขามาที่นี่เพื่อมารับตรามหาวิญญาจารย์ของเขาน่ะ"
"อะไรนะ? เขา เขา เขาเป็นมหาวิญญาจารย์แล้วงั้นเหรอ?"
ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาด้วยความตกใจ และใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความตกใจ
หลิวหยูพยักหน้าอย่างหดหู่: "เขาเพิ่งมาถึงก่อนที่เจ้าจะมาน่ะ เขาบอกกับข้าว่ามารับตราของมหาวิญญาจารย์ และถามข้าว่าจะไปรับได้ที่ไหนน่ะ"
"โอ้ พระเจ้า!"
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่หลิวหยูอย่างอิจฉา: "แล้วเจ้าได้สนทนากับเขาประทับใจเจ้าหรือไม่? เขาชื่ออะไรงั้นเหรอ? เจ้าโชคดีมากเลยอ่ะ ข้าอยากที่จะอยู่ในกะกลางวันแบบเจ้าบ้างจัง"
หลิวหยูกําลังจะร้องไห้: "ข้า... ข้าคิดว่าเขาโกหกข้า ข้าบอกให้เขาไปที่ชั้นสองแล้วไม่ได้สนใจเขาน่ะ"
"อะไรนะ!"
ผู้หญิงคนนั้นตะลึง: "เจ้า...เจ้าไม่รู้เหรอ? เจ้าทำพลาดขนาดนี้เลยงั้นเหรอ"
"หยุดพูเถอะ ฮือๆๆ..."
ตอนนี้ตัวเธอเต็มไปด้วยความเสียใจ และพิงไหล่ของเพื่อนสาวด้วยสีหน้าเศร้าใจ
ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ช่างโง่เขลามาก!
หากให้โอกาสที่ดีในการได้สนทนากับเขาแล้ว เธอจะทำทุกวิถีทางจนชายหนุ่มคนนี้จะจดจําเธอให้ได้เลย